คมเขี้ยวแห่งชัยชนะ : ความสำเร็จสูงสุดของทอร์คีย์ ที่มี "สุนัข" เป็นพระเอก

คมเขี้ยวแห่งชัยชนะ : ความสำเร็จสูงสุดของทอร์คีย์ ที่มี "สุนัข" เป็นพระเอก

คมเขี้ยวแห่งชัยชนะ : ความสำเร็จสูงสุดของทอร์คีย์ ที่มี "สุนัข" เป็นพระเอก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หนึ่งในประโยคสุดแซ่บจากภาพยนตร์ Thor : Ragnarok ที่ถูกผู้คนนำมาใช้ต่อกันเป็นอย่างมากก็คือ “...(ชื่อเมือง)... ไม่ใช่สถานที่แต่คือผู้คน” เพื่อบอกถึงการอยู่รวมกันของทุกชีวิต แต่สำหรับบางเมืองประโยคดังกล่าวอาจจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียวเพราะ "มันไม่ใช่แค่ผู้คน" แต่รวมยังรวมถึงฮีโร่ 4 ขาอย่าง สุนัข ด้วย

 

เรารู้กันอยู่แล้วว่าฟุตบอลเป็นเหมือนลมหายใจของประเทศอังกฤษ และเมืองเล็กๆ อย่าง ทอร์คีย์ มีทีมฟุตบอลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทีมจอมห่วยของประเทศ ทว่าทุกคนในเมืองเห็นทีมนี้เป็นเหมือนครอบครัว เพราะทั้งเมืองมีทีมให้เชียร์เพียงทีมเดียวเท่านั้น

และเมื่อครอบครัวกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดและมีเงื่อนไขว่ามนุษย์ไม่สามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ ก็ได้เวลาที่ เจ้าบริน สุนัขตำรวจ ที่ถูกเรียกว่าตำนานของเมืองทอร์คีย์ต้องออกโรง

เรื่องราวแห่งตำนานที่ทำให้คนทั้งเมืองเชิดชูมันเป็นฮีโร่เป็นอย่างไร ติดตามพร้อมกันกับ Main Stand ได้ที่นี่

เพราะเราห่วย...

ทอร์คีย์ ยูไนเต็ด คือทีมฟุตบอลประจำเมืองทอร์คีย์ ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1899 ปัจจุบันมีอายุมาแล้วถึง 120 ปี เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นทีมเก่าทีมแก่และมีประวัติศาสตร์ร่วมกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของชาวเมืองมาตั้งแต่รุ่นพ่อ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความเป็นอยู่ของ ทอร์คีย์ ยูไนเต็ด มีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนเหล่านี้แค่ไหน

 1

อย่างไรก็ตาม ความจริงก็คือความจริง สโมสรแห่งนี้แม้จะอยู่มาอย่างยาวนานแต่พวกเขาไม่เคยไม่เล่นในลีกระดับสูงเลยแม้แต่ครั้งเดียว อย่าว่าแต่ระดับพรีเมียร์ลีกเลย เอาแค่ระดับลีกรองอย่าง เดอะ แชมเปี้ยนชิพ หรือแม้กระทั่งในชื่อเก่าอย่าง ดิวิชั่น 1 ทอร์คีย์ก็ไม่เคยเข้าใกล้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

หากคุณเป็นแฟนบอลของทีมเล็กๆ คุณจะเข้าใจถึงสิ่งนี้ดี ทีมรักของเราต่อให้แย่ต่อให้ห่วยอย่างไรก็ไม่มีวันตัดขาด ทอร์คีย์ผ่านการตกชั้นมานับไม่ถ้วน ขึ้นๆ ลงๆ ในระดับดิวิชั่น 2-3-4 แทบจะตลอดเวลาแต่แฟนๆก็ยังมีความสุขในแบบของพวกเขาแม้จะไม่เคยได้แชมป์ระดับเมเจอร์เลยแม้แต่ครั้งเดียว

"ใครก็ตามที่เข้ามาเชียร์ทอร์คีย์ในสนามและหวังว่าอยากจะเห็นชัยชนะผมบอกเลยว่าคุณมันไอ้งั่งชัดๆ" จอห์น ลูอิส แฟนเก่าแก่ของทีมที่เชียร์มาตั้งแต่ปี 1955 ยืนยันเรื่องนี้เองด้วยสีหน้าอมยิ้มบอกได้ถึงสัจธรรมของการเชียร์ทีมนี้ เพราะแม้จะเชียร์มาอย่างยาวนานแต่เจ้าตัวยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่ทีมรักสามารถทำอันดับไปกลางตารางได้คือเมื่อไหร่ ...

เรื่องราวของสโมสรแห่งนี้เดินทางมาถึงฤดูกาล 1985-86 และ 1986-87 ทอร์คีย์ ลงเล่นในระดับ ดิวิชั่น 4 ซึ่งถือว่าเป็นลีกอาชีพระดับล่างสุดๆ เพราะต่อจากนี้คือนอกลีก แต่ด้วยระบบฟุตบอลของอังกฤษในตอนนั้นยังมีการจัดการที่ไม่อาจคาดเดาอะไรได้ จึงทำให้ถือเป็นโชคของทอร์คีย์ ที่แม้พวกเขาต้องจมอยู่ท้ายตารางจนต้องตกชั้น ทว่าอยู่ดีๆ ก็มีระฆังดังช่วยให้พวกเขารอดอย่างเหลือเชื่อ

 2

สาเหตุก็เนื่องมาจาก ในยุคสมัยนั้น แม้ทีมจะอยู่ในโซนตกชั้นของดิวิชั่น 4 ก็ตาม แต่ก็ยังมีฟางเส้นสุดท้ายเหนี่ยวรั้งไว้ นั่นก็คือ สโมสรสมาชิกจะต้องมาโหวตกันอีกครั้งว่า ทีมนั้นสมควรจะได้เล่นในฟุตบอลลีกอาชีพอังกฤษต่อไปหรือไม่ ซึ่งผลปรากฎว่า ทอร์คีย์ยังโชคดีได้เล่นในลีกอาชีพต่ออีกปี... แค่นี้แฟนบอลทอร์คีย์ก็เฮลั่นเมืองแล้ว เห็นได้ชัดว่าข้อดีของการเชียร์ทีมเล็กๆที่เผชิญโชคร้ายมากกว่าโชคดีก็คือ เมื่อโชคดีเกิดขึ้นกับคุณสักครั้งมันจะกลายเป็นช่วงเวลาที่หอมหวานจนไม่อยากลืมแม้จะเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วสำหรับทีมใหญ่ๆ ทีมอื่นก็ตาม

ทว่าดีใจได้ไม่นาน ความกังวลก็มาเยือน เมื่อ เอฟเอ ประกาศลั่นระฆังว่า จะมีการรีเซ็ตระบบการเลื่อนชั้นตกชั้นใหม่ทั้งหมดในฤดูกาล 1986-87 โดยนำระบบการเลื่อนชั้นตกชั้นอัตโนมัติมาใช้ ไม่ต้องเสียเวลาโหวตอีกต่อไป

1986-87 ฤดูกาลแห่งความตื่นเต้น

จากแฟนบอลที่เคยเชียร์กันเพราะทีมนี้เป็นเหมือนครอบครัว แม้จะตกต่ำแต่ก็ไม่ตกชั้นทำให้สภาพความชาชินเกิดขึ้น ทว่าเมื่อกฎตกชั้นอัตโนมัติเข้ามา ชาวเมืองทอร์คีย์ รู้สึกใจหวิวพิลึก พวกเขารู้ดีว่าตัวเองห่วยก็จริง แต่ถ้าฤดูกาล 1986-87 ยังห่วยจมบ๊วยเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันอีกพวกเขาจบเห่แน่นอน และข่าวร้ายยิ่งกว่านั้นคือหากพวกเขาต้องตกชั้นไปจริงๆ ทอร์คีย์ที่เป็นทีมระดับล่าง ไม่มีเงินบริหารมากมายนักอาจจะต้องยุบทีมไปเลยก็ได้

 3

เสียงตามท้องถนนเริ่มคุยกันถึงเรื่องฟุตบอลมากขึ้นเมื่อกฎตกชั้นเข้ามา "เราจะทำยังไงกันดีวะ เราแย่แน่ ถ้าหนนี้ตกชั้นอีกบ่ายวันเสาร์เราจะทำอะไรกัน?" นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานั้นที่เต็มไปด้วยความกลัวและความตื่นเต้นที่สุดในรอบหลายปี

งานนี้ภาระทั้งหมดตกเป็นของ สจ๊วร์ต มอร์แกน กุนซือที่ถูกประธานสโมสรอย่าง เดวิด เว็บบ์ จิ้มเลือกมาโดยตรง ซึ่งตัวของมอร์แกนเองก็รู้สึกไม่ต่างกับแฟนๆของทีมมากนัก เพราะเขาเองก็ไม่ได้วิตกกังวลแบบนี้มานาน การที่ทีมจมบ๊วยในฤดูกาลก่อนหน้านี้ก็ฝีมือเขาคุมนี่แหละเพียงแต่ว่าด้วยกฎใหม่ทำให้มันกลายเป็นคนละเรื่อง

"ตอนแรกผมมีก็งานที่ดีอยู่แล้วนะ ผมเป็นผู้ช่วยของบอร์นมัธ ก่อนที่ เว็บบ์ จะถามว่าอยากจะลองคุมทีมอย่างเต็มตัวดูสักตั้งไหม ผมบอกได้คำเดียวเลยว่าเยี่ยมสุดๆ ไปเลย"  เขาพูดจบประโยคได้ไม่นานแต่เมื่อได้รับสัญญาว่าจ้างเขาเดินทางมายังสนามเหย้าของทีมและเริ่มรู้สึกในใจลึกๆ ประมาณว่า "นี่กูมาคุมทีมห่วยแบบนี้ทำไมวะเนี่ย!"

 4

"เอาจริงๆจากใจเลย ผมเดินทางมาสนามและเห็นสภาพปุ๊บผมรู้เลย ‘นี่มันห่าเหวอะไรวะเนี่ย?’" ภาพที่เขาเห็นคือสภาพอัฒจันทร์ที่โดนไฟไหม้ ที่จริงมันไหม้มานานเป็นปีแล้วแต่สภาพคือไม่ได้รับการบูรณะเลยแม้แต่น้อย ไหนจะเรื่องไม่มีห้องแต่งตัวอีกล่ะ และรถบัสประจำทีมที่พังจนใช้งานไม่ได้จนพวกเขาต้องยืมรถของโรงพยาบาลขนนักเตะไปแข่งยามมีเกมเยือนด้วยระยะทางเป็นพันๆกิโลเมตร ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะไปถึงสนามช้าจนไม่มีเวลาวอร์มอัพ… และเมื่อไม่มีเวลาวอร์มอัพ สิ่งที่ มอร์แกน ต้องแก้สถานการณ์คือการสั่งลูกทีมลงจากรถในระยะห่างจากสนามสัก 20 นาที เพราะต้องการให้นักเตะวิ่งไปสนามเพราะกล้ามเนื้อขาจะได้ทำงานและถือเป็นการวอร์มไปในตัวด้วย

นี่มันงานในฝันของมอร์แกนชัดๆ แต่ฝันที่ว่าน่าจะเป็นฝันร้ายมากกว่าฝันดี...

แต่ที่สุดแล้วลูกผู้ชายรับคำแล้วก็ต้องทำมอร์แกน เดินหน้าทำในสิ่งที่ผู้จัดการทีมทำ แม้สภาพสโมสรจะแย่ และนักเตะในทีมก็ไร้มาตรฐาน มันจึงทำให้เขาใช้เส้นสายเก่าๆ สมัยทำงานโค้ชให้ทีมอื่นเพื่อของยืมนักเตะมาเสริมทัพ แม้บางครั้งจะต้องไปถึงขั้นขอร้องเลยก็มี ที่สุดแล้วทีมก็เริ่มจะมีคุณภาพขึ้น… แม้ว่าจะเล็กน้อยก็ตาม

ความจริง คือความจริง

คุณจะหวังอะไรได้เมื่อสภาพของสโมสรเป็นอย่างที่กล่าวไปในข้างต้น ทอร์คีย์ ยังคงเป็น ทอร์คีย์ ทีมเดิม พวกเขาอาจจะดีขึ้นเล็กน้อย แต่ความจริงก็คือพวกเขายังห่วยอยู่ดี ฤดูกาล 1986-87 ยังคงเป็นปีที่พวกเขาวนเวียนอยู่กับท้ายตาราง ทว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปคือความคิดและสภาพจิตใจ

 5

จากที่เคยชิลล์ๆ มาโดยตลอดเพราะบ๊วยไปก็ไม่ตกชั้น ตอนนี้พวกเขาคิดแบบนั้นไม่ได้แล้ว หากมีการตกชั้นอีกพวกเขาจะหลุดออกจากการเป็นทีมฟุตบอลอาชีพ และหากสิ่งนั้นเกิดขึ้นมันจะส่งผลถึงชีวิตความเป็นอยู่ของนักฟุตบอลทุกคนในทีมแน่นอน เพราะลำพังพวกเขาก็ได้ค่าเหนื่อยไม่มากอยู่แล้ว หากหลุดไปเล่นบอลแบบสมัครเล่นอีกทีนี้ได้เดือดร้อนกันถึงครอบครัวแน่นอน "Do it or die" หรือ "ไม่สู้ก็ตาย" คือคำทีมพวกเขาใช้ปลุกใจกันในห้องแต่งตัว และทุกคนรู้ดีว่านี่ไม่ใช่แค่คำขู่ หากไม่สู้ พวกเขาได้ตายทั้งที่ยังหายใจแน่นอน

ฤดูกาลหวดกันมายาวนาน แต่สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างยากลำบากบนความคุ้นเคยเดิม จนที่สุดแล้วในวันสุดท้ายของฤดูกาลก็มาถึง แม้ตั๋วด่วนสู่นรกจะมีเพียงใบเดียวให้ 3 ทีมแย่งชิงกัน ได้แก่ ลินคอล์น ที่มี 48 แต้ม, เบิร์นลี่ย์ ที่มี 46 แต้ม และ ทอร์คีย์ ที่มี 47 แต้ม แต่ ทอร์คีย์ มีโอกาสเสี่ยงที่จะไม่รอดสูงสุดด้วยแต้มที่มี แถมนัดสุดท้ายยังต้องเจอกับทีมแกร่งของลีกอย่าง ครูว์ อเล็กซานดร้า นับเป็นความโชคร้ายจนวันสุดท้ายของฤดูกาลอย่างแท้จริง

"ไม่มีโปรแกรมไหนจะโหดร้ายไปกว่าการเจอกับ ครูว์ อีกแล้ว พวกเขาเป็นทีมเก่งเลยล่ะ แถมไม่มีแรงกดดันอีกต่างหาก ผู้เล่นของพวกเขาก็สบายใจไปสิสำหรับเกมนี้" จิม แม็คนิโคล แบ็คขวากัปตันทีมทอร์คีย์เล่าถึงความหลังครั้งเก่าก่อน

 6

โจทย์ก่อนเกมง่ายไม่ซับซ้อน มีทั้งหมด 2 ข้อนั่นคือ พวกเขาจำเป็นต้องจบเกมด้วยการมีแต้มสถานเดียว แถมต้องลุ้นให้ ลินคอล์น ทีมอันดับที่ 22 แพ้ สวอนซี เท่านั้นถึงจะอยู่รอด ...

ถ้านี่คือภาพยนตร์ ทอร์คีย์ จะต้องโชว์ฟอร์มหักปากเซียนไล่ถล่มผู้มาเยือนอย่างสุดเซอร์ไพรส์ด้วยการเล่นที่เหลือเชื่อ แต่นี่มันคือความจริง และความจริงโหดร้ายเสมอ เพราะ ครูว์ เก่งสมคำเล่าลือ พวกเขาใช้เวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้นในการดับฝันคนทั้งเมืองทอร์คีย์ด้วยการยิงนำเจ้าบ้านไปก่อนถึง 2-0 และจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นั้น

"ตายห่าแล้ว เราแทบไม่ได้ลุ้นยิงประตูเลยสักครั้ง เอาล่ะก่อนเกมเราอาจจะมียอดเขาเป็นอุปสรรคให้ปีน แต่พอเข้าครึ่งหลังผมคิดในใจว่า ‘เห้ย ไม่ใช่ยอดเขาแล้วว่ะ นี่มัน เอเวอเรสต์ ชัดๆ’"

เมื่อเกมครึ่งหลังเริ่มขึ้นพร้อมภารกิจพิชิตเอเวอเรสต์ เกมผ่านไปไม่กี่นาทีเจ้าบ้านได้เฮสุดเสียงเมื่อได้ฟรีคิก และยิงจังหวะเดียวเข้าไปไล่มาเป็น 1-2 ทันใดนั้นทุกคนในสนามเปลี่ยนความคิดใหม่อีกที "เรายังมีโอกาสอยู่รอด"

ความตื่นเต้นและเลือดลมที่พุ่งพล่านทำให้แฟนบอลเริ่มขว้างปาสิ่งของในจังหวะที่ไม่เป็นใจ และทำอย่างไรพวกเขาก็ไม่หยุดป่วนเกมจนที่สุดแล้ว เจ้าหน้าที่ต้องเอาสุนัขตำรวจออกมาขู่ 4-5 ตัวและมันก็ได้ผล เกมดำเนินต่อไปอีกครั้งโดยเหลืออีกครึ่งทางสำหรับยอดเขาเอเวอเรสต์ จนมาถึงช่วงทดเวลานาทีที่ 2 เป็นการบุกชุดสุดท้ายของเจ้าบ้าน แม็คนิโคล กัปตันทีมของทอร์คีย์ เลี้ยงบอลมาทางกราบขวาผ่านหน้าสุนัขตำรวจที่ชื่อว่าเจ้าบริน และเหตุการณ์ความวุ่นวายก็เกิดขึ้น

คมเขี้ยวแห่งชัยชนะ

เจ้าบรินนั้นถูกฝึกมาให้พร้อมลงเขี้ยวกับคนที่ไม่ยอมเชื่อฟังเจ้านายของมัน หน้าที่ของมันคือใครก็ตามที่วิ่งลงมาในสนามมันจะกัดให้จมเขี้ยว โชคร้ายที่ แม็คนิโคล ดันวิ่งผ่านหน้ามันไป และมันเองก็แยกไม่ออกหรอกว่าใครคือนักฟุตบอลใครคือแฟนบอล ดังนั้นใครที่เข้าสนามมันเอาหมด!

 7

บริน กระโดดงับ แม็คนิโคล ทันทีตามที่ถูกสั่งสอนมา มันโจมตีและกัดเข้าให้เป็นแผลใหญ่ 3 รูพร้อมกับรอยเขี้ยวลากยาวจน แม็คนิโคล ต้องเย็บแผลถึง 17 เข็ม จนต้องให้มีการปฐมพยายามเป็นระยะเวลานานและจำเป็นต้องทดเวลาออกไปอีกอย่างน้อย 5 นาที  จากเกมบุกชุดสุดท้ายของ ทอร์คีย์ กลับกลายเป็นว่าการกัดของเจ้าบรินเป็นการต่อเวลาหายใจในฐานะทีมฟุตบอลอาชีพออกไปในช่วงสั้นๆ อันแสนยาวนาน

"ทุกคนโกรธไอ้หมานั่นมาก เพราะมันทำลายเกมบุกของเรา ไอ้หมาเวรเอ๊ย แกทำจิมลงไปกองข้างสนาม" ผู้รักษาประตูของทอร์คีย์ในวันนั้นกล่าว เพราะ ณ ตอนนั้นเปลี่ยนตัวได้แค่คนเดียว ถ้า แม็คนิโคล ออกจากสนามไปพวกเขาจะต้องเล่นแค่ 10 คนเท่านั้น

 8

อย่างไรก็ตามมันกลับเกิดปาฎิหาริย์จากรอยเขี้ยว ในช่วงวินาทีสุดท้าย พอล ด็อบสัน ดาวยิงของทีมก็สร้างปาฎิหาริย์ ทำประตูตีเสมอได้ ส่งผลให้พวกเขามีคะแนนเท่ากับ ลินคอล์น ที่แพ้ต่อ สวอนซี แต่ประตูได้เสียดีกว่า 2 ลูก รอดจากการตกชั้นได้สำเร็จ และแฟนบอลก็ลงมาร่วมดีใจกันจนสนามที่แทบจะพังอยู่แล้วพังเข้าไปอีก แต่ใครจะสนล่ะ? พวกเขาคือทีมระดับลีกอาชีพเชียวนะ!

พอล ด็อบสัน อาจจะเป็นผู้ยิงประตู แต่ตอนนี้ชาวเมืองต่างยกให้ เจ้าบริน และ แม็คนิโคล กัปตันของพวกเขาคือฮีโร่ตัวจริง... "ใช่เลย ไอ้หมานั่นคือคนที่ช่วยทอร์คีย์ไว้ ไม่ใช่ พอล ด็อบสัน" แม็คนิโคล กล่าวติดตลกหลังจากเรื่องเล็กๆ เรื่องนี้คือเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนักฟุตบอลของเขาและชาวเมืองทอร์คีย์ทุกคน

 9

"ผมไม่มีทางลืมการถูกหมากัดได้เลย กาลเวลาอาจจะผ่านไปแล้ว 20 ปี แต่แผลเป็นที่ต้นขายังเตือนความจำของผมเสมอ ถ้ามันเกิดขึ้นในเกมอื่นๆ คงไม่มีใครพูดถึงมัน ผมคงจะออกไปจากสนามและไปโรงพยาบาลเพื่อฉีดยาตามปกติ แต่นี่ผมลืมไปหมด เลยผมเฉลิมฉลองทุกวินาทีจนกระทั่งกลับบ้านเลยล่ะ"

เห็นได้ชัดว่านี่คือเสน่ห์ของการเชียร์ทีมเล็ก และการเป็นนักฟุตบอลระดับรากหญ้า ทอร์คีย์ ยูไนเต็ด อาจจะไม่เคยปรากฎบนหน้าประวัติศาสตร์ของฟุตบอลอังกฤษอย่างเด่นชัด แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ทีมเล็กที่การจัดการแสนห่วยแตกถูกพูดถึงในฐานะตำนานหมากัดแห่งดิวิชั่น 4

ความสุขของคนเรานั้นแตกต่างกัน แม้จะเป็นเรื่องราวที่เล็กน้อยแค่ไหนก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาดูถูกความสุขของคนอื่น... และสำหรับชาวเมืองทอร์คีย์ ความสุขแค่นี้ก็ยิ่งใหญ่จนคับอยู่ในหัวใจของพวกเขาแล้ว ถ้าคุณถามพวกเขาว่า "เห้ย! ทีมของแกเคยได้แชมป์กับเขาบ้างไหม?" ก็จงระวังว่าพวกเขาจะตอบกลับว่า "แล้วทีมแกเคยโดนหมากัดแล้วฉลองกันไหมละวะ!" และหัวเราะใส่หน้าด้วยความสะใจก็แล้วกัน

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ ของ คมเขี้ยวแห่งชัยชนะ : ความสำเร็จสูงสุดของทอร์คีย์ ที่มี "สุนัข" เป็นพระเอก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook