"เดอะ บีทเทิลส์" VS "ลิเวอร์พูล" : ใครคือผู้ทรงอิทธิพลประจำเมืองตัวจริง?

"เดอะ บีทเทิลส์" VS "ลิเวอร์พูล" : ใครคือผู้ทรงอิทธิพลประจำเมืองตัวจริง?

"เดอะ บีทเทิลส์" VS "ลิเวอร์พูล" : ใครคือผู้ทรงอิทธิพลประจำเมืองตัวจริง?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"เฮ้ย! คุณน่ะเป็นพวกสีเเดงหรือสีน้ำเงิน?" นี่คือคำถามแรกๆ ที่มักจะถูกถาม หากคุณได้รู้จักกับใครสักคนในเมืองลิเวอร์พูล

เมืองแห่งนี้คือเมืองที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน 2 สโมสรฟุตบอลหลักของเมืองต่างก็มีอายุเกิน 100 ปี และห่างกันโดยมีแค่สวนสาธารณะกั้น โดยเฉพาะฝั่งสีแดงอย่าง ลิเวอร์พูล ทีมฟุตบอลที่มีเสน่ห์ที่สุดทีมหนึ่งของโลก ขณะที่เรื่องของดนตรี แน่นอนที่สุดว่าที่นี่คือสถานที่ประวัติศาสตร์ที่ก่อกำเนิดวงดนตรีที่ดังที่สุดในโลกวงหนึ่งอย่าง เดอะ บีทเทิลส์

 

จอห์น เลนน่อน, พอล แม็คคาร์ธนี่ย์, จอร์จ แฮร์ริสัน และ ริงโก้ สตาร์ พาดนตรีแนวบริทป๊อปอันเป็นเอกลักษณ์เขย่าโลกทั้งใบในช่วงยุค '60 ณ เวลานั้นแม้แต่ลูกเด็กเล็กแดงที่ไหนก็ต้องรู้จัก อิทธิพลของ เดอะ บีทเทิลส์ ทำให้โลกต้องหันมองพวกเขาทุกย่างก้าว

นี่คือ 2 ความสำเร็จที่คือความภาคภูมิใจของเมืองลิเวอร์พูล แต่คำถามหลังจากนั้นคือบนความภาคภูมิใจ ลิเวอร์พูล หรือ เดอะ บีทเทิลส์ คืออันดับ 1 ของผู้คนในเมืองนี้กันแน่?

เสน่ห์ที่ไร้แรงต้าน

อย่างที่กล่าวไปในข้างต้น เดอะ บีทเทิลส์ นั้นก่อตั้งวงอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 1960 ช่วงเวลานั้น บีทเทิลส์ กำลังดังไปทั่วเกาะอังกฤษ บทเพลงของเด็กหนุ่มวัยทีนเอจ 4 คน เริ่มสร้างอิทธิพลแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆแบบไม่อาจมีกำเเพงใดต้านทานพวกเขาได้ จนทำให้เกิดกระแส บีทเทิลส์มาเนีย พวกเขาไม่ใช่วงดนตรีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่กลายเป็นวัฒนธรรมของวัยรุ่นสมัยนั้นด้วย

 1

ความจริงแล้ว เดอะ บีทเทิลส์ ไม่ใช่วงดนตรีที่เก่งที่สุด ในยุคไล่เลี่ยกันนั้น มีศิลปินมากมายที่ขายเทคนิคอันตระการตา จิมี่ เฮนดริกซ์ ศิลปินชาวสหรัฐอเมริกากับสไตล์การเล่นแบบกีตาร์ฮีโร่ หรือวงดนตรีสุดล้ำอย่าง พิงค์ ฟลอยด์ ก็มีเทคนิคที่แพรวพราวจนใครก็ต้องยกนิ้วให้ แต่สิ่งที่ บีทเทิลส์ ทำนั้นแตกต่าง มันคือความครบรสอย่างลงตัวแบบไม่ต้องปรุงเเต่ง ธรรมชาติของสมาชิกทั้ง 4 คือสิ่งที่ไม่อาจเลียนแบบได้ เพลงดังเขย่าโลกของพวกเขาล้วนแต่เป็นเพลงที่ไม่ได้โชว์ลูกโซโล่ที่โหดร้ายชนิดที่ว่าใครก็เลียนแบบไม่ได้ ดนตรีของบีทเทิลส์นั้นจับใจคนฟังอย่างง่ายดายด้วยจังหวะ, เนื้อร้อง และ เมโลดี้ เรื่องนี้แม้แต่พวกเขาเองก็ยังตอบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำไมวงดนตรี 4 เต่าทองวงนี้จึงกลายเป็นวงดนตรีที่มีอิทธิพลที่สุดในโลก

“ไม่รู้เหมือนกัน… แต่ถ้าหากเรารู้ละก็ เราจะหาเด็กหนุ่มมาปั้นเป็นวงดนตรี แล้วเราเป็นผู้จัดการวงดีกว่า” หนึ่งในคำตอบสุดจี๊ดจากทางวง ที่มักจะใช้ตอบเมื่อถูกถามว่าทำไมพวกเขาจึงโด่งดังเป็นพลุแตก

การนำเสนอดนตรีในแบบที่ย่อยง่ายและเข้าถึงมนุษย์ทุกคนที่ได้ยิน คือคีย์สำคัญของเรื่องนี้ ไม่แปลกเลยที่ชาวลิเวอร์พูล จะภูมิใจนักหนาถึงอัจฉริยะทางดนตรีทั้ง 4 คนที่ทำให้เมืองเเห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นตำนานวงดนตรี  

ขณะที่สโมสรลิเวอร์พูล นั้นก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1892 และผ่านช่วงเวลาที่ดีและร้ายมาอย่างโชกโชน ช่วงปลายยุค '50 หงส์เเดงตกชั้นสู่ดิวิชั่น 2 และจมอยู่อย่างนั้นนานถึง 6-7 ปี

 2

หลังจากเข้าสู่ยุค '60 ในขณะที่ เดอะ บีทเทิลส์ กำลังไล่ล่าความสำเร็จไปทั่วโลก สโมสรลิเวอร์พูลก็ตื่นขึ้นอีกครั้งด้วยการกลับมาสู่ลีกสูงสุดในปี 1962 และใช้เวลาเพียง 2 ปี คว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ นี่คือแชมป์แรกในรอบ 17 ปีที่ชาวเมืองลิเวอร์พูลฝั่งสีเเดงรอคอย ถามว่าพวกเขาเก่งที่สุดหรือไม่ในตอนนั้น ก็คงต้องตอบว่า "ไม่เชิงเสียทีเดียว" 

ในยุค '50 เป็นต้นมา ในการแข่งขันระดับดิวิชั่น 1 (เดิม) ทีมที่ได้เเชมป์บ่อยที่สุดกลับเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และสลับหน้าด้วยทีมอย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, อิปสวิช ทาวน์ และ วูล์ฟแฮมป์ตัน แต่เมื่อ บิลล์ แชงค์ลี่ย์ เข้ามาคุมทีม ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ชายผู้มาพร้อมกับเสน่ห์ยามอยู่นอกสนาม และเมื่อพาลูกทีมลงเล่นกลับสร้างสไตล์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์แบบสู้ไม่ถอย นี่คือคาแร็คเตอร์ที่ยังคงติดอยู่กับทีมของลิเวอร์พูลจนถึงทุกวันนี้

แม้จะไม่ได้เก่งที่สุด แต่ก็มีเอกลักษณ์มากที่สุด เขาทำให้ลิเวอร์พูลเป็นที่น่าเกรงขาม และสร้างความยะโสโอหังตามนิสัยผู้ชนะ ในช่วงเวลาดังกล่าวมีวาทะเด็ดๆของเเชงค์ลี่ย์หลายอย่างที่ช่วยยืนยันได้ว่าการมาของเขาทำให้ลิเวอร์พูลคือทีมที่มีอิทธิพลที่สุดในย่านนี้

 3

"ในเมืองลิเวอร์พูล มีทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดแค่สองทีม นั่นคือ ลิเวอร์พูล และ ทีมสำรองของลิเวอร์พูล" เขาว่าไว้เช่นนั้นเพราะตัวของแชงค์ลี่ย์นั้นมีความอินในการเป็น เดอะ ค็อป ขั้นรุนแรง เขาปลุกกระแสแฟนบอลทั้งเมืองได้ด้วยประโยคไม่กี่ประโยค และเมื่อทุกอย่างขับเคลื่อนไปพร้อมๆกัน ลิเวอร์พูลก็เริ่มต้นกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่

"คนทั่วไปชอบใช้คำว่า คลั่งไคล้  แต่ผมคิดว่าสำหรับพวกเขาแล้วแค่คำว่าคลั่งไคล้คงไม่พอ สำหรับพวกเขาลิเวอร์พูลเป็นเหมือนศาสนา เวลาที่พวกเขามาที่นี่ เขามาเพื่อทำสงคราม แอนฟิลด์ไม่ใช่แค่สนามฟุตบอล แต่มันคือวิหารศักดิ์สิทธิ์"

นอกจากนี้ ป้ายอันลือชื่อที่มีข้อความว่า This Is Anfield ก็เกิดขึ้นครั้งแรกในยุค '60 ของแชงค์ลี่ย์เช่นกัน ต้นเหตุคือการปลุกใจนักเตะก่อนลงสนามว่าที่นี่คือที่ไหน และพวกเขาจะต้องลงไปสู้เพื่อใคร เรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ในยุคดังกล่าว ลิเวอร์พูลคือความภาคภูมิใจของเมืองแห่งนี้ไม่ต่างอะไรกับ เดอะ บีทเทิลส์ เลย

ความยิ่งใหญ่ที่เดินหน้าต่อไป

จะเห็นได้ว่าช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวระหว่าง เดอะ บีทเทิลส์ กับ ลิเวอร์พูล เป็นช่วงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างก็ประสบความสำเร็จตามเส้นทางของพวกเขา แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือกราฟความสุขของประชากรในเมืองลิเวอร์พูล พวกเขาคือบ้านเกิดของโคตรวงดนตรี และทีมที่เก่งที่สุดในเกาะอังกฤษ ณ เวลานั้น อิทธิพลของทั้งสองสิ่งกำลังทำให้เมืองนี้ถูกเรียกว่าประวัติศาสตร์ในอนาคต

 4

บีทเทิลส์ ไม่ใช่แค่วงที่ผ่านมาเเล้วผ่านไปและหยุดอยู่แค่การครองใจแฟนในเมืองเท่านั้น พวกเขาย้ายไปเขย่าตลาดที่ใหญ่กว่าอย่าง สหรัฐอเมริกา ได้สำเร็จ จนถึงทุกวันนี้ ยังมีการยืนยันว่า เดอะ บีทเทิลส์ คือวงดนตรีที่ทำยอดขายได้มากที่สุดในเเดนลุงแซม โดยทำสถิติไว้ที่ 178 ล้านกอปปี้ และหากวัดยอดขายจากทั่วโลกยังมากถึง 600 ล้านก็อปปี้เลยทีเดียว นอกจากนี้นิตยสารบิลบอร์ดยังกล้าการันตีว่านี่คือวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดบนโลกนี้

ในเวลาเดียวกันนั้น ลิเวอร์พูลได้สร้างเครื่องหมายการค้าด้วยแนวทางของพวกเขาอย่าง "เครื่องจักรสีเเดง" เดินหน้ากวาดความสำเร็จมากมายทั้งในระดับประเทศและระดับทวีป และด้วยความสำเร็จที่มากขึ้นนี้เอง ลิเวอร์พูลมีแฟนบอลทั่วโลกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้พวกเขามีแฟนบอลทั้งหมดกว่า 580 ล้านคน  

 5

จากความยิ่งใหญ่ที่มีไม่ต่างกัน จึงมีคำพูดที่มักจะใช้แสดงออกถึงความยิ่งใหญ่ของทั้งคู่ที่มีต่อเมืองลิเวอร์พูลเสมอว่า "ลิเวอร์พูลมีสองอย่างทียิ่งใหญ่ไปทั่วโลกอย่างทัดเทียมกัน อย่างแรกคือ วงดนตรี  เดอะ บีทเทิลส์ อย่างที่สองคือทีมฟุตบอล ลิเวอร์พูล"

จุดเริ่มต้น คาแร็คเตอร์ และความยิ่งใหญ่ที่ถูกสานต่อของทั้ง บีทเทิลส์ และ ลิเวอร์พูล ทำให้วัฒนธรรมของพวกเขาแพร่ขยายไปทั่วโลก

ใครทรงอิทธิพลมากกว่ากัน?

คำถามนี้เป็นคำถามที่ตอบยากมาก เพราะไม่เคยมีใครได้ให้คำจำกัดความอย่างชัดเจนถึงเรื่องอิทธิพลของ บีทเทิลส์ และ ลิเวอร์พูล ว่าสิ่งไหนกันแน่ที่ผู้คนทั้งเมืองต่างเทใจให้มากกว่ากัน นอกจากนี้ยังไม่มีผลโหวตอย่างเป็นทางการอีกด้วย ดังนั้นจึงต้องเท้าความและวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต, ปัจจุบัน และการคาดเดาในอนาคตแทน

 6

อย่างแรกเลยคือ แม้ลิเวอร์พูลจะเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าในเมืองลิเวอร์พูล ยังมี เอฟเวอร์ตัน อีกหนึ่งทีมที่ก็มีฐานแฟนคลับท้องถิ่นในระดับที่พอฟัดพอเหวี่ยงกัน นอกจากนี้ เอฟเวอร์ตันยังถือว่าเป็นสโมสรที่ก่อตั้งก่อนลิเวอร์พูลอีกด้วยซ้ำไป และลิเวอร์พูลถือกำเนิดขึ้นจากการแยกตัวมาจากเอฟเวอร์ตันนี่แหละ

ดังนั้นการมีทีม 2 ทีม (จริงๆ มี 3 หากนับ ทรานเมียร์ โรเวอร์ส ไปด้วย) และทั้ง ลิเวอร์พูล กับ เอฟเวอร์ตัน ต่างก็มีเสน่ห์ในแบบของตัวเองดังนั้น แม้ใครต่างจะขนานนามเมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้ว่าคือเกมดาร์บี้แมตช์ที่มีความเป็นครอบครัวมากที่สุด ทว่าที่สุดเเล้วไม่ใช่แฟนเอฟเวอร์ตันทุกคนแน่ที่จะชื่นชอบลิเวอร์พูล ตัวอย่างง่ายๆ ในเกมพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ที่เอฟเวอร์ตันพ่ายแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-2 กองเชียร์ฝั่งทอฟฟี่สีน้ำเงินยังดีใจทั้งๆที่แพ้ เพราะนั่นหมายความว่าพวกเขาได้ส่งให้ซิตี้เก็บคะแนนนำอริร่วมเมืองอย่างลิเวอร์พูล ที่กำลังลุ้นเเชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกไปได้  

อย่างที่สองที่ทำให้ กีฬา กับ ดนตรี นำมาเปรียบเทียบกันยากคือ แม้ทั้ง 2 อย่างจะมีสิ่งที่เหมือนกันนั่นคือสามารถให้ความสุขได้ ทว่ามันก็มีข้อแตกต่างเล็กๆ นั่นคือ กีฬา “มีโอกาส” จะสร้างความทุกข์ได้มากกว่าดนตรี เพราะไม่มีทีมใดในโลกนี้จะชนะตลอดกาล และไม่มีใครจะแพ้ตลอดไป แต่ดนตรีมีแต่ให้ความสุขเสมอ และเข้าใกล้คำว่าตลอดไปและตลอดกาลมากกว่าฟุตบอลพอสมควร

ข้อได้เปรียบของดนตรีมีมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นอัลบั้มรวมเพลงของ บีทเทิลส์ ที่ออกมาเป็นแผ่นคู่สองชุด พวกเขาใช้สีของแต่ละชุดเเตกต่างกัน โดยเเผ่นหนึ่งเป็นสีเเดง และอีกแผ่นหนึ่งเป็นสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีประจำของ ลิเวอร์พูล และ เอฟเวอร์ตัน ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้สนับสนุนได้มากกว่า เพราะไม่จำเป็นต้องเลือกข้างใดๆ ทั้งสิ้น

 7

แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่พอจะบอกได้ว่า บีทเทิลส์ คือวงดนตรีที่มีอิทธิพลสำหรับเมืองนี้ นั่นคือในวันที่พวกเขายังมีชื่อเสียงคำถามที่ว่า “สมาชิกของบีทเทิลส์เชียร์ทีมอะไรในเมืองนี้?” คือคำถามยอดฮิตเป็นอย่างมาก เพราะถ้ามีสมาชิกในวงพูดว่าเชียร์ทีมไหนอย่างเต็มปากแล้วล่ะก็ แฟนๆของทีมดังกล่าวก็จะรู้สึกว่าทีมของพวกเขานั้นมีอิทธิพลพอที่จะดึงคนดังให้เข้ามาเป็นสาวก

อย่างไรก็ตามคำตอบสุดท้ายจากปากของ เรย์ โอไบรอัน ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ของวงเดอะ บีทเทิลส์ เล่าว่า แทบจะมี เซอร์ พอล แม็คคาร์ธนี่ย์ คนเดียวเท่านั้นที่ดูฟุตบอลจริงจังและเป็นแฟนบอลของเอฟเวอร์ตัน ส่วนสมาชิกที่เหลือ 3 คนนั้นไม่ปรากฎแน่ชัด จอห์น เลนน่อน ถูกคาดเดาว่าเชียร์นิวคาสเซิลจากรูปวาดในสมัยที่เขาอายุ 11 ปี, จอร์จ แฮร์ริสัน ไม่สนใจฟุตบอลเลย ขณะที่ ริงโก้ สตาร์ นั้นถูกคาดเดาว่าเป็นแฟนของอาร์เซน่อลแบบเงียบๆ เพราะสมัยเด็กเขาไปเติบโตอยู่ที่ลอนดอน โดยมีคุณพ่อเป็นคนพาไปเชียร์อาร์เซน่อล

นี่คือข้อเท็จจริงจากแฟนพันธ์แท้ เดอะ บีทเทิลส์ ที่นำเสนอมาในภายหลัง ทว่าเรื่องนี้ก็ยังไม่ชัดเจนแบบเต็ม 100% มากพอจนทำให้คนปกติคาดเดาไปเองว่าสมาชิกทั้ง 4 น่าจะเป็น “ลิเวอร์พูล” ไปโดยปริยาย ด้วยความยิ่งใหญ่ที่ไล่เลี่ยกันในยุค ‘60 อารมณ์ประมาณว่าหากนึกถึง บีทเทิลส์ ก็ต้องนึกถึง ลิเวอร์พูล อะไรประมานนั้น...

แม้ เดอะ บีทเทิลส์ อาจจะไม่ค่อยดูบอล แต่เพลงของพวกเขามีอิทธิพลต่อแฟนบอลของลิเวอร์พูลสุดๆเลยทีเดียว เหล่าเดอะ ค็อป ต่างเคยกอดคอร่วมร้องเพลง She Loves You ของ บีทเทิลส์ ในสนามแอนฟิลด์มาเเล้ว ในช่วงยุค ‘60 และปัจจุบันระหว่างพักครึ่งในช่วงพักครึ่งเมื่อมีเกมที่แอนฟิลด์ ทางสโมสรก็มักจะเปิดเพลงของ บีทเทิลส์ ให้แฟนๆได้ฟังอีกด้วย

นอกจากนี้ ตัวช่วยตัดสินอีกอย่างหนึ่งคือ “ถาวรวัตถุ” หรือสิ่งปลูกสร้างที่สร้างมาเพื่ออุทิศให้กับความยิ่งใหญ่แล้ว ก็ยังเป็น เดอะ บีทเทิลส์ ที่มีแลนด์มาร์คในเมือง ลิเวอร์พูล มากกว่า 30 แห่ง หากใครก็ตามคิดจะเดินทางโดยเครื่องบินไปยังเมืองลิเวอร์พูลแล้วก็จะต้องเจออิทธิพลของ เดอะ บีทเทิลส์ ตั้งแต่ในสนามบินเลยด้วยซ้ำ เพราะสนามบินประจำเมืองนี้มีชื่อว่า จอห์น เลนน่อน แอร์พอร์ต นอกจากนี้ยังมี “The Cavern Club” ผับแรกที่บีทเทิลส์เคยขึ้นเล่นในสมัยยังไม่มีชื่อเสียง, รูปปั้นของสมาชิกในวงตามจุดต่างๆของเมือง ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ทิ้งไว้ให้เหล่าผู้คลั่งไคล้ได้ตามรอยทั้งสิ้น

 8

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าลิเวอร์พูลจะไม่มีข้อได้เปรียบอะไรเลยในฐานะที่เป็นทีมฟุตบอล นั่นก็เพราะว่า แม้ เดอะ บีทเทิลส์ จะเป็นอมตะ แต่เป็นอมตะในฐานะเรื่องเล่าที่จบลงไปแล้ว ความยิ่งใหญ่ในอดีตคือเสน่ห์ของพวกเขาที่ไม่อาจสานต่อได้ และแม้จะถูกยกขึ้นหิ้งแต่ก็ต้องไม่ลืมว่าบนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดค้ำฟ้าคงอยู่ได้ตลอดไปหากไม่มีวิวัฒนาการ ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่บีทเทิลส์ไม่สามารถควบคุมปัจจัยดังกล่าวได้เลย พวกเขาต้องหวังให้เรื่องเล่าในความยิ่งใหญ่ในอดีตส่งผ่านไปแบบรุ่นต่อรุ่นจนไม่มีใครลืมลง ซึ่งเอาเข้าจริงสิ่งนี้จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ จะดังกว่าเดิม หรือถูกพูดถึงน้อยลง ไม่มีใครคาดเดาได้

ต่างกับลิเวอร์พูลที่กำลังเดินหน้ากลับสู่ความยิ่งใหญ่และเก็บเกี่ยวเกียรติประวัติและความสำเร็จให้มากขึ้น และนี่คือสิ่งที่อาจจะทำให้ในอนาคต ลิเวอร์พูลอาจจะเป็นความภูมิใจของชาวเมืองลิเวอร์พูล มากกว่า เดอะ บีทเทิลส์ ก็ได้

 9

ในขณะที่โลกยกมือซูฮกคารวะทั้งสอง ชาวเมืองลิเวอร์พูลคงไม่มีใครมาเถียงกันในเรื่องนี้ว่าสิ่งใดทำให้พวกเขาภูมิใจและทรงอิทธิพลกับชีวิตได้มากกว่ากัน เพราะพวกเขาต่างแยกหมวดหมู่ออกอย่างชัดเจน บีทเทิลส์ คือความภูมิใจด้านดนตรี ขณะที่ ลิเวอร์พูล นั้นคือความภูมิใจในด้านฟุตบอล เหมือนกับที่เมืองนี้มีทั้งดนตรีและฟุตบอลเป็นลมหายใจ

หาก ลิเวอร์พูล เป็นลมหายใจเข้า เดอะ บีทเทิลส์ ก็คงเป็นลมหายใจออกของผู้คนที่นั่น… และการหายใจเข้ากับหายใจออกมันคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตไม่ต่างกันเลย

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ ของ "เดอะ บีทเทิลส์" VS "ลิเวอร์พูล" : ใครคือผู้ทรงอิทธิพลประจำเมืองตัวจริง?

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook