ปาฎิหาริย์แห่งรักของ “สตีเฟ่น มิลเลอร์” … Forrest Gump ในโลกแห่งความจริง

ปาฎิหาริย์แห่งรักของ “สตีเฟ่น มิลเลอร์” … Forrest Gump ในโลกแห่งความจริง

ปาฎิหาริย์แห่งรักของ “สตีเฟ่น มิลเลอร์” … Forrest Gump ในโลกแห่งความจริง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"ผมชื่อ สตีเฟ่น … สตีเฟ่น มิลเลอร์ ผมเชื่อว่าที่ใดมีความประสงค์ ที่นั่นย่อมมีวิธีการสำหรับสร้างมันเสมอ"

ภาพยนตร์เรื่อง Forrest Gump คือภาพยนตร์ระดับโคตรตำนานและเป็นอมตะที่หากใครได้ดูแล้วยากเหลือเกินที่จะรู้สึกอิ่มเอมหัวใจและรู้สึกถึงความสวยงามของชีวิต แม้ในวันที่มันเลวร้ายที่สุด ฟอร์เรสต์ กัมพ์ คือชายผู้พิการทางสมองที่มองโลกในแง่บวกยิ่งกว่าใครก็ตามบนโลกนี้ สิ่งใดที่คนปกติมองว่าเป็นปัญหา ฟอเรสต์ จะเดินเข้าไปหาและจัดการมันด้วยจิตใจที่แสนบริสุทธ์ของเขาเอง ...

นี่คือเรื่องราวของปาฎิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับนักกีฬาคนพิการของสหราชอาณาจักร ที่ไม่รู้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีอิทธิพลกับเขามากขนาดไหน ทว่าช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของ สตีเฟ่น มิลเลอร์ มันเหมือนกับว่าเขาสวมวิญญาณ ฟอร์เรสต์ กัมพ์ ในโลกแห่งความจริง โดยเฉพาะประโยคที่บอกว่า "ถึงผมจะไม่ใช่คนฉลาดนัก แต่ผมก็รู้ว่าความรักคืออะไร"

ลูกต้องใช้สิ่งที่พระเจ้าให้มาดีๆ

"ผมเกิดมาพร้อมกับความพิการทางสมอง ผลของมันส่งผลให้ผมไม่สามารถตอบสนองอะไรได้เร็วนัก ที่สำคัญมันยังทำให้กล้ามเนื้อของผมไม่มีความสมดุลและไม่สามารถใช้งานได้ปกติ" สตีเฟ่น มิลเลอร์ แนะนำตัวอย่างภาคภูมิใจถึงสิ่งที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด


Photo : www.chroniclelive.co.uk

เด็กน้อยจากไทน์ไซด์ เมืองนิวคาสเซิล มีชีวิตที่ยากกว่าเด็กปกติ ในช่วงเวลาที่ยังอยู่ในวัยเด็กเขาไม่ได้มีปัญหากับร่างกายของตัวเองมากนัก ความคิดที่เชื่องช้า และการโดนเด็กคนอื่นๆ แกล้งเพราะความแตกต่างไม่ใช่สิ่งที่เขากังวลอะไร เพราะ “คนโง่ ย่อมแสดงออกแบบโง่ๆ” ก็เท่านั้นเอง … แม้จะยังเด็กแต่เขารู้ดีว่าการมองโลกในแง่ดีจะทำให้สามารถใช้ชีวิตโดยปกติได้ ดังนั้น สตีเฟ่น จึงตั้งใจศึกษาเรื่องการเขียนโปรแกรมตั้งแต่ยังเด็ก เพราะมันคืองานที่ใช้สมรรถภาพทางร่างกายน้อยที่สุด อย่างไรก็ตามชีวิตคนเราเมื่อเกิดมาแล้วไม่มีสิ่งใดง่าย การอยากได้การยอมรับก็ต้องแลกมากับการพิสูจน์ตัวเองจากทุกอุปสรรคที่เกิดขึ้น

ตอนอายุ 13 ปี ปัญหาเรื่องสมองทำให้กล้ามเนื้อของเขาอ่อนแรงเพิ่มเติมจากช่วงวัยเด็ก จากที่แค่พอเดินได้บ้างในระยะสั้นๆ ยามที่อยู่ในบ้าน แต่อาการรอบนี้ทำให้เขาแขนขาอ่อนแรงจนไม่สามารถเดินได้ และแพทย์วินิจฉัยว่าสิ่งนี้จะต้องอยู่กับเขา "ตลอดไป"


Photo : www.chroniclelive.co.uk

"ผมต้องเริ่มใช้รถเข็นตอนอายุ 13 ปี จะไปไหนมาไหนไกลๆ ก็ต้องใช้มันตลอด" เขายอมรับว่าในช่วงแรกๆ มันรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างและมองว่าตัวเองนั้นโชคร้ายเกินไป เพราะจากเดิมที่เขาใช้ชีวิตที่ค่อนข้างลำบากอยู่แล้ว แต่การป่วยซ้ำซ้อนทำให้เป้าหมายในการใช้ชีวิตของ สตีเฟ่น สั่นคลอนไปบ้าง เขาใช้เวลาสู้กับเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ และเริ่มเข้าใจว่า 2 สิ่งที่สมควรทำในเวลานี้คือ ลุกขึ้นมาสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้มากที่สุด และหากความพยายามในข้อแรกไม่บรรลุ สิ่งที่เขาควรทำคือการยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น

แล้วเขาก็โชคร้ายจริงๆ นั่นแหละ การพยายามฝึกร่างกายและกายภาพบำบัดไม่สามารถทำให้เขากลับมาเดินได้อีกครั้งตามที่หมอบอก สิ่งที่ต้องทำข้อแรกล้มพับลงไป ดังนั้นข้อสุดท้ายที่ว่าด้วยการยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นจึงต้องเริ่มขึ้นในทันที

ทว่าการยอมรับของเขานั้นไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมจำนน สตีเฟ่น ยอมรับว่าตนเองเป็นผู้พิการ แต่ก็มั่นใจว่าการพิการนี้จะไม่ได้ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้จุดหมาย อย่างน้อยๆ เขาจะต้องกลายเป็นนักกีฬาและได้ลงเล่นศึกชิงความเป็นหนึ่งอย่าง พาราลิมปิก เกมส์ ให้ได้

"ความบกพร่องทางสมองอย่างรุนแรง สร้างความไขว้เขวให้ผมเป็นอย่างมาก แต่พ่อแม่ผมปลูกฝังให้ผมมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ อย่างน้อยๆ สิ่งแรกท่านอยากให้ผมกล้าหาญยอมรับสิ่งที่เป็น และเลือกเดินตามเส้นทางที่ตัวเองอยากจะเดิน" แม้ขาจะเดินหน้าไม่ได้ แต่ความฝันของเขาสามารถขับเคลื่อนไปได้ด้วยพลังใจที่เหลือล้น


Photo : www.chroniclelive.co.uk

การที่แม่และพ่อของ สตีเฟ่น เลี้ยงดูเขามาแบบเด็กธรรมดาคนหนึ่ง จึงทำให้เขาเองเริ่มกลับมารู้สึกสนุกและมีความสุขกับการใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง แม้สถานการณ์นั้นแทบจะไม่มีอะไรให้สร้างความสุขได้เลยก็ตาม เขายึดถือและทำตามคำสอนของแม่มาตลอดชีวิต แม่สอนให้เชื่อว่าเขาไม่ได้แตกต่างจากเด็กคนอื่น เหมือนกับที่แม่ของ ฟอร์เรสต์ กัมพ์ บอกกับลูกชายของเธอ ดังนั้น ทั้ง ฟอร์เรสต์ และ สตีเฟ่น จึงเหมือนกันมากๆ ในแง่ของการใช้ชีวิต เพราะหากพวกเขาพบว่าสิ่งใดที่ทำให้ตัวเองมีความสุขพวกเขาจะตั้งใจทำสิ่งนั้นอย่างไม่รู้จักเบื่อ

มีประโยคหนึ่งในเรื่องที่บอกว่า "ลูกต้องสร้างปาฎิหาริย์ด้วยตัวเอง ต้องทำให้ดีที่สุดกับสิ่งที่พระเจ้าให้ลูกมา" ก่อนที่ กัมพ์ จะถามกลับไปว่า แล้วปาฏิหาริย์คืออะไร? คำตอบที่ได้กลายเป็นวลีสุดคลาสสิก "ชีวิตก็เหมือนกับช็อคโกแล็ต คุณไม่มีวันรู้ว่าจะได้อะไรจนกว่าที่คุณจะเปิดมัน"    

สิ่งที่ สตีเฟ่น ทำคือการสร้างปาฏิหาริย์ให้ตัวเอง การเปิดกล่องช็อคโกแล็ตของเขามันทำให้เขาสรุปได้ว่า ชีวิตของเขาในทุกวันนี้มีความสุขและมีความสนุกกับการเล่นกีฬาที่สุดแล้ว

ชีวิตเหมือนกล่องช็อคโกแล็ต?

การจะเข้าไปเป็นนักกีฬาระดับพาราลิมปิกนั้น สตีเฟ่น จำเป็นจะต้องไปเข้าฝึกและรายงานตัวที่ศูนย์กีฬาสำหรับผู้พิการ และต้องเข้าทดสอบสมรรถภาพต่างๆ เพื่อหาชนิดกีฬาที่เหมาะสมกับร่างกายที่สุด ซึ่งการออกจากบ้านไปเปิดหูเปิดตาครั้งนี้ทำให้เขาได้เจอกับ เรเชล โทแลนด์ เจ้าหน้าที่สาวที่ทำหน้าที่คอยดูแลนักกีฬาคนพิการที่อยู่ในการดูแลของสมาคม และแน่นอนเมื่อน้องใหม่อย่าง สตีเฟ่น เข้ามาก็เป็นหน้าที่ของ เรเชล ที่จะต้องรับหน้าที่คอยดูแลและให้คำแนะนำต่างๆกับเขา และจากคำแนะนำที่เกิดจากจิตใจที่อ่อนโยน สตีเฟ่น เจ้าหนุ่มที่ไม่เคยรู้จักกับความรัก ก็รู้สึกได้แล้วว่าการตกหลุมรักแท้จริงนั้นเป็นอย่างไร


Photo : www.chroniclelive.co.uk

เรเชล ค่อนข้างประหลาดใจกับความมั่นใจที่ไม่เคยเจอจากนักกีฬาที่เธอเคยดูแลมาก่อน สตีเฟ่น เป็นคนที่เอาจริงเอาจังมากกับการฝึกซ้อม เพราะเขารู้ดีว่าการจะได้รับการยอมรับจำเป็นต้องแสดงออกให้เห็นถึงความพยายามที่เหนือคนอื่นๆ เขาเริ่มกลายเป็นนักกีฬาอาชีพตั้งแต่ปี 1996 และลงเล่นในกีฬาประเภท Club Throw หรือเทียบเท่ากับการพุ่งแหลนของการแข่งขันโอลิมปิก เรเชล เห็นถึงความพยามและความใจสู้ของสตีเฟ่น แต่ก็ยังไม่ได้คิดอะไรมากกว่าชื่นชมในสิ่งที่เขาทำเท่านั้นเอง

การมี เรเชล อยู่ข้างๆ ส่งผลให้พลังของ สตีเฟ่น เพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว มันคือพลังของการอยากจะเอาชนะใจ ที่รุนแรงเทียบเท่ากับความกระหายที่จะได้เป็นเจ้าของเหรียญทองในกีฬา พาราลิมปิก แม้ปัญหาเกี่ยวกับร่างกายอาจจะมากแต่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเอามาเป็นข้ออ้างในการพัฒนาตัวเอง ... "คุณอาจเป็นมนุษย์ปัญญาอ่อน แต่อย่าพยายามเป็นคนงี่เง่า" ประโยคดังกล่าวทำให้ สตีเฟ่น กลายเป็นยอดนักกีฬาคนพิการระดับทีมชาติสหราชอาณาจักรในที่สุด


Photo : www.thejournal.co.uk

สตีเฟ่น ได้โอกาสเข้าแข่งขันและกลายเป็นนักกีฬาของทีม GB ที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เหรียญทองใน พาราลิมปิก เกมส์ ที่ แอตแลนต้า สหรัฐอเมริกาใน ปี 1996 ก่อนที่เขาและเรเชล จะกลายเป็รทีมที่ยอดเยี่ยม ทั้งสองคนช่วยกันผลักดันกันและกันจนนับวันก็ยิ่งรู้ใจกันมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียกับฝีมือในการเล่น คลับ โทรว์ ของ สตีเฟ่น ที่พัฒนาขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังนั้นเหรียญทองในการแข่งขันที่ ซิดนี่ย์, เอเธนส์ และ ปักกิ่ง จึงไหลมาเมาอย่างต่อเนื่อง ณ ตอนนั้นมีคนถามเขาว่าอะไรคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต สตีเฟ่น ไม่ลังเลเลยที่จะตอบว่า "การคว้าเหรียญในพาราลิมปิก 6 เหรียญ และการทำลายสถิติโลกไงล่ะ"


Photo : www.stephenjamesmiller.co.uk

ช่วงเวลาแห่งความพยายามและความสำเร็จ ก่อตัวให้เกิดความใกล้ชิดที่มากขึ้น เรเชล เริ่มยอมรับในตัวของ สตีเฟ่น และทั้งคู่ก็ตกลงปลงใจคบหากัน เธอไม่สนสายตาคนภายนอกและมั่นใจว่าผู้ชายคนนี้จะต้องดูแลเธอได้ ...

อย่างไรก็ตามการที่มนุษย์ 2 คนจะรักกันได้และยอมมองข้ามอุปสรรคกับความผิดปกติทั้งหมดแบบไร้เงื่อนไข ย่อมต้องมีบทพิสูจน์เพื่อให้รู้ว่าเมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ใครคนหนึ่งจะเลือกตัดช่องน้อยแต่พอตัวหรือไม่ พระเจ้าจึงส่งบททดสอบมาให้กับ สตีเฟ่น อีกครั้งหนึ่ง


 www.chroniclelive.co.uk

ในช่วงปี 2010 เขาโชคร้ายที่ถูกตรวจพบว่ามีปัญหาที่สะโพกอย่างรุนแรง เขาต้องรับการผ่านตัดและการผ่าตัดครั้งนี้อาจจะส่งผลต่อปาฎิหาริย์ที่อยากจะเดินได้และใช้ชีวิตปกติของเขา ตัว สตีเฟ่น เองรู้ดีว่าเหตุผลที่เขาอยากจะเดินได้อีกครั้งมันมาจากการอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับ เรเชล โดยไม่ต้องมีรถเข็นคอยเกะกะ เพราะตลอดช่วงเวลาที่ทั้งสองคนพบกัน สตีเฟ่น ต้องใช้ชีวิตอยู่บน วีลแชร์ มาตลอด

"ในกล่องอาจจะมีช็อกโกแล็ตหลายรสปะปนกัน เราอาจไม่รู้ว่าชิ้นไหนจะเป็นรสอะไร หรืออาจจะเลือกกินรสที่ตัวเองชอบก่อนได้ แต่วันหนึ่งเราก็ต้องกินรสที่ไม่ชอบอยู่ดี" ทั้งคู่ต้องรับมือกับช็อคโกแลตชิ้นที่มีรสชาติไม่ถูกปากอีกครั้ง เพื่อคอยลุ้นว่าหากชิ้นนี้หมดแล้ว ชิ้นต่อไปจะกลายเป็นชิ้นที่มีรสชาติหอมหวานหรือไม่?

แพทย์ระบุว่า สมรรถภาพสะโพกของสตีเฟ่นเหมือนกับคนอายุ 70 ปี ทั้งๆ ที่เขายังอายุไม่ถึง 30 ปีด้วยซ้ำ หากไม่ผ่าตัด จะนำมาซึ่งปัญหาทางร่างกายอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นการผ่าตัดครั้งนี้มีความหมายเป็นอย่างมากสำหรับ สตีเฟ่น เพราะมันทำให้เขาได้เห็นว่าในวันที่ชีวิตพบกับความยากลำบากและหมดหวัง เรเชล ยังไม่เลือกเดินจากเขาไปไหน เธอยังช่วยดูแลเขาเป็นอย่างดี และนั่นทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าผู้หญิงคนนี้คือหนึ่งในปาฏิหาริย์จากล่องช็อคโกแลตของเขาอย่างแน่นอน ... "ถึงผมจะโง่ แต่ผมก็รู้ความรักคืออะไร" ประโยคเด็ดจาก ฟอร์เรสต์ กัมพ์ ประโยคนี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายสถานการณ์ของ สตีเฟ่น เพิ่มเติมใดๆ อีกแล้ว เรเชล คือคนที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาได้แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

คุณอยากจะรู้ที่มาที่ไปของใคร ให้ดูที่รองเท้าของเขา

"คุณอยากจะรู้ที่มาที่ไปของใคร ให้ดูที่รองเท้าของเขา" คือประโยคที่ ฟอร์เรสต์ ใช้เล่าในช่วงเปิดเรื่อง เขามองเห็นรองเท้าคู่ใหม่สะอาดเอี่ยมของผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งรอรถเมล์ข้างๆเขา ขณะที่รองเท้าของ ฟอร์เรสต์ นั้นเต็มไปด้วยคราบโคลนที่แสดงให้เห็นว่ากว่าจะได้มาถึงตรงนี้เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง


Photo : www.chroniclelive.co.uk

มันเปรียบเทียบได้กับการที่ สตีเฟ่น เห็นรองเท้าของ เรเชล ผู้หญิงคนนี้ผ่านอะไรกับเขามากตั้งแต่การดูแลตามหน้าที่ จนไปถึงความใส่ใจในฐานะคนข้างกาย ไม่มีคำพูดไหนจะอธิบายได้ดีกว่าการเห็นด้วยตาของตัวเอง และเมื่อทุกอย่างชัดเจนแบบไร้ข้อโต้แย้ง เขาก็รู้ว่าควรจะต้องของเธอแต่งงาน  

ในปี 2013 สตีเฟ่น นั่งอยู่บนรถวีลแชร์ขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินเล่น เขาหยุดรถนิ่งเพื่อให้ เรเชล หันมามองว่ามีเรื่องผิดปกติอะไรขึ้นกับเขากันแน่เธอจะได้ช่วยเหลือแบบที่เคยทำ เรเชล ก้มมาดูใกล้และพบว่า "แหวนเพชร" วงหนึ่งอยู่บนตักของ สตีเฟ่น และเขาอยากจะสวมมันให้กับเธอ "แต่งงานกับผมนะ" คำพูดที่โรแมนติกที่สุดในชีวิตของลูกผู้ชายหลุดออกมาจากปาก สตีเฟ่น จากนั้นคำตอบที่หวานที่สุดในชีวิตของลูกผู้หญิงก็ตามมา "ตกลงค่ะ" เรเชล พร้อมแล้วที่จะฝากชีวิตไว้กับผู้ชายบนวีลแชร์คนนี้

งานแต่งงานจัดขึ้นที่โรงแรม ฮิลตัน เกตส์เฮด ในเดือนสิงหาคมปี 2013 ทันทีที่ เรเชล เดินออกมาพร้อมกับชุดเจ้าสาวพร้อมกับพ่อของเธอที่เป็นคนส่งตัว สตีเฟ่น ถึงกับอมยิ้มไม่หุบ  "ผมรู้สึกเหมือนกับเดินอยู่บนดวงจันทร์ ผมรู้สึกประหม่ามาก เรเชล ดูสวยจริงๆ ผมหมดสิทธิ์คิดเลยว่าจะหาคนสวยกว่าเธอแบบนี้ได้ที่ไหน" สตีเฟ่น เล่าถึงบรรยากาศในวันนั้น

ในขณะที่ เรเชล เดินไปรออยู่กับบาทหลวง ก็ได้เวลาที่เจ้าบ่าวจะต้องเข้ามาหาเธอด้วยรถวีลแชร์เหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ สตีเฟ่น กลับเข็นรถมาแค่หน้าประตู และทำในสิ่งที่ เรเชล ไม่อยากจะเชื่อสายตา ชายที่เดินไม่ได้มาเกือบตลอดชีวิต ลงจากรถเข็นและเดินเข้ามาหาเธอด้วยท่าเดินที่อาจจะดูไม่มั่นคง แต่ช่างทรงพลังและแสดงให้เห็นว่าความรักนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน


Photo : hailfabio.wordpress.com

"ผมเดินได้ดีเลยใช่ไหมล่ะ?" สตีเฟ่น เดินมาถึง เรเชล และยิ้มหวานพร้อมกับทักทายพร้อมด้วยการตบมุก "เดี๋ยวอีกสักพักผมว่าผมเต้นรำกับคุณได้แน่เลย"   

เรเชล ไม่ประหลาดใจกับสิ่งที่เห็น เพราะเธอเองก็แอบรู้มาว่าหลังจากที่เขาขอเธอแต่งงาน สตีเฟ่น ใช้ความพยายามในการหัดเดินให้ได้อีกครั้งในรอบกว่า 20 ปี เพื่อให้วันแต่งงานของทั้งสองคน แต่เหนือสิ่งอื่น ไม่ใช่แค่การเดินได้เท่านั้น การลุกยืนโดยปราศจากวีลแชร์ของ สตีเฟ่น ทำให้ เรเชล ได้เห็นในสิ่งที่แตกต่างออกไปจากที่เคยเห็น อย่างน้อยๆ เธอก็ได้รู้ว่าจริงแล้ว สตีเฟ่น ก็ตัวสูงไม่เบาเลยทีเดียว … "แปลกมากเลย เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าคุณสูงกว่าฉันตั้งฟุตนึง" เธอหัวเราะ  

"คุณอยากจะรู้ที่มาที่ไปของใคร ให้ดูที่รองเท้าของเขา" ประโยคนี้ถูกนำกลับมามองในมุมของ เรเชล บ้าง กว่าที่ปาฏิหาริย์จะเกิดและสตีเฟ่นจะเดินได้อีกครั้ง มันเกิดจากการนำทางของตัวเขาเอง


Photo : www.chroniclelive.co.uk

"ตลอดเวลาที่คบกับคุณผมนั่งแต่บนรถเข็น เห็นผมเดินได้แล้วเป็นไงบ้าง? ผมสูงกว่าคุณนะ เยี่ยมเลยนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ดูถูกคุณล่ะที่รัก" สตีเฟ่น รับมุกอย่างรู้ใจก่อนที่แขกทั้งงานจะซาบซึ้งกับเรื่องราวความรักของเขาทั้งคู่

ทังสองกลายเป็นคู่ชีวิตกันตั้งแต่วันนั้นจนถึงทุกวันนี้ "ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นทุกวัน … หลายคนไม่ยอมเชื่อ แต่มันจริง" ฟอร์เรสต์ กัมพ์ ว่าไว้ก่อนที่เขาจะจบบทสนทาของเรื่องนี้ ...

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook