เดิร์ก & ดัลลัส : สัญญาที่มากกว่าแค่นายจ้าง-ลูกจ้าง

เดิร์ก & ดัลลัส : สัญญาที่มากกว่าแค่นายจ้าง-ลูกจ้าง

เดิร์ก & ดัลลัส : สัญญาที่มากกว่าแค่นายจ้าง-ลูกจ้าง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คนทั่วไปเล่นกีฬาเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ หลายคนเล่นกีฬาเพราะหาลู่ทางหลีกหนีความจน แต่สำหรับ เดิร์ก โนวิตซกี้ เขาเล่นกีฬาจนไปเจอกับอะไรที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้น

บาสเก็ตบอล คือกีฬาที่เหล่าคนผิวสียึดครองความยิ่งใหญ่เสมอมาไม่ว่าจะเป็นไมเคิล จอร์เเดน, โคบี ไบรอันท์, ชาคีล โอนีล, ทิม ดันแคน, เมจิก จอห์นสัน, คารีม อับดุล จาบาร์ หรืออื่นๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม เดิร์ก โนวิตซกี้ คือ 1 ในตำนานที่สามารถนับรวมกับพวกเขาเหล่านั้นที่กล่าวมาได้ทั้งหมด

เพราะในวัย 40 ปี เดิร์ก โนวิตซกี้ตัดสินใจต่อสัญญากับ ดัลลัส แมฟเวริกส์ ออกไปอีก 1 ฤดูกาล...


Photo : Facebook : Dallas Mavericks

ในสายตาคนภายนอก...นี่คือวิถีของมืออาชีพ สโมสรเป็นนายจ้าง นักกีฬาเป็นลูกจ้าง ดังนั้นการต่อสัญญา จึงเป็นเรื่องธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ ทว่า โนวิตซกี้ กับดัลลัส คือกรณีที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เพราะช่วงเวลาของเขากับทีมต้นสังกัด ฝังแน่นเต็มไปด้วยความทรงจำและเรื่องราวแห่งความรัก ความผูกพัน

มันคือความสัมพันธ์ที่ยิ่งกว่านายจ้าง-ลูกจ้าง

เด็กอัจฉริยะจากเยอรมัน

เดิร์ก โนวิตซกี้ คือชายที่เกิดมาเพื่อเป็นนักบาสเก็ตบอลอย่างแท้จริง อัจฉริยะชาวเยอรมันเกิดในครอบครัวนักกีฬา แม่ของเขาเป็นนักบาสเก็ตบอลอาชีพ พ่อของเขาเป็นนักเแฮนด์บอลอาชีพ ขณะที่ตัวของเขาคือเด็กหนุ่มที่มีร่างกายใหญ่โตและได้ลิ้มลองกีฬาหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นเทนนิสหรือแฮนด์บอล ทว่าสุดท้ายแล้วด้วยส่วนสูงระดับ 2 เมตรทำให้เขาเลือกกีฬายัดห่วง และเป็นการเลือกที่ถูกต้องอย่างที่สุด เพราะความสามารถของเขานั้นอยู่ในระดับทีมลีกยุโรปเอาไม่อยู่

"แกต้องตัดสินใจเเล้วว่าแกจะออกไปเจอกับคนที่เก่งที่สุดในโลกหรือจะแค่เป็นฮีโร่แค่ในเยอรมัน ถ้าแกเลือกอย่างหลังเราจะหยุดซ้อมพิเศษกันตั้งแต่ตอนนี้  แต่ถ้าเเกอยากจะลองกับโลกกว้าง เราจะฝึกหนักกันในทุกวันๆ" นี่คือสิ่งที่ โฮลเกอร์ เกสช์วินด์เนอร์ นักบาสเก็ตบอลทีมชาติเยอรมัน และโค้ชของ โนวิตซกี้ ซึ่งตอนนั้นอยู่ในวัย 16 ปีกล่าวกับเขา ก่อนที่จะส่งผู้เล่นที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในประเทศออกไปเจอกับลีกที่ดีที่สุดในโลกอย่าง NBA ในอีก 4 ปีต่อมา

วันที่ 24 มิถุนายนปี 1998 ณ เจเนรัล มอเตอร์ เพลซ เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศเเคนาดา มีงานสำคัญสำหรับวงการบาสเก็ตบอล นั่นคือวันแห่งการดราฟต์ (ดราฟต์ เดย์) ที่เหล่าดาวเด่นจากทีมมัธยมศึกษา, มหาวิทยาลัย ทั่วฟ้าแดนมะกันจะมารวมตัวกัน ให้เหล่าทีมดังต่างๆใน NBA เลือกจั่วไพ่ขึ้นมาเป็นชื่อของพวกเขา เพื่อได้ไปร่วมทีมในสังเวียนที่เชี่ยวกราดที่สุดในโลกของวงการยัดห่วง  

ในปีนั้น เดิร์ก โนวิตซกี้ เด็กหนุ่มวัย 20 ปี ชาวด๊อยท์ช เป็นเพียง 1 เดียวที่ไม่ได้มาจากโรงเรียน และมหาวิทยาลัยในอเมริกา เขามาจาก DJK เวิร์ซบวร์ก ทีมในระดับ 2 ของลีกบาสเก็ตบอลของ เยอรมัน และได้เข้าร่วมวินาทีแห่งประวัติศาสตร์นี้

ณ ตอนนั้น โนวิตซกี้ คือดราฟต์ลำดับที่ 9 ในจำนวนรุกกี้ทั้งหมด เขาถูก มิลวอกี้ บัคส์ เลือกนำมาสู่ทีม ทว่าการถูกเลือกของของเขาเกิดขึ้นเพราะทางฝั่ง บัคส์ ตั้งใจให้เป็น Sign and Trade (การดราฟต์ตามลำดับไปก่อนและค่อยไปเทรดกับผู้เล่นของทีมอื่น) ความหมายโดยนัยคือ ... บัคส์ เองไม่ได้กะใช้งานแต่เเรกอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องการดึงเอา โนวิตซกี้ เข้ามาไว้ก่อน  เพื่อจะใช้เป็นของแถมเทรดไปให้ ดัลลัส แมฟเวอริคส์ พร้อมๆ กับ พอล การ์ริตี้ ขณะที่ บัคส์ นั้นยิ้มหน้าชื่นตาบานเพราะพวกเขาได้ผู้เล่นที่เป็นดราฟต์ลำดับ 6 ของลีกอย่าง โรเบิร์ต เทย์เลอร์ ที่เป็นดาวเด่นจาก มิชิเเกน ที่ แมฟส์ ส่งมาให้ใช้แทนที่

ณ เวลานั้นทุกคนต่างพากันสงสัยว่า แมฟส์ เอา โนวิตซกี้ มาทำไม?

เอามาทำไม?

คำถามนี้ ดอน เนลสัน โค้ชของ แมฟส์ ให้เหตุผลที่เขายอมเสียดราฟต์อันดับ 6 อย่าง เทย์เลอร์ เพื่อเอา ดราฟต์อันดับ 9 ของ โนวิตซกี้ มาแทนก็ด้วยเหตุผลที่ว่า บัคส์ เป็นฝั่งจิ้มเอา โนวิตซกี้ ไปก่อนต่างหาก นั่นหมายความว่า โนวิตซกี้ คือ แผนที่ แมฟส์ วางไว้และเป็น 1 ในตัวเลือกในใจของ ดอน เนลสัน ตั้งแต่แรกเเล้ว เขายืนยันว่า โนวิตซกี้ คือสิ่งที่สามารถเรียกได้เต็มปากว่าเป็นบิ๊กดีล แต่แน่นอนวาเมื่อเจ้าหนุ่มจากเยอรมันยังไม่ได้พิสูจน์อะไรมันก็จึงเป็นเรื่องที่ใครต่อใครยากจะเชื่อ

โนวิตซกี้ ต้องพบกับสถานะที่เป็นเหมือนตัวแถมในเวลานั้น มันเป็นช่วงเวลาที่เขาต้องเข้าใจว่าเเต้มต่อของเขายังเป็นรองผู้เล่นหลายๆคนในการดราฟต์รุ่นเดียวกัน


Photo : Facebook : Dallas Mavericks

กว่าที่ โนวิตซกี้ จะถูกเรียกว่าผู้เล่นของ ดัลลัส แมฟเวริคส์ ได้เต็มปากเขาต้องแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาในเกมที่เรียกว่า พิคอัพ เกมส์ ซึ่งเป็นเหมือนเกมโชว์ฝีมือที่มีอยู่ให้ทีมงานที่คอยจับตาดูอยู่ได้เห็น

ก่อน พิคอัพ เกมส์ ของ แมฟส์ ก่อนฤดูกาล 1998-99 จะเริ่ม มีอดีตนักบาส NBA หลายคนมาอยู่ในสนาม เบย์เลอร์ เฮลต์ เซนเตอร์ เพื่อมาดูฟอร์มหน้าใหม่ โดยเฉพาะรุกกี้อย่าง โนวิตซกี้ ที่สูง 7 ฟุต แต่ตัวกลับผมกระหร่องจนไม่น่าจะทนแรงปะทะไหว

"ไอ้หมอนี่สูงเท่าไหร่" ชายคนแรกโพล่งถาม

"7 ฟุตเลยล่ะ" คำตอบจากชายคนที่สอง

"ไม่หรอกมั้ง? ดูแล้วไม่น่าถึง 7 ฟุตหรอก ทรงบอลไอ้หมอนี่ไม่ไหวเลย แถมยังดูขี้เกียจอีกต่างหาก ผมว่าเขาไม่น่าถึง 7 ฟุตนะ" ชายคนแรกเห็นแววไม่น่ารุ่งจึงตอบกลับไปเช่นนั้น

ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน มีเสียงแทรกมาจากชายคนที่ 3 ที่เห็นต่างออกไป "จะ 7 ฟุตหรือเปล่าไม่รู้ แต่เขาจะเป็นผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ได้แน่"  

การถกเถียงจบลงด้วยความคิดเห็นของชายคนที่ 4 ซึ่ง "คุณจะบอกว่าเขาจะกลายเป็นผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ทั้งๆที่เขาเล่นแค่ พิคอัพ เกม ไม่ได้หรอก มันไม่เหมือนกับเกมจริง เราจะรู้ก็ต่อเมื่อได้ยินเสียงหอบของเขาหลังจากโดน สก็อตตี้ พิพเพ่น เผาเครื่องเป็นเวลา 40 นาที หรือการโดน ชาร์ลส์ โอ๊คลี่ย์ ไล่ถลุงนู่นแหละ"

แม้จะดูเป็นคำพูดที่โหดร้ายแทงใจ แต่เรื่องจริงก็เป็นเช่นนั้น โนวิตซกี้ มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการปรับสไตล์ของตัวเองให้ทันศึก NBA ที่มีความแตกต่างกว่าลีกเยอรมันที่เขาจากมาเยอะ ทั้งการเจอกับคู่แข่งที่ร่างกายที่แข็งแกร่งมากกว่า และสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยเจอ


Photo : Facebook : Dallas Mavericks

"แน่นอนผมตื่นเต้นมากๆ สำหรับเกมนี้ มันมีความแตกต่างเยอะมากหากเทียบกับที่เยอรมัน ที่นี่มีความเป็นนักกีฬามากกว่า บาสเก็ตบอลของที่นี้ใช้ร่างกายหนักกว่า ต้องกระโดดสูงกว่า จะบอกยังไงดีล่ะ ลีกเยอรมันก็ไม่ได้เลวร้ายนะ แต่ที่นี่มีความต้องการมากกว่านั้นเยอะ" โนวิตซกี้ ย้อนเล่าเหตุการณ์ในวันแรกที่เขากลายเป็นสมาชิกใหม่ของ แมฟส์ ในแบบที่ทั่วโลกต่างสงสัยว่า "เอามาเขามาทำไม?"  

เขาเริ่มต้นแบบยากลำบากพอสมควร ช่วงแรกๆ เขาไม่เป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมทีมนัก โดยเฉพาะในเกมแรกของเขาใน NBA ที่พบกับ ซีแอตเติล ซูเปอร์โซนิคส์ เขายังจำมันได้ดี เพราะนั่นคือเกมที่ย่ำแย่และหลายฝ่ายเริ่มเห็นแววเเล้วว่าการยอมเสียดราฟต์เบอร์ 6 เพื่อดราฟต์เบอร์ 9 อย่างเขาคือการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในการดราฟต์ปี 1998

"มันไม่ใช่เกมที่ดีของผมเลย มันคือเกมที่แย่ที่สุดของผมเลยทีเดียว ผมแทบไม่ได้บอล เพราะเพื่อนร่วมทีมแทบไม่เห็นผมอยู่ในสายตาเลยตอนที่ผมได้ลงสนาม"

"มันเป็นเกมที่ผมจะต้องดวลกับ เด็ตเลฟ เชรมฟ์ ในเกมกับ ซีแอตเติล ซูเปอร์โซนิกส์ เกมนั้นสื่อจากเยอรมันมาทำข่าวเยอะมาก แต่แค่จัมป์บอลแรกผมก็แพ้ เด็ตเลฟ แล้ว ช็อตนั้นถูกเก็บภาพไว้ และมันเป็นรูปที่ทำให้ผมรู้สึกแย่มากๆ"

ฤดูกาล 1998-99 คือฤดูกาลที่ โนวิตซกี้ เสียหลักจนแทบแพ็คกระเป๋ากลับบ้าน สถิติทุกอยางของเขาย่ำแย่จนแทบหาข้อดีไม่เจอ ลงเล่นเป็นตัวจริงเพียง 24 เกม ส่วนเรื่องการทำแต้มก็น้อยมากด้วยค่าเฉลี่ย 8.2 แต้มต่อเกมเท่านั้น

ขณะที่สถิติอื่นๆทั้งการ แอสซิสต์, การยิง 3 แต้ม, การบล็อก ก็ย่ำแย่ไม่แพ้ใคร สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการรีบาวด์ เพราะถึงแม้เขาจะสูง 7 ฟุต แต่ โนวิตซกี้ กลับ รีบาวด์ ได้เพียง 3.4 ครั้งเท่านั้นต่อ 1 เกม ซึ่งแค่นี้ไม่พอแน่สำหรับศึก NBA

แต่ความล้มเหลวเพียงแค่ปีเดียว ไม่สามารถตัดสินคนได้ตลอดไป...ฤดูกาล 1999-2000 เจ้าของทีมคนเก่าของ แมฟส์ อย่าง รอสส์ เปร็อต ประกาศขายทีมให้กับเศรษฐีพันล้านอย่าง มาร์ก คิวบาน และแมฟส์ ก็เปลี่ยนไปจากหลังมือเป็นหน้ามือ โดยเฉพาะตัวของ โนวิตซกี้ เอง…

คิวบาน เปลี่ยนแปลงหลายสิ่งอย่างไปในทางที่ดีขึ้น เข้ามาชมเกมของทีมแทบทุกนัด แถมยังลงทุนซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 757 ราคา 46 ล้านเหรียญเพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับทีมงานในการเดินทางแข่งขัน

"คิวบาน คือผู้สร้างสภาพแวดล้อมทีสุดแสนจะสมบูรณ์แบบให้กับทีม พวกเราแค่มีหน้าที่ ลงไปเล่นเเล้วเอาชนะให้ได้ก็พอ" โนวิตซกี้ กล่าวถึงเจ้าของใหม่แบบสั้นๆแต่ได้ใจความ

ขณะที่อีกหนึ่งเหตุผลที่เขาดีขึ้นกว่าเดิมชัดเจนนั้นคือ ดอน เนลสัน โค้ชของทีมเลือกที่จะใช้งานเขาในตำแหน่งพาวเวอร์ฟอร์เวิร์ด ซึ่งผลพวงที่ตามมาคือ โนวิตซกี้ กลายเป็นผู้เล่นที่ลงสนามให้ทีมมากที่สุดตลอดทั้งฤดูกาล นอกจากนี้ยังกลายเป็นราชาแอสซิสต์เบอร์ 1 ของทีมอีกด้วย

ส่วนสถิติของ โนวิตซกี้ ดีขึ้นราวกับเป็นคนละคน ค่าเฉลี่ยการทำแต้มของเขาเพิ่มมาเป็น 17.5 แต้มต่อเกม 6.5 รีบาวด์ 2.5 แอสซิสต์  นอกจากนี้ยังทำสถิติของตัวเองด้วยการทำแต้มในเกมเดียวถึง 32 แต้มอีกด้วย ผลงานทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้ โนวิตซกี้ กลายเป็นผู้คว้ารางวัลผู้เล่นที่มีพัฒนาการยอดเยี่ยมเป็นอันดับ 2 ของ NBA รองจากจาเลน โรส ของ อินเดียน่า เพเซอร์ส เท่านั้น

"2 ปีแรกคือช่วงเวลาของการเรียนรู้สิ่งใหม่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นของผม" โนวิตซกี้ ว่าเอาไว้แบบนั้น


Photo : Facebook : Dallas Mavericks

เมื่อทุกอย่างโดนปรับจนเข้าทาง โนวิตซกี้ ตอบแทน เนลสัน และ แมฟส์ ได้อย่างสาสมมากขึ้นเรื่อยๆ สถิติและค่าเฉลี่ยของเขาสูงขึ้นในทุกๆปี พัฒนาการของเขาก้าวกระโดดขนิดที่ว่าใครก็เอาไม่อยู่ จนในที่เขากลายเป็น "บิ๊กทรี" หรือ 3 เซียนของทีมได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาก็ได้สัญญาฉบับใหม่เป็นระยะเวลา 6 ปีที่มีมูลค่าถึง 90 ล้านเหรียญเลยทีเดียว

ดัลลัส เกื้อกูล โนวิตซกี้ ขณะที่ โนวิตซกี้ ยังคงทำงานหนักในส่วนของตัวเองเสมอ เขากลายเป็นผู้เล่น MVP (ผู้เล่นที่ดีที่สุดของ NBA) ในฤดูกาาล 2007 พร้อมทั้งติดทีมออลสตาร์มากถึง 13 ครั้ง และเหนือสิ่งอื่นใด คือการพา แมฟส์ คว้าแชมป์ NBA มาครองในปี 2011 ซึ่งถือว่าเป็นแชมป์ประวัติศาสตร์ของทีมนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมาในปี 1980 เลยทีเดียว


Photo : Facebook : Dallas Mavericks

ในช่วงเวลาที่ โนวิตซกี้ เดินหน้าพุ่งเข้าชนความสำเร็จพร้อมๆกับการหักปากกาเซียน โรเบิร์ต เทย์เลอร์ ดราฟต์อันดับ 6 ที่ แมฟส์ เอาไปแลกกับ บัคส์ ในปี 1998 เพื่อให้ได้ โนวิตซกี้ มา ก็ทำในสิ่งที่ทำให้ทุกเสียงวิจารณ์เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า เนลสัน คิดถูกที่จัดการการเทรดครั้งนี้...

เทย์เลอร์ กลายเป็นผู้เล่นที่ล้มเหลวสุดๆ เขาถูกแบน 3 ปีจากการหลบเลี่ยงภาษีย้อนหลัง นอกจากนี้ยังกลายสภาพเป็นพ่อค้ายาเสพติดในปี 2009 ก่อนเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายในภายหลัง ถึงตอนนี้คำถามที่ว่าแมฟส์ เอา โนวิตซกี้ มาทำไมไม่หลงเหลืออยู่อีกเเล้ว  มีแต่คำชื่นชมในสายตาและการอ่านสถานการณ์ในอนาคตที่เฉียบแหลมเท่านั้น


Photo : Facebook : Dallas Mavericks

สิ่งที่ยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่มันยังไม่จบแค่นี้ เพราะถึงแม้ว่า โนวิตซกี้ จะทำสถิติทำคะแนนใน NBA มากถึง 31,000 เเต้ม, รีบาวด์ไป 10,000 ครั้ง, แอสซิสต์เกิน 3,000 ครั้ง สตีล (แย่งบอล) เกิน 1,000 ครั้ง และ บล็อกได้อีกเกิน 1,000 ครั้ง ทว่าหัวจิตหัวใจของเขาต่างหากที่น่าชื่นชม เพราะด้วยสถิติดังกล่าวที่ว่าไปก่อนหน้านี้ น่าแปลกไหมล่ะที่เขาถึงอยู่กับ แมฟส์ เพียงทีมเดียวตลอดชีวิตยัดห่วงในเเดนมะกัน?

เกิดที่อื่นแต่รักที่นี่

"ผมคิดว่าผมเป็นคนที่มีความคิดค่อนข้างแตกต่างกับคนอื่นทั่วไป สำหรับผมนั้นผมให้ความสำคัญกับที่แห่งนี้เสมอ ดัลลัส คือเมืองที่ให้โอกาสผม และทำให้ผมโตเป็นคนเต็มคน ผมมาที่ตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่ม เมืองๆ นี้ทำให้ผมก้าวไปอีกครั้ง ผมคิดเสมอว่าผมอยากจะยุติอาชีพนักบาสเก็ตบอลที่นี่" โนวิตซกี้ เคยกล่าวคำซึ้งๆคำนี้ไว้เมื่อช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา


Photo : Facebook : Dallas Mavericks

หลายคนพร่ำบอกว่าเราควรใช้ชีวิตเพื่อส่วนร่วมมากกว่าการหาประโยชน์ส่วนตัว ยากนักจะหาใครสักคนที่ทำเช่นนั้นได้ ... ที่แน่ๆโลกได้รู้จักเเล้ว 1 คนนั่นก็คือ เดิร์ก โนวิตซกี้ คนนี้

ความเก่งกาจของ โนวิตซกี้ นั้นมากมายเสียจนไม่มีใครกล้าปฎิเสธได้ ไมเคิล จอร์เเดน เคยชื่นชมว่าเขาเป็น 1 ในใต้หล้าสำหรับนักกีฬาในรุ่นของเขา และด้วยความเป็นตัวท็อปนี้ โนวิตซกี้ คือผู้เล่นประเภทหล่อเลือกได้ เขาอยากได้ค่าเหนื่อยเท่าไหร่ ทุกทีมล้วนพร้อมยอมจ่าย เพื่อแลกกับศักยภาพที่ล้นเหลือ

ดังนั้นแน่นอนว่าทุกการต่อสัญญาฉบับใหม่ของเขาควรจะทำให้เขาร่ำรวยขึ้นจนสามารถขึ้นหน้าปกของนิตยสารธุรกิจอย่าง ฟอร์บส์ ได้สบายๆ แต่ก็อย่างที่กล่าวไว้ เขามีความคิดที่แปลกไปจากคนอื่นๆ จนถึงขั้นยอมไม่รับเงินค่าเหนื่อยเพิ่ม  และยิ่งไปกว่านั้นคือการยอมหักค่าเหนื่อยของตัวเองเพื่อนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งเพื่อเปิดทางให้ทีมมีพื้นที่ค่าเหนื่อยดึงสตาร์ดังๆ มาเสริมทัพ อย่างเช่นตอนที่แมฟส์คว้าตัว แชนด์เลอร์ พาร์สันส์ จาก ฮิวส์ตัน ร็อคเกตส์ มาช่วยทีมเมื่อปี 2014

และที่น่าเหลือเชื่อไปกว่านั้นในช่วงเวลาที่เขาจะยอมตัดสินใจลดค่าเหนื่อยของตัวเองกับ ดัลลัส มีทีมอย่าง แอลเอ เลเกอร์ส ในยุคของ โคบี้ ไบรอันท์ ที่พร้อมทุ่มไม่อั้นเพื่อเอาตัว โนวิตซกี้ ไปร่วมทีม

แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขชัดเจนว่า เลเกอร์ส มอบข้อเสนอให้เขาเท่าไหร่ แต่คาดกันว่าข้อเสนอดังกล่าวสูงกว่าที่เขาได้จากแมฟส์ หลายเท่านัก


Photo : Facebook : Dallas Mavericks

"ผมไม่มีเอเย่นต์แบบจริงๆ จังๆ เป็นของตัวเอง" โนวิตซกี้ กล่าวแบบติดตลก และเปิดเผยว่า โคบี้ เคยชวนเขาไปอยู่กับ เลเกอร์ส ในช่วงเวลาที่เขากำลังจะเป็นผู้เล่นฟรีเอเย่นต์

ประเด็นก็คือ เขาไม่ได้อยากร่ำรวย เขาแค่อยากจะสนุกกับการเล่นบาสเก็ตบอลระดับสูงต่อไปในเมืองดัลลัส ที่เป็นเหมือนบ้านหลังที่ 2 การยอมลดเงินเดือนของเขา ส่งผลให้แมฟส์ มีศักยภาพทีมโดยรวมที่ดีขึ้น และนั่นคือสิ่งที่เขาอยากเห็นมากกว่าตัวเลขในบัญชีที่พุ่งทะยานติดเพดานชนิดที่วาชาตินี้ใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด

ความจริงแล้วมีการเปิดเผยกราฟค่าเหนื่อยของเขานับตั้งแต่ปี 2011 ที่คว้าเเชมป์ว่าควรจะทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามกลไกการตลาดทั่วไป ซึ่งเมื่อมีการคำนวณจริงๆ จังๆ และหาตัวเลขออกมาเป็นตัวกลมๆ เเล้ว โนวิตซกี้ ควรมีรายรับโดยรวมที่สะสมมาตั้งแต่วันแรกสูงถึง 446 ล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว

แต่เขาเลือกที่จะยอมลดค่าเหนื่อยลงจากที่ควรจะได้ปีละ 25 ล้านเหรียญสหรัฐ ถูกลดเหลือเพียง 5 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น  ตีเป็นตัวเลขรวมๆ ที่เขายอมเสียประโยชน์ส่วนตนนั้นมีมูลค่าถึง 200 ล้านเหรียญเลยทีเดียว ... นี่คือสิ่งหาดูแทบไม่ได้เเล้วในทุกวงการกีฬา ณ ปัจจุบัน ที่ผู้เล่นจะเห็นภาพรวมของสโมสรใหญ่กว่าเงินในกระเป๋าของตัวเอง


Photo : Facebook : Dallas Mavericks

"ดัลลัส เหมือนเป็นบ้านของผม ผมได้รับกรีนการ์ด (Green Card) ลูกน้อยของผมก็เกิดที่นี่ พวกเขามีพาสปอร์ตอเมริกัน พวกเขารักดัลลัส และครอบครัวของเราจะอยู่ที่นี่ต่อไป"

"ผมเองก็ไม่เคยคิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะแพ็คกระเป๋าพาครอบครัวกลับประเทศเยอรมัน เพราะนี่ก็ผ่านมาเกิน 20 ปีเข้าให้เเล้ว"

เมื่อเขามอบหัวใจทั้งดวงให้กับ ดัลลัส จึงไม่น่าแปลกใจนักที่เขาจะได้ความรักเป็นสิ่งตอบกลับ ครั้งหนึ่งมีแฟนบาสเก็ตบอลของ แมฟส์ ได้ส่งเงินค่าอาหารกลางวันจำนวน 20 ดอลลาร์สหรัฐ มาให้กับเขา และมอบข้อความที่ทำให้ โนวิตซกี้ รู้สึกว่าแม้เขาจะไม่ได้เงินค่าเหนื่อยตอบแทนมากมาย แต่ความรักเหล่านี้ทำให้เขาอิ่มเอมหัวใจได้ไม่แพ้กัน


Photo : Facebook : Dallas Mavericks

"ขอบคุณสำหรับ 20 ปีแห่งความยิ่งใหญ่ เป็นเกียรติอย่างมากที่ผมได้เห็นคุณลงเล่นตั้งแต่ที่ผมเป็นเด็กน้อยจนถึงทุกวันนี้ ผมไม่สนใจว่าคุณจะได้รับการวิจารณ์จากไหน แต่ผมคิดว่าผมได้พูดในนามของชาวดัลลัสทุกคนว่าผมยกย่องและชื่นชมในทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำเพื่อเมืองๆนี้อยางแท้จริง คุณยอมลดค่าเหนื่อยตั้ง 6 ปี เพื่อทำให้ทีมของเรามีผู้เล่นเก่งๆ และคว้าแชมป์ จงรับมื้อออาหารกลางวันนี้ไว้ด้วย"

ล่าสุด โนวิตซกี้ เพิ่งประกาศต่อสัญญากับ แมฟส์ ออกไปอีก 1 ปี และนั่นหมายความว่าเขาได้กลายเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักยัดห่วงคนแรกในประวัติศาสตร์ NBA ที่ลงเล่นให้ทีมเดียวถึง 21 ฤดูกาลติดต่อกัน ซึ่งนอกจากจะอยู่กับทีมต่อเพื่อคอยประคองรุ่นน้องแล้ว การต่อสัญญาครั้งนี้ยังนำมาซึ่งภารกิจสำคัญอีกอย่าง นั่นคือการเป็นพี่เลี้ยงให้กับ ลูก้า ดอนซิซ ยอดนักแม่นห่วงชาวสโลวีเนียที่เพิ่งเข้ามาเป็นรุกกี้ในปีนี้ เพื่อปั้นให้เขาเป็นเสาหลักของแฟรนไชส์สืบเนื่องจากเขาต่อไป

เท่านั้นยังไม่พอ โนวิตซกี้ ยังฉายหนังม้วนเดิมด้วยการไม่ขอรับเงินค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้น โดยหนนี้เขาเสียสละยกเลิกออพชั่น เพื่อเปิดเพดานเงินเดือนให้ แมฟส์ สามารถเอาไปคว้าตัว ดีอันเดร จอร์เเดน เซ็นเตอร์จาก แอลเอ คลิปเปอร์ส แบบฟรีเอเย่นต์เพื่อเสริมเเกร่งให้กับทีม เพราะ 2 ปีที่ผ่านมาของ แมฟส์ นั้นเป็นช่วงเวลาที่น่าผิดหวังและแฟนๆก็ไม่ได้มีรอยยิ้มแบบเต็มที่เลย … มันเป็นการเซ็นสัญญาที่ใช้หัวใจของเขาล้วนๆ

"ผมก็ไม่รู้นะกับสิ่งที่เกิดขึ้น บางครั้งคุณก็แค่ย้ายออกจากทีมไปเท่านั้น แต่ผมหวังว่าเราจะมีผู้เล่นที่ดีเข้ามาให้ทีม ผมรู้ว่า มาร์ก (คิวบาน) และ ดอนนี่ (เนลสัน) จะพยายามทำอะไรก็ตามที่ทำให้ทีมได้ผลประโยชน์ เราอาจจะผิดหวังในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ผมเชื่อจริงๆว่าท้ายที่สุดแล้วเราจะมีทีมที่ดีแน่นอน"

ไม่ว่าสิ่งที่ โนวิตซกี้ กล่าวออกมาจะเป็นเรื่องจริงหรือแค่คำพูดที่ยกให้ตัวเองดูเป็นฮีโร่ของเมืองดัลลัสก็ตาม….จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เขาสมควรได้รับความเคารพจากก้นบึ้งของความรู้สึกที่แท้จริง

การตัดสินใจของเขาเหมือนกับเด็กชายคนหนึ่งที่ไม่รู้จักว่าเงินทอง, ลาภยศ, ชื่อเสียงคืออะไร และสำคัญแค่ไหน ขอเพียงแค่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการก็เพียงพอสำหรับโลกของเขา


Photo : Facebook : Dallas Mavericks

"ผมโชคดีมากจริงๆที่ได้มาใช้ชีวิตที่นี่ ผมไม่รู้สึกผิดอะไรสักอย่าง ผมทำเงินได้มากมาย ผมมีเจ้านาย (มาร์ค คิวบาน) ผู้ที่ให้การสนับสนุนและเชื่อมั่นในตัวผมมาโดยตลอด"

"ตอนผมอายุ 23-24 ผมได้รับสัญญาระดับเต็มแม็กซ์ 6 ปี ผมกลายเป็นแฟรนไชส์เพลเยอร์ ไม่มีสถานการณ์ไหนที่จะดีกว่านี้ได้อีกเเล้ว มันเหมือนฝันที่เป็นจริง ดัลลัส มอบสิ่งนี้ให้ผมเสมอมา ดังนั้นผมเองก็อยากจะตอบแทนพวกเขาด้วยการมอบความจงรักภักดีกลับไป พวกเขาเคยช่วยผมในวันที่ผมลำบาก ผมก็อยากจะช่วยพวกเขาในวันที่พวกเขายากลำบากบ้าง ... ผมอยากเก่งในฐานะทีม อยากให้เราเป็นทีมที่ดีและขับเคลื่อนไปข้างหน้า นี่คือความสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเเล้ว" โนวิตซกี้ อธิบายเรื่องการตัดสินใจของเขาได้อย่างชัดเจน…

ณ ตอนนี้ จากเด็กหนุ่มวัย 20 ปีชาวเยอรมัน กลายเป็นฉลามเฒ่าวัยย่างเข้าหลักสี่ เขาผ่านอะไรมาเยอะ เห็นอะไรมาเเยะ ตัดสินใจผิดๆก็มี แต่ที่ตัดสินใจถูกแน่นอน คือการเลือกมอบหัวใจให้กับ ดัลลัส แมฟเวริกส์ ทีมที่ให้เขามากกว่าแค่เงินหรือชื่อเสียง …. มันคือสิ่งที่คนโชคดีจริงๆเท่านั้นจึงจะได้เจอ… และสิ่งที่เขาตอบแทนแมฟส์ มันยิ่งกว่าคำพูดโก้หรูใดๆ

“ทุกอย่างผ่านไปเร็วมากเลยนะ...คุณลองนึกภาพว่าคุณเป็นวัยรุ่นชาวเยอรมันวัย 20 ปี ที่มองเป้าหมายไว้แค่ว่าเอาล่ะตอนอายุ 30 ฉันคงมาถึงที่สุดของชีวิตที่ฉันจะทำได้เเล้ว”

“... ดูผมสิ ตอนนี้ผมเดินทางจนมาโผล่เอาปลายอุโมงค์แล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ เป็นช่วงเวลาที่สนุก และเป็นเส้นทางที่เกินจะกล่าวเป็นคำพูดได้ เวลามันผ่านไปเร็วจนผมไม่ทันรู้ตัวจริงๆ น่ะแหล่ะ” เดิร์ก ในวัย 40 ปีกล่าวราวกับรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้

เพราะหลังจากนั้นไม่นาน เดิร์ก โนวิตซกี้ ก็ประกาศรีไทร์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา การเดินทางตลอดระยะเวลา 21 ปี กับทีมๆเดียวนั้นยิ่งใหญ่พอที่จะทำให้วันอำลาของเขาอบอวลไปด้วยมิตรภาพจากใครก็ตามที่รักบาสเก็ตบอล

กลุ่มผู้บริหาร,เพื่อนร่วมทีมทั้งในอดีตและปัจจุบันรวมถึงแฟนๆของ ดัลลัส มากันเต็มความจุของ  American Airlines Center เพื่อเป็นเกียรติแก่ชายเยอรมันผู้ยิ่งใหญ่รายนี้  

"มากันเยอะเลยนะครับ" เดิร์ก เริ่มต้นอย่างเขินๆ ก่อนจะลงท้ายด้วยการขอบคุณแบบหาที่เปรียบไม่ได้

"ขอบคุณจริงๆสำหรับความรักที่ทุกคนมอบให้ สิ่งใดๆก็ตามที่คุณส่งมาถึงผม ผมจะเก็บมันไว้กับตัวตลอดไป"

เดิร์ก ว่าจบก็ถึงเวลาที่แฟนๆจะตอบเเทนเขาบ้าง จำนวนผู้ชมเต็มความจุพร้อมใจกันประสานเสียงว่า THANK YOU DIRK! THANK YOU DIRK! THANK YOU DIRK!  

การบอกลาครั้งนี้สมเกียรติกับชายผู้นำพาเมือง ดัลลัส ให้ตื่นจากความซบเซาและกลายเป็นได้รับความเคารพไปตลอดกาล... 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook