คาห์ซิน แดเนี่ยลส์ : นักอเมริกันฟุตบอลตาเดียวแห่ง NFL ที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองตาบอด

คาห์ซิน แดเนี่ยลส์ : นักอเมริกันฟุตบอลตาเดียวแห่ง NFL ที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองตาบอด

คาห์ซิน แดเนี่ยลส์ : นักอเมริกันฟุตบอลตาเดียวแห่ง NFL ที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองตาบอด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปี 2018 ชาคีม กริฟฟิน กลายเป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลคนแรกที่มีมือเพียงข้างเดียวหลังจากถูกดราฟต์ไปอยู่กับ “ซีแอตเทิล ซีฮอว์กส์” จนกลายเป็นที่ฮือฮาไปทั้งวงการและมันแสดงให้เห็นว่าทุกวันนี้โลกของกีฬาได้เปลี่ยนไปแล้ว

ขีดจำกัดของมนุษย์บางคนก็ถูกเอาชนะได้ด้วยแรงปรารถนาที่มุ่งมั่น มีหลายคนที่ทำในสิ่งที่เหลือเชื่อนั้นได้และดราฟต์เดย์ปี 2019 ก็เกิดเรื่องราวที่เหลือเชื่ออีกครั้ง

นี่คือเรื่องราวของ คาห์ซิน แดเนี่ยลส์ นักอเมริกันฟุตบอลคนแรกใน NFL ที่ตาบอด 1 ข้าง และความจริงที่ว่าเขามองเห็นแค่ 50% ถูกปิดมานานกว่า 18 ปี  เหตุใดเขาจึงต้องเก็บเป็นความลับ และอะไรทำให้คนที่มีตาข้างเดียวถีบตัวเองมาไกลได้ถึง NFL ลีกของเหล่าหัวกะทิที่แม้แต่คนร่างกายครบ 32 บางคนยังไม่กล้าที่จะฝัน?

คนอื่นคิดว่าพลาดแต่ผมไม่

ตอนอายุ 5 ขวบ คุณจำได้ไหมว่าคุณมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?...

มันเป็นคำถามที่ยากไปสำหรับเด็กอายุขนาดนั้น มันคือช่วงชีวิตวัยแห่งการเรียนรู้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเล่นสนุกไปวันๆ สำหรับ คาห์ซิน แดเนี่ยลส์ เองก็เช่นกัน เขาแค่ 5 ขวบไม่ทันได้รู้ว่าการสูญเสียการมองเห็นนั้นมีความสำคัญกับการใช้ชีวิตอย่างไร แต่บางครั้งการไม่รู้อาจจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า

"ตอนนั้นผมอายุแค่ 5 ขวบ ผมบอกตรงๆนะว่าผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าการมองเห็นแบบ 2 ตามันเป็นยังไง มันดูน่าแปลกใจไปหน่อยใช่ไหมล่ะ? แต่ผมพูดเรื่องจริงนะผมไม่รู้สึกผิดปกติอะไรเลย" เขากล่าวเริ่มเมื่อเล่าเรื่องดังกล่าวให้ทีมข่าว ESPN ฟังเมื่อไม่นานมานี้


Photo : www.wowktv.com

แม้จะไม่รู้สึกแต่ คาห์ซิน ก็จำเหตุการณ์แห่งชีวิตวันนั้นได้ดี เขาขี่สกู๊ตเตอร์คู่ใจไปบนทางเท้าใน ออเร้นจ์, นิว เจอร์ซีย์ กับญาติๆรุ่นเดียวกันด้วยความสนุกสนานแบบเด็กๆ มีการท้าทายกันเกิดขึ้นและหลังจากนั้น คาห์ซิน รับคำท้าเพื่อน ก่อนที่จะกระโดดขึ้นจากขอบถนนไปยังฟุตบาท โชคร้ายที่เขาไม่เห็นเสาเหล็กที่ขวางอยู่ จุดที่เสายื่นออกมากนั้นพอดีกับหัวของเขาเป๊ะๆเหมือนกับเตี๊ยมกันมา ไม่มีภาพสโลว์ให้คิดที่จะเอี้ยวหลบแบบในหนังการ์ตูน และจากนั้นเพียงเสี้ยววินาทีการปะทะกันระหว่างเนื้อกับเหล็กอย่างแรงสำหรับเด็กอายุแค่ 5 ขวบก็เกิดขึ้น...

"คือผมจำได้ว่าตอนนั้นตัวผมหมุนติ้วเลย รู้สึกว่าจะกระเด็นแบบตีลังกา จากนั้นหัวก็ลงไปฟาดพื้นอีก" เขายังจำมันได้ดีและหลังจากนั้นลูกพี่ลูกน้องของเขาก็เข้ามาดูอาการ "ไอ้หนูแกเป็นอะไรรึเปล่าวะ เฮ้ย!" เด็กชายรุ่นพี่อีก 2 คนเรียก คาห์ซิน เพราะกลัวว่าเขาจะสลบ และเป็นอะไรร้ายแรง แต่เจ้าตัวก็ตอบกลับสั้นๆว่าทุกอย่างยังโอเค  

ตอนนั้นเขาจำได้ว่าเสื้อของเขาโชกไปด้วยเลือด หัวแตกและตาปิดไป 1 ข้าง เมื่อทั้ง 2 ลากเขากลับไปที่บ้านแม่ของ คาห์ซิน ก็สติแตกทันที...การประเมินอาการของเด็กๆผิดไปเยอะ ไอ้ที่เขาบอกว่าไม่เป็นไรและยังโอเคนั้น จริงๆแล้วมันโคตรจะไม่โอเคเลยสำหรับผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ได้เห็นอะไรมากกว่าเด็กๆพวกนี้

"แม่ร้องไห้ทันที แต่ความจริงจากผมในตอนนั้นคือผมไม่เป็นไร ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ปวดตรงไหนซะหน่อย" เขาว่าต่อไปถึงเหตุการณ์ฝังใจ


Photo : @Kahz_Blitz | Kahzin Daniels

จะเป็นอะไรหรือไม่นั้นต้องให้หมอตัดสิน ซึ่งเมื่อถึงมือหมอแล้วแม่ของเขาเป็นฝ่ายถูก อาการของ คาห์ซิน เข้าขั้นฝันร้ายหากเขารู้ว่าสิ่งที่เขากำลังจะเสียไปส่งผลอย่างไรบ้าง  เขาต้องใส่ที่ปิดตาอยู่ 2-3 เดือน เพื่อให้ตาขวากลับมาใช้งานได้อีกครั้ง ขณะที่ตาข้างซ้ายนั้นหลังจากได้พักสักระยะเวลาหนึ่งเเล้วการมองเห็นก็กลับมาที่ วิชั่น 20/20 หรือเทียบเท่ากับการมองเห็นแบบปกติเเล้ว

ปัญหามีอยู่อย่างเดียวนั่นคือตาขวา ว่าจะกลับมาคืนสภาพเดิมหรือใกล้เคียงเดิมได้มากขนาดไหน และมันโชคร้ายที่เมื่อแกะที่ปิดตาออกแล้วมันบอดสนิท แม้แต่ลำเเสงเล็กๆก็ไม่สามารถลอดผ่านม่านตาของเขาเข้ามาได้ แต่ คาห์ซิน เป็นเด็กที่แปลกกว่าเด็กทั่วไป มีคำผู้ใหญ่เตือนเด็กๆอยู่เสมอว่าระวังจะไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา  แต่สำหรับเขาแล้วต่อให้เห็นโลงศพอยู่ข้างหน้าเขาก็ไม่หลั่งน้ำตาอยู่ดี หนำซ้ำยังกระโดดข้ามมันไปอย่างหน้าตาเฉยอีกต่างหาก

"ผมก็แค่เรียนรู้มันไปตามธรรมชาติ และผมรู้สึกว่าร่างกายและจิตใจของผมดันปรับตัวกับมันได้เป็นอย่างดี" แม้จะตาบอดไปแล้ว 1 ข้างแต่เขายังแข็งแกร่งพอ

ความสามารถที่วิทยาศาสตร์หาคำตอบไม่ได้

ในวันที่รู้เห็นสภาพลูกชายหัวแตกเลือดชุ่มแม่ของ คาห์ซิน อาจกรีดร้องเสียสติ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปและเธอพบว่าลูกชายของเธอไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองผิดแผกแตกต่างเธอก็สนับสนุนเขาทุกอย่างที่เขาอยากทำ เธอไม่ได้เลี้ยงเขาแบบไข่ในหินและเชื่อว่าลูกชายของเธอจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดหากว่าเขาได้ลองด้วยตนเอง และสำหรับเด็กหนุ่มอเมริกันแล้ว ไม่มีอะไรจะเท่ไปกว่านัก (อเมริกัน) ฟุตบอลประจำโรงเรียน ทันทีที่ คาห์ซิน ขอแม่ว่าอยากจะเข้าทีมฟุตบอล แม่ของเขาตอบโอเคทันที


Photo : @Kahz_Blitz | Kahzin Daniels

"เอาเลย ลุยให้เต็มที่" เธอตอบเขาแบบนั้น และนั่นล่ะคือวิธีการเลี้ยงลูกแบบที่ทำให้ คาห์ซิน แดเนี่ยลส์ มีทุกวันนี้

ร่างกายของมนุษย์เราคือสิ่งที่วิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้หลายเรื่องแต่แน่นอนว่ามันมีบางเรื่องที่เป็นเหมือนความลับที่วิทยาศาสตร์ไขเข้าไปไม่ถึง…

อาทิ เมื่อส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายขาดหายไป ส่วนที่เหลือมักจะรีดศักยภาพจนข้ามขีดจำกัดเพื่อมาทำหน้าที่ทดแทน ทำไมคนตาบอดจึงร้องเพลงเพราะ, ประสาทสัมผัสทางการได้ยินจึงดีกว่าคนธรรมดา และร่างกายของ คาห์ซิน ก็เช่นกันเมื่อเขาตาบอด 1 ข้าง เขาหาสิ่งอื่นเข้ามาทดแทนเพื่อทำให้สามารถเป็นนักกีฬาที่ดีในระดับเทียบเท่ากับคนมีร่างกายครบทั้ง 32 และสิ่งนั้นคือสิ่งที่เขาเรียกว่า "สัญชาตญาณ"

"ผมเองรู้สึกว่าสัญชาตญาณของผมในการรับรู้ของผมดีกว่าการใช้ตามอง" เขาอธิบายถึงสิ่งที่เขาเป็น และรู้สึกมาตลอดชีวิต

"สัญชาตญาณของผมเกินกว่ามาตรฐานและสูงกว่าค่าเฉลี่ย ผมรู้ตัวตั้งแต่ไก่โห่เมื่อมีสิ่งใดหรือใครเข้ามาใกล้ตัวผม พวกเขาอาจจะคิดว่ามันห่างจากผมพอสมควร แต่ผมรู้สึกว่าพวกเข้ากำลังหายใจรดต้นคอผมอยู่"  

ข้อความด้านบนอาจจะดูเป็นคำพูดที่ยกย่องตัวเองเกินจริง แต่ดูเหมือนว่าจากสิ่งที่คนรอบข้างพูดถึงเขาในฐานะนักอเมริกันฟุตบอลจะทำให้สิ่งที่ คาห์ซิน แดเนี่ยลส์ อธิบายถึงคุณสมบัติตัวเองไม่ใช่เรื่องโกหกแต่อย่างใด


Photo : ESPN.com

จุดเด่นที่คนในวงการอเมริกันฟุตบอลระดับสมัครเล่นรู้เกี่ยวกับ คาห์ซิน คือ เขาเป็นผู้เล่นในตำแหน่ง ดีเฟนซีฟ เอนด์ หรือแนวหน้าในการเล่นเกมรับที่ระเบิดฝีเท้าระดับจับตายควอเตอร์แบ็คคู่แข่งได้ตั้งแต่เรียนไฮสคูล สมัยเรียนอยู่ที่ Milford Academy และถ้าเขาเล็งไปที่จะเข้าแท็คเกิลใครสักคน ส่วนใหญ่คือเขามักจะปิดจ็อบได้แบบไม่พลาดเป้า ดังนั้นช่วงเวลาในไฮสคูลจึงเป็นช่วงเวลาที่เขารุ่งโรจน์ในการเป็นนักกีฬาและได้รับทุนเรียนมหาวิทยาลัยกับ ม.ชาร์เลสตัน

นับตั้งแต่อายุ 5 ขวบมาจนเข้าเรียนและเป็นตัวเด่นของมหาวิทยาลัย มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเขาตาบอด เรื่องนี้มันจะแตกต่างกับการปิดบังและโกหกเพื่อเอาตัวรอดโดยทั่วไป นั่นเพราะว่าเขาไม่เคยคิดว่ามันเป็นปัญหา ไม่บอกก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร และต่อให้เขาคิดจะพูดถึงเรื่องนี้มันก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดี

"บ้าเรอะแกโกหกฉันเเล้วว่ะพวก แกกำลังโกหกอยู่ใช่ไหมวะตอบมาเถอะ...นี่คือสิ่งที่คนอื่นพูดในตอนที่ผมบอกใครสักคนว่าผมเป็นอะไร พวกเขาไม่เชื่อผมในตอนแรก และผมต้องย้ำอีกครั้งว่า "เออ ผมตาบอดจริงๆ"" เขาไม่ได้โกหก เขาแค่ไม่อยากเล่าอะไรที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เเล้วเท่านั้นเอง

4 ปีในมหาวิทยาลัยเขาทำสถิติ "แซ็ค" หรือการรวบควอเตอร์แบ็ค (ตำแหน่งที่เป็นเหมือนแม่ทัพในอเมริกันฟุตบอล) ของทีมคู่แข่งได้ถึง 34.5 ครั้ง (การเข้าแซ็คส์แบบรุมจะนับเป็น 0.5 ครั้ง) มากที่สุดนับตั้งแต่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก่อตั้งทีมฟุตบอลขึ้นมา และนี่คือสถิติที่ทำให้เขาติดทีมออลอเมริกันเลยทีเดียว


Photo : www.wvgazettemail.com

"NFL จะเข้ามาดูเขาแน่ และเมื่อคุณเห็นภาษากายของเขาในตอนที่ลงเล่นคุณจะมองไม่ออกเลยว่าเขาแตกต่างจากคนทั่วไปหากไม่มีใครบอกคุณก่อน" แซ็ค ซานโตลล่า เฮดโค้ชทีมรับของมหาวิทยาลัยพูดถึงลูกทีมตัวเก่ง

"ผมบอกคนอื่นๆที่สงสัยเสมอว่า แดเนี่ยลส์ เป็นคนที่รู้จักหาจังหวะเข้าปะทะและที่สำคัญคือสัญชาตญาณพาเขาเข้าไปหาควอเตอร์แบ็คได้ต่อให้เขาหลับตาทั้ง 2 ข้าง เขามีความเข้าใจเกมสูงมาก และผมย้ำอีกครั้งว่าเขาคือผู้เล่นที่โคตรเก่ง" โค้ชทีมรับขยายความ  

NFL มาจริงๆ

เมื่อแมวมองของทีมต่างๆใน NFL ได้ข่าวว่ามี "ดีเฟนซีฟ เอนด์" ที่มีฝีมือซ่อนอยู่ที่ ชาร์เลสตัน พวกเขาก็เหมือนฉลามได้กลิ่นคาวเลือด ทุกคนมาประจำกันในเกมวันที่มีเกมแข่ง ดังนั้นชื่อของ คาห์ซิน แดเนี่ยลส์ เริ่มจะเป็นที่สนใจของสื่อมากขึ้นเรื่อยๆ


Photo : ESPN.com

หลักการทำงานของมืออาชีพนั้นแตกต่างออกไป แม้ว่า คาห์ซิน จะเล่นได้แนบเนียนจนมองไม่ออกขนาดไหนแต่ก็ยังมีแมวมองที่มีประสบการณ์บางคนมองเห็นถึงสิ่งที่ผิดปกติในการเล่นของเขา จนสุดท้ายเเล้วความลับที่ปิดบังมาหลายปีโดยมีคนไม่กี่คนที่รู้ก็ถูกเปิดเผยในวงกว้าง มีหลายทีมถอนสมอไม่ติดตามเขาต่อไป แต่ก็ยังมีบางทีมที่ตามเช็คอย่างใกล้ชิดเมื่อให้มั่นใจว่าการมองเห็นของเขานั้นไม่ส่งผลต่อการเล่นระดับสูงอย่าง NFL จริงๆ ดังนั้นตอนนี้มันขึ้นอยู่กับเขาเเล้วว่าเก่งจริงหรือเปล่า

ในดราฟต์เดย์เมื่อปี 2018 มีเหตุการณ์คล้ายๆแบบนี้เกิดขึ้นมาเเล้วครั้งหนึ่งเมื่อครั้งที่ ชาคีม กริฟฟิน ผู้เล่นดาวรุ่งที่พิการด้วยการไม่มีมือซ้ายถูกทีมดังอย่าง ซีแอตเทิล ซีฮอว์กส์ ดราฟต์ไปร่วมทีม และสิ่งที่ ชาคีม ฝากถึง คาห์ซิน ที่กำลังสับสนกับการโดนสื่อเล่นประเด็นเรื่องเขาตาบอดก็ทำให้เกิดเเรงฮึดอย่างมหาศาล

"เป็นไงบ้าง คาห์ซิน นี่ ชาคีม นะ... ผมอยากจะทักทายคุณสักหน่อย ไม่นานมานี้ผมก็เคยใส่รองเท้าคู่เดียวกับคุณ(ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เหมือนกัน) ผมรู้ว่าจะมีคนบอกคุณว่า ฟุตบอลไม่เหมาะกับคนอย่างคุณหรอก แต่นั่นเป็นเพราะพวกเขาอยากให้คุณผิดหวัง และเสียน้ำตากับคำปรามาส  คุณต้องอย่าไปฟังที่พวกนั้นพูดนะ"

"ตอนนั้นผมอยากเล่นใน NFL หลายคนก็บอกว่าอย่ามาเล่นมุกเลย... สุดท้ายผมก็ทำได้ ตอนนี้ถึงตาของคุณเเล้ว ลงเล่นด้วยตาข้างเดียว อ่านสถานการณ์ของพวกทีมบุก อัดพวกนั้นให้ร่วงไม่ว่าใครก็ตาม ทำมันให้ได้และไปให้ไกลเกินกว่าที่ใครคิด ดูซิว่าต่อจากนี้คนพวกนั้นจะพูดอะไรได้..."


Photo : www.express.co.uk

ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่ต้องประสบกับความยากลำบากมากกว่า แต่ขนาดตัวของ คาห์ซิน นั้นถือว่าเป็นอีกเรื่องที่หลายทีมมองข้าม น้ำหนักตัวของเขาอยู่ที่ 240 ปอนด์  ถือว่าน้อยสำหรับตำแหน่งที่ต้องใช้การเข้าปะทะในระดับ NFL เพราะตัวรับในตำแหน่งเดียวกันที่ดราฟต์เบอร์แรกๆของปี 2019 นิค โบซ่า(ดราฟต์อันดับ 1) และ จอช อัลเลน(ดราฟต์อันดับ 3) มีน้ำหนักมากกว่าเขาอยู่ราวๆ 20 ปอนด์  นั่นทำให้ทีม เดนเวอร์ บรองโก้ส์ มองข้ามเขาไป และคาห์ซินนั้นไม่ติดอันดับดราฟต์ในรอบปกติ จนกระทั่งทีม แทมป้าเบย์ บัคคาเนียร์ส เลือกเขาในรอบฟรีเอเย่นต์

บรูซ แอเรียนส์ เฮดโค้ชของแทมป้า เบย์ ยอมรับตรงๆว่าการเลือก คาห์ซิน เข้ามาสู่ทีมไม่ใช่ทำเพื่อกระแส และก็ไม่กล้ารับประกันว่าชื่อของเขาจะติดทีมในการแข่งขันจริงหรือไม่ เพียงแต่ว่าเหตุผลที่เลือกก็เพราะเขามองเห็นศักยภาพในตัวเอง คาห์ซิน และเชื่อว่าหากเขาพัฒนาตัวเองได้อีกระดับ เขาจะกลายเป็นยอดนักฟุตบอลได้แน่นอน นี่คือความเห็นที่ บรูซ ตัดสินใจร่วมกับโค้ชทีมรับอย่าง ท็อดด์ โบวเลอร์

"ผมว่าเขาเป็นนักกีฬาที่เก่งเลย แต่เราเห็นว่าเขายังสามารถไปได้ไกลยิ่งกว่านี้ ผมสังเกตว่าเขาเป็นคนที่สามารถสกัดการผ่านบอลได้ยอดเยี่ยม ผมอยากจะเห็นเเล้วเหมือนกันว่า เขาจะทำอะไรได้มากกว่าที่ผมคิดบ้าง"  

"การที่ คาห์ซิน ได้มาอยู่ตรงนี้ต้องให้เครดิตในความพากเพียรของเขาอย่างแท้จริง หรือแม้กระทั่งใครก็ตามที่เป็นผู้ให้คำปรึกษากับเขา สิ่งที่เขามุ่งมั่นไม่ใช่แค่ดีสำหรับอาชีพนักฟุตบอล แต่มันจะส่งผลมหาศาลต่อการใช้ชีวิตของคนๆหนึ่งอีกด้วย" เขากล่าวก่อนที่เขาถึงช่วง รุกกี้ แคมป์


Photo : www.wvgazettemail.com

การได้สัญญากับ แทมปาเบย์ บัคคาเนียร์ส นั้นทำให้ คาห์ซิน แดเนี่ยลส์ เป็นผู้เล่นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเพียงข้างเดียวสำหรับการเเข่งขัน อเมริกันฟุตบอล NFL    

การถูกยกให้เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์นั้นดูเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น และดูยิ่งใหญ่ แต่สำหรับ คาห์ซิน นั้นมันไม่ใช่เรื่องน่าประทับใจอะไรมากนัก เพราะมันคือการยกย่องเขาในฐานะคนตาบอดที่ถีบตัวเองมาได้ไกลกว่าที่ใครคาดคิด เพราะเขาคิดเสมอว่าตัวเองไม่ได้พิการ และไม่เคยต้องการสิทธิพิเศษจากใคร เขาคือคนธรรมดาที่เชื่อว่าโอกาสคือสิ่งที่สมควรสำหรับคนที่มีความพยายามเท่านั้น

"ผมอาจจะโตมากับการเป็นคนตาบอดแต่ผมไม่เคยปล่อยให้ใครปฎิบัติกับผมแบบแตกต่าง ผมไม่เคยใช้ความพิการเป็นสิทธิพเศษ ผมเห็นทุกอย่างด้วยตาข้างเดียวและผมใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ด้วยความสามารถของผมเอง" คาห์ซิน กล่าวทิ้งท้าย


Photo : www.nfl.com

ณ ตอนนี้รุกกี้ แคมป์ของเหล่าหน้าใหม่ใน NFL กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น คาห์ซิน อาจจะเก่งกาจมาตลอดในช่วงที่เรียนอยู่แต่ในระดับ NFL เขายังมีหลายสิ่งต้องพัฒนา การได้เข้ามาเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น สิ่งที่ตามมาจากนี้ต่างหากคือบทพิสูจน์เขาว่าจะดีพอที่จะสร้างชื่อเสียงได้หรือไม่ หากเขาทำสำเร็จ จะไม่มีใครพูดถึงตาข้างขวาของเขาในฐานะจุดอ่อนอีกต่อไป

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook