นรกในใจของ "หลุยส์ เรสโต้" นักชกที่ทำให้ เมดิสัน สแควร์ การ์เด้น แปดเปื้อน

นรกในใจของ "หลุยส์ เรสโต้" นักชกที่ทำให้ เมดิสัน สแควร์ การ์เด้น แปดเปื้อน

นรกในใจของ "หลุยส์ เรสโต้" นักชกที่ทำให้ เมดิสัน สแควร์ การ์เด้น แปดเปื้อน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ณ ใจกลางเกาะแมนฮัตตันของมหานครนิวยอร์ค ระหว่างถนน 7 กับ 8 อเวนิว ตัดกับถนน 31 และถนน 33 อยู่ที่เดียวกับสถานีรถไฟและรถประจำทาง เพนซิลเวเนีย สเตชั่น มันคือสถานที่แห่งประวัติศาสตร์ของเหล่านักสู้ที่ซัดกันด้วยกำปั้นมากว่า 100 ปี ชื่อของสถานที่นี้คือ เมดิสัน สแควร์ การ์เด้น หรือมีอีกชื่อที่เท่ยิ่งกว่านั่นคือ “เมกกะของวงการมวย

ในชีวิตนักมวยทุกคน การได้มาชกใน เมดิสัน สแควร์ การ์เด้น คือเกียรติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มันคือเวทีที่ได้กลิ่นเลือดและคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหงื่อของตำนานจากรุ่นสู่รุ่น มูฮัมหมัด อาลี, โจ เฟรเซียร์, ไมค์ ไทสัน, รอย โจนส์ จูเนียร์, อีแวนเดอร์ โฮลีฟิลด์, แมนนี่ ปาเกียว, ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ หรือแม้แต่ ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น ต่างก็เคยขึ้นสังเวียนแห่งนี้มาแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นด้วยเกียรติครั้งใหญ่ในชีวิตแบบนี้ ไม่มีนักมวยคนไหนที่อยากจะเอาเกียรติตัวเองมาทิ้งด้วยการกระทำที่ไร้ความเป็นลูกผู้ชายอย่างแน่นอน

 

…ยกเว้นเสียแต่ว่าเขาคนนั้นไร้เกียรติตั้งแต่ก่อนขึ้นชกแล้ว

1980... ยุคสมัยแห่งลูกผู้ชาย

ในยุค '80 นั้นกีฬามวยเป็นอะไรที่เข้าใจง่ายมาก ลูกผู้ชาย 2 คนที่น้ำหนักพอฟัดพอเหวี่ยงขึ้นไปอยู่บนเวทีเดียวกัน และวัดกันด้วยหมัดลุ่นๆ ที่มีนวมคอยลดแรงกระแทกคือ ไม่มีการตลาดเยอะแยะมากมาย คนเก่งต้องได้ชกกับคนเก่ง เรื่องธุรกิจเรื่องเล็กแต่เรื่องชิงความเป็นหนึ่งนั้นเรื่องใหญ่ นั่นทำให้ บิลลี่ คอลลินส์ จูเนียร์ เด็กหนุ่มจากเทนเนสซี จึงมีความเชื่อเช่นนั้นสนิทใจ ชีวิตของเขาเข้าตามตำรายอดนักชกนั่นคือการเติบโตมากับครอบครัวชนชั้นแรงงาน แต่พรสวรรค์ด้านการชกเป็นเลิศ จนกลายเป็นยอดมวยได้ไม่ยาก บิลลี่ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีลุยไต่เต้าทำสถิติชนะ 14 ไฟต์รวดในรุ่นไลท์มิดเดิ้ลเวตได้อย่างยอดเยี่ยม และเป็นธรรมดาของเหล่าลูกผู้ชายยุค '80 คือสถิติไม่มีความหมายอะไร หากเขาไม่สามารถคว่ำชายผู้อยู่ที่อยู่เหนือกว่าของรุ่นได้

 1

ในยุคที่คนรวยชอบที่จะดูคนอื่นเจ็บตัว นักชกส่วนใหญ่มักจะมาจากชนชั้นรากหญ้า คู่ชกของ คอลลินส์ อย่าง หลุยส์ เรสโต้ เป็นชาวเปอร์โตริโก้อพยพ ที่เข้ามาอยู่ในนิวยอร์คตั้งแต่อายุ 11 ปี ในวันที่ออกมาจากเปอร์โตริโก้ เรสโต้นั้นร้องไห้ขี้มูกโป่งและเมื่อมาถึงอเมริกาสิ่งที่เขาได้พบล้วนแต่เป็นความตื่นตาตื่นใจที่ไม่เคยเห็นมาก่อน "ตึกสูงๆ กับพิซซ่า ทำเอาผมงงเต้กไปเลย โดยเฉพาะพิซซ่านี่เปิดโลกทัศน์ผมเลย ผมกินพิซซ่าทุกวัน กินมันจะเอียนเลยทีเดียว" เรสโต้ ว่าเอาไว้เช่นนั้น   

ราวกับว่าพลังพิซซ่าทำให้เขาเป็นไอ้ตัวแสบ เรสโต้เป็นพวกเด็กหัวรุนแรงเพราะเคยฟันศอกใส่คุณครูตอนที่เรียนเกรด 8 จนได้เข้าสู่สถานพินิจเป็นเวลา 6 เดือน การไม่ได้เรียนหนังสือเลยหลังจากนั้นทำให้เรสโต้ไม่มีทางเลือกนัก ต้องหันมาฝึกมวยกับ บร็องซ์ ยิม ด้วยการช่วยเหลือจากผู้เป็นลุง และช่วงเวลาหลังจากนั้นเขาพัฒนาเพลงมวยขึ้นอย่างรวดเร็วและคว้ารางวัลนวมทองคำมาถึง 2 สมัยติดต่อกันในปี 1975 และ 76 ด้วยดีกรีนี้เหมาะไม่น้อยที่คอลลินส์จะใช้การล้มแชมป์นวมทองคำเป็นบันไดสร้างความยิ่งใหญ่ และช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ทั้งคู่จะได้เจอกันก็มาถึงในปี 1983 โดยมีชายที่ชื่อ บ็อบ อารัม ทำให้ไฟต์นี้เกิดขึ้น

ในเวลานั้นอารัมถือว่าเป็นโปรโมเตอร์มือใหม่ แต่ก็มีสายตาการอ่านสถานการณ์ที่เฉียบคม และนั่นคือเหตุผลที่ตอนนี้เขากลายเป็นโปรโมเตอร์ชื่อดังระดับโลกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย บ็อบ อารัม จัดการเลือกทั้ง คอลลินส์ และ เรสโต้ เป็นคู่ประกอบรายการของไฟต์ชิงแชมป์โลกระหว่าง โรแบร์โต้ ดูรัน กับ เดวี่ มัวร์ ที่สังเวียน เมดิสัน สแควร์ การ์เด้น

มันคือช่วงเวลาที่หลายอย่างเป็นใจ มีนักข่าวหน้าใหม่คนหนึ่งชื่อ ซูซาน แซ็คส์ จากสำนักพิมพ์ในแนชวิลล์ การติดตามไฟต์นี้คืองานชิ้นแรกของเธอที่เกี่ยวกับมวย นั่นจึงทำให้ไฟในตัวของเธอพุ่งพล่าน ซูซานตั้งใจเก็บข้อมูลครั้งนี้อย่างละเอียดทุกเม็ด เขาไปขอสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องกับไฟต์นี้ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่กระทั่ง บิลลี่ คอลลินส์ ซีเนียร์ หรือผู้เป็นพ่อของฝ่ายท้าชิง การทำงานของ ซูซาน เป็นไปอย่างเข้มข้นซึ่งตรงข้ามกับเหล่านักข่าวขาเก๋าที่มานั่งรอรีพอร์ตจากฝ่ายจัดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

การชกกำลังจะเริ่มขึ้น นักมวยทั้งสองคนเดินเข้ามาชนหมัดกลางเวทีก่อนจะกลับไปรับแท็คติกจากพี่เลี้ยง สายตาคนทั่วไปเห็นกันเช่นนั้น แต่ ซูซาน รู้สึกแปลกๆกับสิ่งที่ได้เห็น มีบางสิ่งที่นักชกสองคนใช้ลงเวทีไม่เหมือนกัน

"เรสโต้ เดินมากลางเวทีและเริ่มไฟต์เหมือนกับปืนที่มีกระสุนบรรจุอยู่" เธอว่าไว้เช่นนั้น ก่อนระฆังจะดังขึ้น...

เป๊ง! ยกที่ 1 เริ่มแล้ว

หน้าใหม่ใจสู้

เรสโต้ มีภาษีเป็นมวยต่อจากประสบการณ์ที่มากกว่า คอลลินส์ แบบครึ่งต่อครึ่ง ฝ่ายมวยรองมีเพียงความใจสู้และทรงมวยเดินบู๊แบบยุคเก่า ดังนั้นการชกไฟต์นี้จึงเป็นอะไรที่ผู้เข้าชมคาดหวังว่าจะได้เห็นการออกหมัดครบทั้ง 10 ยก ไม่ต้องดูเชิง ไม่ต้องพิงเชือก ไม่ต้องตั้งการ์ดตลอดเวลา นี่คือไฟต์ที่ใครต่อใครรอคอย

 2

มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ทั้งสองคนแลกหมัดกันแบบถึงลูกถึงคน ชั้นเชิงสูสี ความเร็วกินกันไม่ลง แตกต่างกันอย่างเดียวคือ ทั้งๆที่ออกหมัดเท่าๆกัน แต่ซูซานกลับเห็นว่าใบหน้าของคอลลินส์กลับเริ่มมีรอยช้ำมากขึ้น หรือที่ในภาษามวยเรียกอาการนี้กันว่า "หน้าเปื่อย" แบบไวเกินเหตุ ยิ่งนำมาวิเคราะห์ดูกับไฟต์เก่าๆที่ชนะมา 14 ไฟต์รวดของคอลลินส์แล้วก็ยิ่งน่าแปลกใจ เขาเป็นมวยบู๊ประเภทชอบกินหมัดและปล่อยหมัดให้คู่ชกได้กินคืน สไตล์แลกเลือดคือเหตุผลที่ทำให้เขามาถึงจุดนี้ได้

การชนะทั้ง 14 ไฟต์ก่อนหน้านี้ของเขาแลกมากับการโดนชกมาก็ไม่น้อย แต่ที่มันผิดปกติคือ หน้าเขาไม่เคยเปื่อยขนาดนี้มาก่อน สถานการณ์ดังกล่าวมองได้สองทาง หนึ่งคือเรสโต้หมัดหนักและไวมากจนชนิดที่ว่าเข้าเป้าเข้าจุดตายทุกครั้ง และสองคือคอลลินส์ฟิตไม่ถึง หรือไม่ก็ไม่เคยเจอนักมวยระดับของจริงแบบนี้มาก่อนในชีวิต ว่าง่ายๆคือคอลลินส์กำลังถูกดีกรีแชมป์นวมทองสอนมวยอยู่นั่นเอง

ความห่างชั้นเริ่มมีให้เห็นมากขึ้นเรื่อย แต่ผู้ชมต่างส่งเสียงเฮกันดังสนั่นเมกกะแห่งวงการมวย เพราะไฟต์นี้ช่างมันสะเด็ดยาดถูกใจคอหมัดมวยอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเจ้าคอลลินส์ นักสู้หัวใจสิงห์จากเทนเนสซี่ ที่แทบจะกินหมัดทุก 2 วินาที แต่กลับไม่ยอมลงไปกองกับพื้นให้กรรมการได้นับเลยแม้แต่หนเดียว 10 ยกรวมเป็นเวลาทั้งหมด 20 นาที ใบหน้าที่บอบช้ำคือสิ่งที่เดียวคอลลินส์แสดงให้เห็น ร่างกายเขาฟิตมากพอที่จะสวนกลับคู่แข่งในทุกๆยก แต่ผิดที่เขาอาจจะอ่อนซ้อมไปหน่อยจนพลังหมัดยังวัดกับเรสโต้ไม่ได้... นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาแพ้คะแนนไปอย่างเอกฉันท์   

หลังได้รู้คำตัดสิน คอลลินส์เดินไปเพื่อชนหมัดกับเรสโต้ อันเป็นสัญลักษณ์ของการยอมรับความพ่ายแพ้ และร่วมยินดีกับผู้ชนะ อันเป็นธรรมเนียมของมีสปิริต ซึ่งตัวของคอลลินส์ แม้จะมาด้วยสภาพใบหน้าที่ยับและช้ำเลือดแต่สีหน้าที่ซ่อนอยู่มันคือรอยยิ้ม เหมือนกับเป็นการบอกว่า "สุดยอดมากพี่ชาย นี่คือไฟต์ที่ยอดเยี่ยมและสนุกที่สุด มันจะกลายเป็นตำนาน"

แต่ใครจะรู้ว่าการชนหมัดครั้งนี้คือสัญญาณบอกเหตุ สัมผัสสุดท้ายก่อนเดินลงสู่สังเวียนทำให้คอลลินส์รู้สึกแปลกอย่างหนึ่งนั่นคือ "เหตุใดสัมผัสจากนวมของเรสโต้ มันไม่เหมือนกับสัมผัสจากนวมของตัวเขาเอง"

 3

ซูซาน แซ็คส์ นั่งสังเกตเรื่องนี้อยู่นาน และการได้คุยกับคอลลินส์ ซีเนียร์ ที่รับหน้าที่เป็นโค้ชให้กับลูกชายก่อนขึ้นชก ทำให้เธอสามารถเข้าถึงตัวซีเนียร์ได้ด้วยมิตรภาพที่เกิดขึ้น ซูซานมาพร้อมกับความสงสัยที่เธอเห็นมาตลอด 10 ยก และบอกให้ซีเนียร์รับรู้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติจริงๆ อย่างน้อยๆ ควรมีการคัดค้านเสียหน่อย แม้ว่ามันจะไม่มีผลอะไรเกิดขึ้นก็ตาม

คอลลินส์ ซีเนียร์ เดินไปใช้สิทธิ์ร้องเรียนให้มีการตรวจสอบเกิดขึ้นที่นวมของเรสโต้ เขามั่นใจว่ามันต้องมีอะไร เพราะปกติแล้วลูกชายเขาไม่แพ้ใครง่ายขนาดนี้มาก่อน

ผมขอใช้สิทธิ์ร้องเรียน

ในขณะที่ผู้ชนะจากเปอร์โตริโก้กำลังลำพองใจ เขาถูกเรียกมาให้กรรมการตรวจสอบอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ฝ่ายจัดเพ่งเป้าไปที่นวมอุปกรณ์พื้นฐานและง่ายที่สุดต่อการเล่นไม่ซื่อ และสัมผัสเดียวเท่านั้นก็รู้แล้วว่า นวมของเรสโต้นั้นบางกว่าของคอลลินส์ เพราะมีการถอดอุปกรณ์ภายในที่ลดแรงกระแทกออกประมาณ 1-2 ชิ้น... หากสงสัยว่ามันบางขนาดไหนให้ย้อนกลับไปที่ข้อสงสัยของ ซูซาน แซ็คส์ ที่บอกว่า "เรสโต้ เดินมากลางเวทีและเริ่มไฟต์เหมือนกับปืนที่มีกระสุนบรรจุอยู่" นั่นหมายถึงว่าหมัดของ เรสโต้ จะไม่กระแทกที่หน้าของ คอลลินส์ โดยที่ถูกลดทอดความแรงลงเลยแม้แต่น้อย มันคือหมัดลุ่นๆ และมีความแรงเหมือนกับกระสุนปืนเลยทีเดียว

 4

หมดข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น เหตุใดใบหน้าของคอลลินส์จึงเปื่อยยิ่งกว่าถูกสิบล้อชน เพราะแท้จริงแล้วการชกโดยไม่สวมนวมนั้นถือว่าเป็นอันตรายถึงชีวิตสำหรับผู้ถูกชกเลยทีเดียว

อาจจะมีหลายศาสตร์ที่บอกว่าการใส่นวมนั้นส่งผลได้มากกว่าหมัดเปล่า และการใส่นวมนั้นมีเหตุผลเริ่มต้นจากการเซฟมือของคนชกมากกว่าลดแรงกระแทกของคนที่ถูกชก อย่างไรก็ตามมีรายการโทรทัศน์ของอเมริกาที่นำเอา บาส รุตเท่น อดีตแชมป์โลก MMA มาลองชกใส่กระสอบทรายที่ภายในนั้นมีเครื่องวัดน้ำหนักหมัดอยู่ โดยการชกของรุตเท่นนั้นมี 3 แบบ 1 คือนวมแบบมวยสากล 2 นวมแบบมวย MMA และ 3 คือหมัดเปล่าเพียวๆ ไร้สิ่งป้องกัน

ผลออกมาคือหมัดเปล่าชนะเลิศเข้าวินเป็นที่ 1 ด้วยการอัดแรงลงไปได้ถึง 370 กิโลกรัม และ 370 กิโลกรัมที่ว่านี้สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนชนิดที่ว่าทะลุกระดูกวิ่งตรงปรู๊ดไปยังสมอง แผลที่หน้าของผู้โดนชกจะส่งผลยิ่งกว่าเลือดออกเพราะมันจะถูกส่งไปยังศีรษะและกระโหลกให้ได้รับแรงอัดที่เต็มประสิทธิภาพ ข้อเสียเดียวของการไม่ใส่นวมคือมีโอกาสที่จะกระดูกมือแตก... ซึ่งในส่วนของข้อเสียนี้ ว่ากันตามตรงสำหรับคนที่ฝึกออกหมัดเป็นหมื่นๆครั้ง สามารถกะจังหวะและหาวิธีที่เซฟมือตัวเองได้สบายๆอยู่แล้ว ดังนั้นไฟต์นี้กลายเป็นคอลลินส์เองที่หลงสู้กับกระสุนปืนโดยไม่รู้ตัว

 5

ไฟต์อัปยศที่ทำให้ เมดิสัน สแควร์ การ์เด้น ต้องแปดเปื้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก ดังนั้นทางสมาคมมวยโลกจึงต้องจัดการกับเรื่องนี้แบบเด็ดขาดเพื่อทำให้เห็นเป็นเยี่ยงอย่างกับนักชกที่คิดดูถูกอาชีพของตัวเอง เรสโต้โดนสั่งจำคุกเป็นเวลา 3 ปีและยึดใบอนุญาตขึ้นชกตลอดอาชีพ ขณะที่โค้ชคู่ใจของเขาซึ่งเป็นคนที่คิดแผนคว่ำดาวรุ่งอย่างคอลลินส์ โดนโทษหนักกว่าในฐานะต้นคิด ต้องติดคุกไปอีก 6 ปี

นี่คือโทษที่แรงเอาเรื่อง มันอาจจะทำให้หลายคนสะใจที่ได้เห็นคนโกงจับได้คาหนังคาเขา และลงโทษแบบสาสม อย่างไรก็ตาม "นวมบางเหมือนหมัดเปล่า" คือจุดเริ่มต้นของความสกปรกของนักชกจากเปอร์โตริโก้เท่านั้น และที่ร้ายที่สุดคือสภาพของหนุ่มนักสู้อย่างคอลลินส์ ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเหลือเกินสำหรับการสู้โดยไร้น้ำใจนักกีฬาครั้งนี้

จับได้แล้วไง?

สิ่งที่เรสโต้โดนลงโทษ เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่คอลลินส์ต้องประสบพบเจอ แผลจากการเอาหน้ารับหมัดเปล่าในวันนั้นส่งผลกับเขาตลอดเวลา อาการบาดเจ็บรุนแรงจนแทบจะใช้ชีวิตปกติไม่ไหว ก่อนที่แพทย์จะลงมติว่า "เขาต้องเลิกชกมวยตลอดชีวิต"... นี่คือคำสั่งที่เหมือนกับฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น มวยคือความภาคภูมิใจเดียวที่คอลลินส์มี หากเขาไม่สามารถขึ้นชกได้ ก็เหมือนเรือที่ไร้หางเสือไม่รู้จะไปต่อในทิศทางไหน

 6

สิ่งที่ครอบครัวของ คอลลินส์ พ่อ-แม่ ลูกๆ และภรรยาของเขาทำได้คือการฟ้องเพื่อความเป็นธรรม พวกเขาเริ่มฟ้องที่ ลูอิส เรสโต้, ฝ่ายจัดที่ประมาทในการตรวจสอบ รวมถึงนวมยี่ห้อดังอย่าง Everlast น่าเสียดายที่บางครั้งความเป็นธรรมมันก็ไม่ได้ง่ายดังปากว่า เพราะฝ่ายคณะกรรมการแย้งว่า "การตรวจสอบ" นั้นกว้างมากจนไร้เกินขอบเขตที่ผู้ตรวจตราจะสามารถทำได้  

ไม่เหลืออะไรอีกแล้วสำหรับชีวิตของ บิลลี่ คอลลินส์ จูเนียร์ การแพ้แบบไม่ควรแพ้ และการไม่ได้รับการชดเชยในแบบที่ควรจะได้ และที่สำคัญที่สุดการสูญเสียร่างกายที่จะใช้หาเงินทองและชื่อเสียง ทุกอย่างหมดสิ้น นรกกับสวรรค์ห่างกันด้วยความหนาของนวมเพียงไม่กี่เซ็นติเมตร เปลี่ยนว่าที่แชมป์โลกให้กลายเป็นชายผู้หมดหวัง ก่อนที่เขาจะทำในสิ่งที่ช็อคครอบครัวของตัวเองด้วยการ "ฆ่าตัวตาย" ในช่วง 6 เดือนหลังจากไฟต์อัปยศนั้น

"ถ้าลูกของผมได้เป็นแชมป์โลกมันก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีนะ ผมฝึกมวยให้กับเขามากว่า 20 ปี สิ่งที่น่าเสียดายคือผมเอาชนะระบบไม่ได้ ผมต้องยอมแพ้ในวันที่คดีถูกปิดโดยไม่มีความยุติธรรมเกิดขึ้น ความจริงยังคงไล่ล่าผมอยู่" คอลลินส์ ซีเนียร์ กล่าวอย่างหมดหวัง

การจับได้ไม่ได้ช่วยอะไรเลย คอลลินส์ไม่ได้รับความยุติธรรม และสิ่งที่เขาเคยทำไว้ก็เลือนหายไปตามกาลเวลา...

นรกในใจ

การจากไปของคอลลินส์แบบช็อควงการ ทำให้ภรรยาของเขากลายเป็นหม้ายในบัดดล ครอบครัวของเขาต้องประสบความยากลำบาก และกรรมนี้ได้สนองไปยังเรสโต้ ที่ต้องรับกับนรกในใจที่คอยหลอนประสาทเขาไปตลอดชีวิต "แกเป็นคนฆ่าเขา" คือสิ่งที่สะท้อนและก้องอยู่ในหัวสมองของเขาในทุกๆวัน

 7

นับตั้งแต่ปี 1983 จนเข้าสู่ยุคปีมิลเลเนียม เรสโต้โดนความคิดนั้นหลอนมาตลอด ครอบครัวของคอลลินส์อาฆาตและยืนยันว่าสาเหตุทั้งหมดเป็นเพราะความอยากจะชนะของเรสโต้เพียงผู้เดียว เขาติดอยู่กับสิ่งนี้มานานจนกระทั่งเรสโต้ยอมสารภาพเพิ่มเติมแบบยิ่งกว่าหมดเปลือกในสารคดีเรื่อง Assault In The Ring ในปี 2009 ว่า "นวมบางไม่ใช่อย่างเดียวที่เป็นกลโกงของเขาในไฟต์นั้น"

มีถึง 3 อย่างที่เรสโต้ใช้เทคนิคสกปรก 1 คือนวมบางจนเหมือนหมัดเปล่า, 2 คือการนำนวมลงไปชุบกับสารที่เรียกว่า ปลาสเตอร์ ซึ่งทำให้นวมแสนบางของเขามีความแข็งกว่าปกติ และ 3 คือการเอาน้ำผสมกับยารักษาโรคหอบหืดเป็นเครื่องดื่มระหว่างยก ซึ่งน้ำนี้เองที่ทำให้เขาสามารถหายใจได้อย่างไม่ติดขัด จนเดินหน้าชกแบบไม่หยุดราวกับว่ามีปอดคอยทำงานถึง 3 อัน

"เรสโต้มาบอกกับฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาไม่ได้เป็นคนฆ่าบิลลี่ เขาร้องไห้ เพราะเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันอยู่ที่นั่นด้วย"

"ในระหว่างชก บิลลี่บอกกับพ่อของเขาว่า "เห้ยพ่อ ผมรู้สึกเหมือนโดนหินกระแทกหน้าเลย มันก็ผ่านมานานแล้ว และวันนี้เราก็ได้รู้ว่าเขาโดนก้อนหินอัดใส่หน้าจริงๆ" ภรรยาของคอลลินส์ว่าถึงเหตุการณ์วันเกิดเหตุและวันที่ความจริงปรากฎ

เรื่องนี้ถูกปิดท้ายด้วยการขอขมากับภรรยาหม้ายของคอลลินส์ ถึงสิ่งที่เขาได้ทำลงไปแบบไม่ได้คิดถึงเรื่องดีเรื่องชั่ว แม้จะไม่ได้รับการอภัย แต่อย่างน้อยให้เขาได้ขอโทษจากใจจริงสักครั้งก็ยังดี

"มีคนบอกผมให้ลืมเรื่องในอดีตไปซะ ผมพยายามแล้ว แต่มันทำไม่ได้หรอก ผมรู้สึกละอายใจในวันที่คอลลินส์โดนหมัดของผมแต่ก็ยังชูคอขึ้นมาสู้ต่อ ทั้งๆที่ผมแทบมองไม่เห็นดวงตาของเขาแล้ว มันคือความเศร้าที่จะติดอยู่กับผมอย่างถาวรตลอดไป" เรสโต้กล่าว

 8

จริงๆแล้วเขาก็เป็นนักชกที่ดีมีดีกรีติดตัว ดังนั้น เรสโต้อาจจะชนะคอลลินส์ได้หากสู้กันแบบใสสะอาด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เขาเลือกที่จะโกงไปแล้ว มันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรมากกว่าการสารภาพผิด และการทำมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อรับมือกับสิ่งที่ตัดสินใจในวันนั้น

หลังจากออกจากคุก เรสโต้กลับมาที่ยิมอีกครั้งโดยได้รับการอนุเคราะห์จากอดีตแชมป์โลกอย่าง แอรอน เดวิส ครั้งนี้มาในฐานะโค้ชประจำโรงยิม หน้าที่เขาคือการฝึกฝนนักมวยรุ่นเด็กให้ต่อยเร็ว ต่อยไว และคว้าแชมป์เหมือนกับที่เขาทำได้ เหนือสิ่งอื่นใดคือการเอาความผิดพลาดในอดีตมาสอนให้เด็กๆได้รู้ว่ามันจะเจ็บปวดและเกาะกินหัวใจขนาดไหน หากคุณคิดจะทำลายเกียรติของตัวเองเพียงเพื่ออยากชนะ… นั่นความทุกข์ที่ตัวเขาเองเผชิญอยู่

"แรงหมัดของคู่ชกยังพอโยกหลบได้ แต่แรงกรรมนั้นไซร้สะบัดอย่างไรก็ไม่มีวันหลุดพ้น” ประโยคนี้ไม่มีใครกล่าวไว้หรอก แต่มันคือบทเรียนของสิ่งที่เกิดขึ้นในไฟต์อัปยศไฟต์นี้

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ ของ นรกในใจของ "หลุยส์ เรสโต้" นักชกที่ทำให้ เมดิสัน สแควร์ การ์เด้น แปดเปื้อน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook