"หมู่เกาะโซโลมอน" : ประเทศยากจนติดอันดับโลกที่มี "ฟุตซอล" เป็นความหวังของชาติ
ทั้งที่เพิ่งรู้จักกับฟุตซอลได้ไม่ถึง 20 ปี แต่มันได้กลายเป็นลมหายใจของพวกเขาไปแล้ว
“กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลส ทำตนให้เป็นคน” ส่วนหนึ่งของเนื้อร้องจากเพลงกราวกีฬาสุดคลาสสิค สื่อความหมายของกีฬาในอีกมุมหนึ่งได้อย่างชัดเจน เพราะนอกจากจะทำหน้าที่เพื่อความบันเทิงแล้ว มันประโยชน์ต่อตัวผู้เล่นในด้านอื่นๆ
หมู่เกาะโซโลมอน คือหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนสำหรับเรื่องนี้ กีฬาฟุตซอล สำหรับพวกเขามันไม่ใช่แค่การแข่งขัน แต่กลับมีความหมายต่อชาวโซโลมอน ในหลากหลายมิติ และนี่คือเรื่องราวของพวกเขา
ประเทศจนสุดของภูมิภาค
ท่ามกลางมหาสมุทรแปซิฟิกอันกว้างใหญ่ไพศาล ห่างออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย มีหมู่เกาะน้อยใหญ่กว่า 900 เกาะ กระจัดกระจายรวมกันเป็นรัฐที่ชื่อว่า หมู่เกาะโซโลมอน ตั้งอยู่
พวกเขาคือประเทศที่ยากจนที่สุดกลุ่มประเทศหมู่เกาะแปซิฟิค รายได้เฉลี่ยต่อหัวจากการสำรวจของสหประชาชาติอยู่แค่เพียงราว 41,500 บาท ต่อปี หรือราว 3,000 บาทต่อเดือน เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ดำรงอาชีพด้วยการทำเกษตรกรรมเป็นหลัก
อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้หมู่เกาะโซโลมอน พัฒนาไปได้ไม่มากคือสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1998-2003 ที่มีต้นเหตุจากความขัดแย้งทางเชื้อชาติ ระหว่าง มาไลทัน และ กัวดัลคาแนล สองชนเผ่าที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ
จุดเริ่มต้นมาจากชาวเกาะมาไลทัน ต้องการแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า จึงเดินทางมาหางานทำที่เกาะ กัวดัลคาแนล ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองหลวง โฮเนียรา การมาถึงของผู้มาเยือนจากเกาะอื่นสร้างความไม่พอใจให้กับเจ้าถิ่นเป็นอย่างมาก จนนำไปสู่การปะทะกันของทั้งสองฝ่าย และลุกลามจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ชาวมาไลทันนับพันคน ที่เดิมอาศัยอยู่บนเกาะกัวดาลคาแนลต้องละทิ้งบ้านเรือนเพื่อหนีตายเอาตัวรอด ผู้บริสุทธิ์มากมายถูกทำร้ายร่างกายและทรมาน เด็กจำนวนมากถูกลักพาตัว หลายคนถูกข่มขืนที่ทุกวันนี้ยังหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษไม่ได้
สงครามกลางเมืองดำเนินไปจนถึงระดับที่รัฐบาลหมู่เกาะโซโลมอน เกินจะควบคุม พวกเขาจึงต้องร้องขอความช่วยเหลือไปยัง ออสเตรเลีย ผู้นำกลุ่มประเทศหมู่เกาะแปซิฟิค ก่อนที่จะได้รับการส่งทหาร ตำรวจ และผู้เชี่ยวชาญ เข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งทำให้เหตุการณ์เริ่มจะคลี่คลายได้ในที่สุด
ตามรายงานของ คณะกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองหมู่เกาะโซโลมอนระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าว มีผู้เสียชีวิตไปถึง 200 ราย (คาดว่าน่าจะสูงกว่านั้น) ผู้คนจำนวนมากต้องไร้ที่อยู่อาศัย ส่งผลให้เศรษฐกิจของพวกเขาพังพินาศไม่เหลือชิ้นดี
แต่ถึงกระนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าวก็มีชายคนหนึ่งเข้ามามอบความหวังให้พวกเขา
บาทหลวงจากเกาะใหญ่
ย้อนกลับไปในปี 2002 ที่หมู่เกาะโซโลมอน ยังอยู่ในช่วงสงครามกลางเมือง ไบรอัน โคดริงตัน บาทหลวงจากรัฐนิวเซาธ์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย ได้เดินทางไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อมอบของขวัญให้แก่เด็กๆ ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส
แรกเริ่มเดิมที เขาตั้งใจมาแค่มอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่เด็กๆ ที่กำลังหดหู่จากภาวะสงคราม แต่การได้คุยกับนายกเทศมนตรีเมืองโฮเนียรา ก็ทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป
“ผมบอกว่ามันเป็นเรื่องดีที่เราจะมีของเล็กๆ น้อยๆ แจกในช่วงคริสต์มาส แต่มันมีสิ่งที่เราสามารถทำได้มากกว่านั้นในระยะยาว จากคำตอบของคำถามนั้น เราจึงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเด็กๆ ในหมู่เกาะโซโลมอน” โคดริงตันกล่าว
เด็กๆ ในตอนนั้นต่างพากันสิ้นหวังมาก พวกเขาแทบมองไม่เห็นอนาคต หลังต้องเผชิญกับภาวะสงครามมาเกือบครึ่งทศวรรษ ทว่ามันยังมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขายังมีแรงอยู่ นั่นก็คือฟุตบอล
อันที่จริงหมู่เกาะโซโลมอน รู้จักฟุตบอลมาตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1970 แต่ก็ยังไม่สามารถสู้กับเพื่อนร่วมทวีปได้ ผลงานที่ดีที่สุดของพวกเขาคืออันดับ 3 โอเชียเนียในปี 1996 และปี 2000 แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังเป็นกีฬาที่ทำให้พวกเขาสนุกได้ในสภาวะเช่นนี้
“แพสชั่นของชาวหมู่เกาะโซโลมอนคือฟุตบอลกลางแจ้ง แต่เพราะแพสชั่นที่มีต่อเกมกลางแจ้งของพวกเขา ขัดกับการขาดแคลนสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ในประเทศ ฟุตบอลสนามเล็กซึ่งใช้เนื้อที่น้อยกว่าจึงเข้ามาอยู่ในวิถีชีวิตของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย”
จากหมู่เกาะสู่เวทีระดับโลก
เนื่องจากในตอนนั้นหมู่เกาะโซโลมอน ยังไม่มีองค์กรกีฬาเกี่ยวกับเด็ก โคดริงตัน จึงรับหน้าเสื่อเป็นผู้จัดการ เขาเริ่มต้นด้วยการสอนให้เด็กๆ ได้รู้จักกับฟุตซอล ตั้งแต่พื้นฐาน กติกา ไปจนถึงส่งเด็กเข้าแข่งขันในทัวร์นาเมนต์ของออสเตรเลียตั้งแต่ปี 2003
อย่างไรก็ดี ด้วยทรัพยากรที่จำกัด ทำให้นักฟุตซอลหมู่เกาะโซโลมอน เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่แร้นแค้น พวกเขาไม่มีรองเท้า ไม่มีลูกฟุตซอล หรือแม้แต่สนามแข่งในร่ม ต้องใช้สนามดินในที่โล่งที่พร้อมเปลี่ยนเป็นโคลนเสมอยามฝนตก เป็นสนามในการฝึกซ้อม
อย่างไรก็ดี ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่พวกเขาก็กลับสามารถพัฒนาฝีเท้าได้อย่างก้าวกระโดด หมู่เกาะโซโลมอน เริ่มต้นด้วยการคว้าอันดับ 5 ในฟุตซอลชิงแชมป์โอเชียเนีย ในปี 2004 ก่อนที่หลังจากนั้นจะประกาศศักดาคว้าแชมป์ระดับทวีปได้ถึง 4 สมัยติดต่อกัน ตั้งแต่ปี 2008-2011
“เราจะเห็นเด็กจำนวนมากที่ไม่มีลูกบอล เตะถุงกระดาษ หรือเตะอะไรที่พวกเขาหาได้ใต้ต้นมะพร้าว” โคดริงตันกล่าว
“แกนหลักของคุรุคุรุ (ทีมชาติหมู่เกาะโซโลมอน) ชุดนี้ มาจากเด็กพวกนั้น และเด็กที่ตามรอยความสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น”
การคว้าแชมป์โอเชียเนียคัพ ทำให้หมู่เกาะโซโลมอน ได้ผ่านเข้าไปเล่นในฟุตซอลโลกรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกที่บราซิลในปี 2008 และครั้งต่อมาที่ประเทศไทยในปี 2012
ในเวทีระดับโลกครั้งแรกหมู่เกาะโซโลมอน กลายเป็นทั้งทีมแจกแต้มและแจกประตูให้กับคู่แข่ง เมื่อเสียไปถึง 69 ประตูจาก 4 นัด รวมไปถึงเกมที่พ่ายต่อรัสเซียขาดลอย 31-2 และบราซิลถึง 21-0
อย่างไรก็ดีในฟุตซอลโลก ครั้งที่ 2 ของพวกเขา หมู่เกาะโซโลมอนก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ประสบการณ์ทำให้พวกเขาเติบโตขึ้น แม้จะพ่าย 2 นัดรวดให้กับ รัสเซียและ โคลอมเบีย แต่ในนัดสุดท้าย พวกเขาก็สามารถสร้างประวัติศาสตร์ได้สำเร็จ ด้วยการเฉือนชนะกัวเตมาลา 4-3 เก็บ 3 คะแนนแรกในเวทีฟุตซอลโลกได้สำเร็จ (และส่งผลเด้งชิ่งให้ทีมชาติไทยเข้ารอบ 16 ทีมอีกด้วย)
ก่อนที่ในปี 2016 ที่โคลอมเบีย หมู่เกาะโซโลมอน จะได้มาเล่นในรายการนี้เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน ด้วยตำแหน่งแชมป์ระดับทวีปสมัยที่ 5 ของทีม
แม้ว่าในครั้งนี้หมู่เกาะโซโลมอน จะคว้าชัยไม่ได้แม้แต่เกมเดียว แต่การมาเล่นในรายการนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขากลายเป็นฮีโร่ของประเทศ
เธอคือลมหายใจ
“เมื่อไรก็ตามที่หมู่เกาะโซโลมอนลงเล่น เราแทบคลั่ง เพราะความเป็นจริงคือตอนที่เรากลับบ้านทุกคนจะรู้ว่าเราคือใคร รู้จักทุกคนเป็นรายบุคคล” เอลเลียต ราโกโม กัปตันทีมชาติหมู่เกาะโซโลมอน กล่าวหลังเกมพ่ายคอสตาริกาอย่างสนุก 2-4 ในนัดประเดิมสนามฟุตซอลโลก 2016
“พวกเขาติดตามทีมโซโลมอน พวกเขารู้เรื่องทีม เมื่อคืนเรามอบความหวังให้กับประเทศเรา เราแพ้ในเกม แต่เราชนะใจทุกคนตอนกลับประเทศ”
แม้ว่าหลังจากนั้น พวกเขาจะพ่ายต่อ อาร์เจนตินา 7-3 และคาซัคสถาน 10-0 ปิดฉากรอบแบ่งกลุ่มไปอย่างช้ำใจ แต่อย่างที่ ราโกโม กล่าวไว้ เมื่อทันทีที่ถึงประเทศ นักฟุตซอลทีมชาติหมู่เกาะโซโลมอน ต่างได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีรบุรุษราวกับเป็นแชมป์ของทัวร์นาเมนต์
“วันที่เรามีแข่ง โรงเรียนถึงกับต้องหยุดการสอน พวกเขาหยุดเพื่อดูเราเล่น คุณต้องไม่เข้าใจแน่ๆ ว่าคนโซโลมอนรักเราขนาดไหน พวกเขาแทบคลั่งตอนที่เราลงเล่น” ราโกโมกล่าว
“เราเล่นอย่างเต็มที่ เหมือนกับว่ามันคือเกมสุดท้ายในชีวิตของเรา กับเด็กพวกนี้ แม้ว่าเราจะแพ้ แต่มันก็รู้สึกดีที่ได้เล่นกับหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของโลก สู้ต่อไป ต่อไป สู้ไปจนถึงนาทีสุดท้าย”
การได้ไปเล่นฟุตซอลโลก ถือเป็นความภาคภูมิใจของชาวโซโลมอน พวกเขากลายเป็นแรงบันดาลใจ เป็นเหมือนน้ำหล่อเลี้ยงใจให้กับเพื่อนร่วมชาติสู้กับความลำบากในประเทศต่อไป
“ผมรู้เป็นอย่างดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมู่เกาะโซโลมอนในตอนนี้ พวกเขามอบความหวังให้กับคนที่นี่ พวกเขามอบเหตุผลให้กับทุกคนได้เลยต่อไป สำหรับชาวโซโลมอน มันเป็นเกียรติมากที่ได้มาเล่นฟุตซอลโลก” จูเลียโน ชเมลิง กุนซือชาวบราซิลของทีมให้ความเห็น
ยิ่งไปกว่านั้น การที่หมู่เกาะโซโลมอนมีทรัพยากรที่จำกัด แต่สามารถผ่านไปเล่นในเวทีระดับโลกได้ถึง 3 ครั้ง ทำให้การได้ไปโชว์ฝีเท้าในรอบสุดท้ายของพวกเขามีความหมายมากขึ้น
“เรามาจากประเทศที่มีอุปสรรคมากมาย เมื่อคุณพูดเกี่ยวกับประสิทธิภาพในระดับสูง มันยากมากที่จะเปรียบเทียบ” ชเมลิงอธิบายเพิ่ม
“ผู้เล่นได้กินอาหารแค่มื้อเดียวต่อวัน ไม่มีรองเท้า ไม่มีสนามฟุตซอล ไม่มีบอล มันเป็นอุปสรรคสำคัญ และความภาคภูมิใจคือความรู้สึกแรกที่ผมมีไปพร้อมกับผู้เล่น”
นอกจากแรงบันดาลใจแล้ว ฟุตซอลสำหรับชาวหมู่เกาะโซโลมอน ยังมีส่วนช่วยในการลดอาชญากรรมในประเทศได้อีกด้วย เมื่อกีฬากลายเป็นกิจกรรมยามว่างที่ทำให้ผู้คนหันเหความสนใจจากสิ่งผิดกฎหมาย
“ในชุมชนที่ผมเคยสอน มีอาชญากรรมระดับร้ายแรงมากมายเกิดขึ้นที่นั่น แต่ตอนนี้เราสอนให้พวกเขารู้จักฟุตซอล และมันทำให้ชุมชนดีขึ้น และช่วยลดอัตราการเกิดอาชญากรรม” ไมกี เบต เจ้าหน้าที่ฝ่ายเยาวชนที่รับผิดชอบในเขตโฮเนียรากล่าว
พัฒนาต่อไป
หลังฟุตซอลโลก 2016 หมู่เกาะโซโลมอน ได้รับความสนใจจากหน้าสื่อมากขึ้น พวกเขาถูกพูดถึงในฐานะทีมที่ผ่านเข้าไปเล่นในฟุตซอลโลกรอบสุดท้ายได้ถึง 3 ครั้งทั้งที่ไม่มีสนามฟุตซอลของทีมชาติแม้แต่สนามเดียว
ฟุตซอลโลกที่โคลอมเบีย จึงกลายเป็นความหวังสำหรับพวกเขา ที่จะเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนามากขึ้นในแง่สาธารณูปโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านสนามแข่งและศูนย์ฝึกแห่งชาติ
“เราหวังว่าจะมีมรดกสืบทอดให้กับประเทศจากการแข่งขันในครั้งนี้ และกระแสที่เกิดขึ้นจากรายการนี้ จะช่วยให้โครงการสนามฟุตซอลใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น” พอล ทูเฮย์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาฟุตซอลของโอเชียเนียกล่าวกับ FIFA.com
“ทุกคนคงจะยินดีหากพวกเขามีศูนย์ฟุตซอลแห่งชาติ มีการฝึกซ้อมและการแข่งขันในทุกระดับอายุ สำหรับผู้ชายและผู้หญิง”
ในขณะเดียวกันฝ่ายโคดริงตัน ก็ยังคงมีบทบาทในการร่วมพัฒนาวงการฟุตซอลของหมู่เกาะโซโลมอน เขาและทีมงานได้ก่อตั้งโครงการโครงการฝึกกีฬาและความเป็นผู้นำ (Sports and Leadership Training) หรือเรียกสั้นๆ SALT โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้าง เจ้าหน้าที่ โค้ช ผู้ตัดสินในหมู่เกาะโซโลมอนให้มากขึ้น ถือเป็นอีกแรงหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนตั้งแต่จุดเริ่มต้นจวบตนถึงปัจจุบัน
“เรากำลังมองหาวิธีที่จะสร้างความแตกต่างทางกายภาพ ความสัมพันธ์ อารมณ์ ตลอดจนจิตวิญญาณ และการมีองค์กรที่อยู่เคียงข้างเรา และเตรียมทรัพยากรให้กับเรา มันคงจะยอดเยี่ยมมากเลยทีเดียว”
ปัจจุบันหมู่เกาะโซโลมอน มีลีกฟุตซอลเป็นของตัวเองแล้ว โดยมีสปอนเซอร์ท้องถิ่นเป็นผู้สนับสนุน สิ่งเหล่านี้เกิดจากการมองเห็นคุณค่าของฟุตซอลที่ช่วยพัฒนาสังคม
ดั่งตัวอย่างที่ทีมชาติของพวกเขาเคยทำเอาไว้
อัลบั้มภาพ 10 ภาพ