เมื่อ ‘เยอรมันตะวันออก’ โกงโอลิมปิก และเห็นประชาชนเป็นเพียงผักปลา

เมื่อ ‘เยอรมันตะวันออก’ โกงโอลิมปิก และเห็นประชาชนเป็นเพียงผักปลา

เมื่อ ‘เยอรมันตะวันออก’ โกงโอลิมปิก และเห็นประชาชนเป็นเพียงผักปลา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ก่อนประเทศเยอรมันจะรวมกันเป็นปึกแผ่นเหมือนในทุกวันนี้ พวกเขาเคยแบ่งชาติออกเป็นสองฝั่งด้วยสิ่งที่เรียกว่า "กำแพงเบอร์ลิน" เช้าของวันที่ 13 สิงหาคม ปี 1961 ชาวเบอร์ลินตื่นมาพบกับกำแพงนี้ด้วยความงุนงงพวกเขา เพราะรั้วลวดหนามสูง 6 ฟุต ถูกติดตั้งเพียงชั่วข้ามคืน ก่อนที่จะมีการสร้างกำแพงเป็นปราการด่านสำคัญที่ตัดขาดความสัมพันธ์ แม้จะถือสัญชาติเดียวกันก็ตาม

กำแพงเบอร์ลิน เกิดขึ้นหลังจากที่เยอรมันพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 มันคือสัญลักษณ์ของสงครามเย็นที่แบ่งประเทศออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งแรกเยอรมันตะวันตก ถูกเรียกว่าเป็นพื้นที่สีน้ำเงินที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของประเทศฝ่ายโลกเสรีที่ชนะสงครามที่นำโดยสหรัฐอเมริกา ขณะที่ฝั่งเยอรมันตะวันออกเรียกว่า "พื้นที่สีแดง" ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหภาพโซเวียตซึ่งเป็นผู้นำคอมมิวนิสต์

การแบ่งแยกประเทศเดินทางมาถึงปี 1989 เมื่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์แห่งเยอรมันตะวันออกประกาศยุติบทบาทของตนเอง ภายหลังจากกำแพงนั้นถูกทำลายลง เยอรมันจึงกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้งและก้าวมาเป็นประเทศมหาอำนาจเหมือนเช่นทุกวันนี้

อย่างไรก็ตามมีเรื่องราวในดินแดนแห่งความลับของฝั่งคอมมิวนิสต์อย่าง เยอรมันตะวันออก ที่สร้างเรื่องมากมายให้โลกต้องจดจำถึงความเลวร้ายของยุคสมัย ไม่เพียงแต่การเมือง, สงคราม และ ความเป็นอยู่คนประชาชน แต่มันรวมถึงเรื่องของ "กีฬา" ด้วย … เมื่อใดที่คอมมิวนิสต์ต้องการชัยชนะ พวกเขาก็พร้อมจะเห็นชีวิตนักกีฬาเป็นแค่ผักปลา และนี่คือเรื่องทื่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ เยอรมันสีแดง ยังมีลมหายใจและส่งทีมเข้าแข่งขันในกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติอย่างโอลิมปิก จะโหดแค่ไหน ไม่เป็นธรรมกับคู่แข่งชาติอื่นอย่างไร? ติดตามได้ที่นี่

(พวก) เราอยากเป็นเจ้าเหรียญทองโอลิมปิก

หากถามถึงเจ้าแห่งกีฬาทุกชนิดหรือเจ้าเหรียญทองของโอลิมปิก ใครๆ ก็ต้องคิดถึง สหรัฐอเมริกา มาก่อนเป็นอันดับแรก อย่างไรก็ตามหากย้อนกลับไปโอลิมปิกปี 1976 และ 1980 สหรัฐฯ กลับสู้ เยอรมันตะวันออก ไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป โดยปี 1976 ที่มอนทรีออล ประเทศแคนาดา สหรัฐฯ เข้าป้ายเพียงอันดับ 3 แพ้ทั้งสหภาพโซเวียตและเยอรมันตะวันออก ขณะที่ปี 1980 ที่กรุงมอสโกของสหภาพโซเวียต สหรัฐฯ ในฐานะผู้นำโลกเสรี ตัดสินใจบอยคอตต์ไม่ลงแข่งขันในถิ่นพวกคอมมิวนิสต์ เยอรมันตะวันออกจึงกวาดเหรียญทองเป็นรองแค่เจ้าภาพเท่านั้น


Photo : edition.cnn.com

แต่แรกนั้น โอลิมปิก เป็นกีฬาที่เปิดประตูต้อนรับเฉพาะนักกีฬาสมัครเล่นเท่านั้น นักกีฬาอาชีพหรือกึ่งอาชีพไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมเป็นอันขาด และถ้าจะถามต่อว่าแล้วอเมริกันชนในฐานะนักกีฬาสมัครเล่นยุคนั้นเล่นกีฬาสู้ชาติเล็กๆ อย่างเยอรมันตะวันออกไม่ได้เลยหรือ? ... เราขอแนะนำว่าคุณอย่าเพิ่งสงสัยและลองทำความเข้าใจให้เห็นภาพง่ายๆ ในตอนนั้นสักนิด

ประเทศคอมมิวนิสต์อย่าง สหภาพโซเวียต (เจ้าเหรียญทอง), เยอรมันตะวันออก (อันดับ 2) หรือแม้แต่ชาติอย่าง เกาหลีเหนือ หรือ คิวบา นั้นมีนักกีฬาระดับสมัครเล่นที่ดูเหมือนเป็นตัวโกงในวีดีโอเกมดีๆ นี่เอง เพราะรัฐบาลมีสิทธิ์ที่จะสั่งนักกีฬาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ให้ทำอะไรต้องทำ แม้มันดูย้อนแย้งอยู่บ้างก็ต้องยอม ชี้นกให้บอกไม้ก็ต้องไม้ ชี้ไม้ให้เป็นนกก็ต้องนก อะไรแบบนี้เกิดขึ้นได้หมด

มหกรรมโอลิมปิกในตอนนั้นเป็นเหมือนโฆษณาชวนเชื่อของแต่ละประเทศที่จะเชิดชูวิทยาการและความยิ่งใหญ่ของประเทศ ดังนั้นการส่งนักกีฬาไปคว้าเหรียญทองโอลิมปิกเหนือนักกีฬาชาติอื่นๆ ก็เหมือนเป็นการประกาศศักดาว่าคอมมิวนิสต์นั้นแน่นอนแค่ไหน และด้วยความอยากจะประกาศชัยชนะนี้เองทำให้นักกีฬาสมัครเล่นของชาติคอมมิวนิสต์ ฝึกหนักแบบรากเลือด ไม่ต่างกับนักกีฬาอาชีพของประเทศเสรีอื่นๆ เลย ดังนั้นเลิกแปลกใจได้ว่าทำไม 2 ชาติคอมมิวนิวต์จึงยึดหัวหาดเป็นเจ้าเหรียญทองในโอลิมปิกที่แคนาดา มิตรประเทศที่แนบชิดของดินแดนซึ่งเป็นตัวแทนของ เสรีภาพ

โซเวียต อยากจะประกาศตัวเหนืออเมริกา เยอรมันตะวันออก อยากจะประกาศศักดาเหนือเยอรมันตะวันตก รวมถึงชาติมหาอำนาจอื่นทั้งหลายทั้งปวง … แบบนี้ชัดเจนดีไหมล่ะครับ?

ช่องโหว่ที่เกิดขึ้น

ปริศนาความเก่งกาจของนักกีฬาจากชาติคอมมิวนิสต์ถูกไขไปแล้วหนึ่งเปราะ แต่มันก็ยังมีอีกหลายอย่างที่น่าสงสัยจริงๆ คือการฝึกตามแบบคอมมิวนิสต์เพียงอย่างเดียวจะทำให้ เยอรมันตะวันออก เก่งกีฬาขึ้นภายในระยะเวลาไม่กี่ปีได้จริงหรือ เพราะทั้งๆ ที่การแข่งขันโอลิมปิกในปี 1972 ที่เมืองมิวนิคของเยอรมันตะวันตก พวกเขายังได้เหรียญทองแค่ 20 เหรียญ (ซึ่งก็ชนะคนชาติเดียวกันที่อยู่อีกฝั่งกำแพงอยู่ดี) แต่ 2 ครั้งต่อจากนั้น เหรียญทองของพวกเขากลับพุ่งขึ้นแบบเกินครึ่ง ราวกับว่าชาติอื่นยกเว้นสหรัฐฯ กับโซเวียตไม่ได้ซ้อมกันเลยในช่วงเวลา 8 ปีหลังจากนั้น


Photo : www.realclearsports.com

ความจริงแล้วมันยังมีปัจจัยภายนอกบางอย่างที่พวกเขาตั้งใจเติมลงไปในระหว่างแข่งขัน สิ่งนี้ทำไปก็เพราะทุกอย่างนั้นไม่แน่นอน จึงต้องมีปัจจัยภายนอกเหล่านี้เพื่อให้ "เมกชัวร์" ว่านักกีฬาของพวกเขาจะชนะ ซึ่งแน่นอนว่ามันคือการ "โด๊ป" หรือ การใช้สารกระตุ้น

ในโอลิมปิก 1976 นั้น ข้อมูลการจับผิดของโซเวียตยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไรนัก แต่สำหรับ เยอรมันตะวันออก ต้องบอกว่าเพียบจนสื่อแทบไม่ต้องทึกทักไปเองเลยด้วยซ้ำ และที่รุนแรงที่สุดคือพวกเขาไม่ได้ทำมันในระหว่างแข่งขัน แต่การฉีดโด๊ปของเยอรมันตะวันออก เริ่มทำกันตั้งแต่สมัยที่นักกีฬาของพวกเขาอายุแค่ 10 ขวบเท่านั้น!

เด็กอายุ 10 ขวบในปัจจุบันที่วิวัฒนาการและอาหารการกินอุดมสมบูรณ์กว่าแต่ก่อนนั้น ทำให้พวกเขามีร่างกายที่ใหญ่โตขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเด็ก 10 ขวบในอดีต ทว่าเด็ก 10 ขวบของเยอรมันตะวันออกยุคนั้นใหญ่โตกว่าเด็กทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด

ความอยากชนะของ เยอรมันตะวันออก ต้องบอกว่าสุดโต่งเกินใครจะคาดคิด สิ่งที่เราหลายคนคิดว่าการโกงในรูปแบบของกีฬาคือการฉีดสารสเตียรอยด์ก็ถือว่าหนักแล้ว แต่คณะกรรมการโอลิมปิกของเยอรมันตะวันออกที่ทำงานภายใต้รัฐบาลคอมมิวนิวสต์นั้นฉีด "ฮอร์โมนเพศชาย" ให้กับ "เด็กหญิง" ที่อายุระหว่าง 10-13 ปี อย่างต่อเนื่องเพื่อให้พร้อมสำหรับโอลิมปิกที่เหล่าท่านผู้นำรอคอย และเรื่องนี้ถูกเปิดใจจากทีมนักว่ายน้ำหญิงแบบหมดเปลือกหลังจากรัฐบาลเยอรมันตะวันออกประกาศยุติบทบาทในปี 1989

ตั้งแต่อายุยังน้อย เด็กสาวชาวเยอรมันจำนวนมากจะถูกนำตัวไปยังสปอร์ต คลับ ของรัฐบาล เพื่อคัดหาคนที่ว่ายได้เร็วที่สุด ทีมว่ายน้ำหญิงของ เยอรมันตะวันออก ครองอำนาจการเป็นเจ้าสระตั้งแต่ปี '70 -'80 สาเหตุนั้นมาจากการฉีดโด๊ปให้กับเด็กๆ ที่มีแววจากทั่วประเทศ พวกเขาไม่สนว่าจะเป็นหรือตายใดๆ ทั้งสิ้น...มันคือ นโยบายโคตรโกงของรัฐบาล ที่หลอกเด็กๆ ให้กิน และฉีดยาที่พวกเขาหลอกว่าเป็น "วิตามินเสริม" พวกเขาให้เด็กๆ ใช้วิตามินเสริมแบบซ้ำๆ และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ ยังมีรายงานจากสื่อใหญ่อย่าง เดอะ ไทม์ส ว่า มีนักกีฬาของเยอรมันตะวันออกกว่า 10,000 คน ที่เคยผ่านการฉีดสารกระตุ้นหลากหลายชนิดในช่วงยุค '70-'80 อีกด้วย


Photo : montrealgazette.com

3 สมาชิกทีมว่ายน้ำชุดเหรียญทองโอลิมปิก 2 สมัยอย่าง คอร์เนเลีย เอนเดอร์, บาร์บาร่า ครอส และ แคโรล่า นิตช์เก ยืนยันเรื่องนี้เองอย่างชัดเจน พวกเธอได้รับสารกระตุ้นโดยไม่รู้ตัวว่ามันคือสารที่ทำให้พวกเธอแข็งแกร่งขึ้นอย่างผิดธรรมชาติ มันทำให้พวกเธอผิดหวัง เพราะหลงคิดมาตลอดว่าความสำเร็จที่เคยคว้ามาได้มาจากน้ำพักน้ำแรงและวินัยในการฝึกซ้อม แต่เปล่าเลย "สารนี้คือตัวโกง" ที่ทำให้เรื่องการชิงเหรียญทองมันจึงได้ง่ายดายนัก

เรื่องนี้กัดกินหัวใจนักกีฬาเยอรมันตะวันออกที่เกี่ยวข้องแบบไม่รู้ตัวแทบทุกคน โดยเฉพาะ แคโรล่า นิตช์เก้ หลักจากได้รับรู้ความจริงเธอประกาศคืน 4 เหรียญทอง และ 4 เหรียญเงินที่ได้มาคืนให้กับคณะกรรมการโอลิมปิกทั้งหมด เธอแน่ใจว่าเหรียญพวกนี้หมดค่าใดๆ อีกต่อไป

เห็นคนเป็นผักปลา

การอยากทำอะไรก็ทำ อยากลองอะไรก็ลอง ของรัฐบาลเยอรมันตะวันออกนำมาซึ่งตราบาปในภายหลังมากมาย เด็กๆ หลายคนที่เติบโตมาพร้อมกับสเตียร์รอยด์ และ ฮอร์โมนเพศชาย หรืออะไรก็ตามแต่ พบว่าร่างกายของพวกเธอแปลกและแตกต่างจากคนอื่นภายในระยะเวลาหลังจากรับสารอย่างต่อเนื่อง


Photo : www.pbs.org

เดอะ ไทม์ส ขยี้เรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง พวกเขาลงพื้นที่สำรวจและพบว่า เด็กหญิงหลายคนเริ่มมีร่างกายที่เติบโตเกินพัฒนาการ และมีขนขึ้นตามแขนขาและส่วนต่างๆ รวมถึงการมีหนวดและเคราขึ้นบนใบหน้าด้วย เรื่องนี้สร้างความตกตะลึงให้กับผู้ปกครองของเด็กๆ เป็นอย่างมาก พวกเขาพยายามจะเรียกร้องความเป็นธรรมจากรัฐบาลที่ทำให้ลูกๆ ของพวกเขาต้องกลายเป็นตัวประหลาด ทว่าแค่พวกเขาคิดจะตั้งคำถามก็ถูกขู่ว่าจะลงโทษสถานหนัก จนท้ายที่สุดแล้วเสียงของประชาชนก็ทำได้แค่เก็บไว้คุยกันเองเท่านั้น เต็มที่สุดๆ ก็ทำได้แค่แค้นใจ … ในทางปฎิบัติไม่อาจทำอะไรได้เลยแม้แต่น้อย

เรื่องนี้ทำให้รัฐบาลสั่งให้นักกีฬาทีมชาติหลายคนหุบปากให้สนิท ห้ามพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในแคมป์เก็บตัว ซึ่งทำให้เรื่องสเตียร์รอยด์นี้เป็นเหมือนผีมาตลอดช่วงเวลาที่รัฐบาลคอมมิวนิสต์ยังมีอำนาจ นั่นคือรู้ว่ามีจริงแต่ไม่อาจจะสัมผัสได้

เมื่อปิดปาก เรื่องก็เงียบ เมื่อเรื่องเงียบ ประชาชนก็รับกรรมไปโดยปริยบาย อดีตนักกีฬาทั้งฝึกหัดและตัวทีมชาติเยอรมันตะวันออกหลายคนต้องเจอกับปัญหาสุขภาพในภายหลัง บางคนเป็นโรคมะเร็งตับ บางรายมีภาวะแทรกซ้อนและอวัยวะส่วนต่างๆ เสียหาย บ้างเมื่อโตขึ้นก็กลับกลายเป็นคนที่อยู่ในภาวะมีลูกยาก หนักที่สุดคือหัวใจของพวกเขาขยายตัวใหญ่ขึ้นจนทำงานผิดปกติ … ทั้งปัญหาสุขภาพมากมาย และความสูญเสีย เกิดขึ้นกับครอบครัวแล้วครอบครัวเล่า สุดแท้แต่ว่าใครจะเป็นมากเป็นน้อยเท่านั้นเอง

เมื่อความยุติธรรมบังเกิด

ที่สุดแล้ว ความยุติธรรมบังเกิดจนได้ … เพียงแต่ว่ามันเป็นเวลาที่ทิ้งช่วงไปนานไปหลายสิบปี  หลังจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของเยอรมันตะวันออกสิ้นอำนาจ และเยอรมันถูกรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เรื่องราวของโครงการโคตรโกงด้วยยาโด๊ปจากยุคเก่าจึงได้รับการสะสาง


Photo : coachrickswimming.com

รัฐบาลเยอรมันต้องรักษาคนที่มีโรคแปลกๆ จากสเตียร์รอยด์เป็นหลักพันคน โดยนักกีฬาเหล่านั้นได้รับเงินเยียวยาคนละไม่ต่ำกว่า 10,000 ยูโร (ประมาณ 3 แสนบาท) ต่อปี เป็นเงินรวมกว่า 10 ล้านยูโร นอกจากนี้ยังมีการจัดกองทุนช่วยเหลือกว่า 2 ล้านยูโร ทว่าน่าเสียดายที่ความยุติธรรมมาช้าไปหน่อย หลายคนเสียชีวิตไปก่อนที่ความช่วยเหลือจะมาถึง ดังนั้นจึงมีผู้ไปรับสิทธิ์จากรัฐบาลนาง แองเจล่า แมร์เคิล เพียง 197 คนเท่านั้น

"ณ วันนี้เราได้จัดตั้งกองทุนสำหรับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการโด๊ปจากรัฐบาลเยอรมันตะวันออก เราพยายามจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน เนื่องจากเหยื่อหลายคนมีสุขภาพที่ย่ำแย่" โทมัส เดอไมซีเยอร์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าว

ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าทางสายกลางอีกแล้ว หากรัฐบาลเยอรมันตะวันออกไม่อยากชนะจนหน้ามืดตามัวเห็นคนเป็นผักปลา ประชากรในประเทศคงไม่ต้องมารับเคราะห์และทรมานทั้งกายและใจโดยใช่เหตุเช่นนี้   


Photo : www.nytimes.com

น่าแปลกที่ถึงแม้จะมีตัวอย่างที่ร้ายแรงเช่นนี้ ทว่าทุกวันนี้โลกของกีฬายังมีเหล่าคนหลงผิดที่ใช้สารต้องห้ามต่างๆ ทำให้ร่างกายของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นแบบเหนือขีดจำกัด พวกเขาอยากจะชนะเหมือนกับรัฐบาลเยอรมันตะวันออก ทว่าไม่ได้คิดเลยว่าชัยชนะที่ได้มากจากการทำร้ายตัวเองนั้นไม่มีค่าอันใด

ความสุขจะอยู่กับพวกเขาเพียงชั่วครู่ ที่เหลือจะเป็นความทรมานที่หันมามองย้อนหลังทีไรก็ได้แต่คิดในใจว่า "วันนั้นฉันไม่น่าทำเลย"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook