อาหารสำคัญไฉน? : กินอย่างไรให้ผอมลงและยิงกระจายอย่าง "ลูกากู"

อาหารสำคัญไฉน? : กินอย่างไรให้ผอมลงและยิงกระจายอย่าง "ลูกากู"

อาหารสำคัญไฉน? : กินอย่างไรให้ผอมลงและยิงกระจายอย่าง "ลูกากู"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เรื่องของการลดน้ำหนักคือปัญหาของคนเกือบทั้งโลก ยิ่งในยุคปัจจุบันที่ของอร่อยหาง่ายเพียงปลายนิ้ว แค่กดโทรศัพท์สั่งเมนูเด็ดก็จะมาส่งถึงบ้าน ดังนั้นแล้วจึงไม่แปลกอะไรนักที่หลายประเทศจะประสบปัญหาประชากรที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์

หลายคนยังคลางแคลงสงสัยว่ากินที่ปากเราแล้วมันไปหนักบนหัวใคร แต่ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้น เพราะงบประมาณสาธารณะสุขของประเทศต่างๆทั่วโลกจำนวนไม่น้อย ถูกใช้เพื่อดูแลและรักษาประชาชนที่เป็นโรคอ้วนหรือโรคอื่นๆที่มาจากสาเหตุของน้ำหนักเกินเกณฑ์

 

เห็นได้ชัดว่าเรื่องน้ำหนักตัวมีปัญหาในทุกๆกิจกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณเป็นนักฟุตบอลอาชีพแล้ว การมีน้ำหนักเกินถือว่าเป็นอะไรที่ส่งผลต่อฟอร์มการเล่นในสนามอย่างมาก และชั่วโมงนี้หากจะยกใครสักคนมาเป็นตัวอย่างก็คงจะหนีไม่พ้น โรเมลู ลูกากู ดาวยิงของแมนฯ ยูไนเต็ด ที่เปิดเผยด้วยตัวเองว่าเขาเปลี่ยนไปได้ด้วยการควบคุมอาหารและรักษาสภาพร่างกายใหม่หมด จนเป็นเหตุที่ทำให้ทุกอย่างดูดีขึ้นภายในช่วงเวลาสั้นๆแค่ไม่กี่เดือน

และนี่คือสิ่งที่เขาทำ...

ดูแลตัวเองให้แข็งแรง

เราไม่สามารถใช้คำว่า ลูกากู อ้วนเกินไปได้ เพราะสิ่งที่อยู่บนร่างกายของเขาคือกล้ามเนื้อทั้งสิ้น และนี่คือเรื่องจริงที่มีคนกล้ายืนยันว่า ลูกากูคือนักเตะที่มีพละกำลังทางร่างกายที่ดีมากสำหรับอาชีพนักฟุตบอล และคนๆนั้้นคือ ราฟาเอล วาราน กองหลังแชมป์โลกและแชมป์ยุโรปของเรอัล มาดริด ที่มีโอกาสได้ชนกับลูกากูตรงๆมาแล้วทั้งในเกมทีมชาติและสโมสร

 1

"การเจอผู้เล่นที่แข็งแกร่งกว่านั้นสร้างปัญหาให้ผมมาก ถ้าเจอนักเตะพวกนี้ผมจะต้องเลือกที่จะจ่ายบอลไปข้างหน้าแทน ยกตัวอย่างเช่น ลูกากู เขาคือกองหน้าที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก เขาใช้พละกำลังล้วนๆเลย" นี่คือสิ่งที่เขาว่าไว้และยกตัวอย่างถึงลูกากู

เหตุผลที่ลูกากูมีร่างกายที่แข็งแกร่งนั้นมีเหตุผลหลายอย่างประกอบกัน ทั้งชาติพันธุ์จากชาวแอฟริกันที่เป็นต้นทุนอยู่แล้ว (ต้นตระกูลของเขาเป็นชาวดีอาร์ คองโก) และอีกเหตุผลคือการได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 16 ปี สมัยอยู่กับอันเดอร์เลชท์ คือสิ่งที่ทำให้เขาต้องเร่งสร้างกล้ามเนื้อเข้าไปอีก

ลูกากู เริ่มยก เบนช์ เพรสส์ ที่น้ำหนัก 100 กิโลกรัม ตั้งแต่อายุ 15 ปี และด้วยความสูงระดับ 180 เซนติเมตรตั้งแต่สมัยนั้น (ปัจจุบันสูง 190 เซนติเมตร) ทำให้เขาสามารถทำน้ำหนักและเสริมกล้ามเนื้อเข้าไปได้อีกด้วยสรีระที่ใหญ่เป็นทุนเดิม และสไตล์การเล่นที่ต้องอาศัยความแข็งแกร่ง ทำให้เขาพยายามจะเพิ่มน้ำหนักตัว (ในส่วนกล้ามเนื้อ) เข้าไปอีก

"ผมต้องเพิ่มน้ำหนักตัวไปเป็น 97 กิโลกรัม เพราะผมอยากจะเอาไว้ออกกำลังกายให้หนักขึ้น ผมยกน้ำหนัก 100 กิโลกรัมตั้งแต่อายุ 15 ปี และอายุ 16 ผมได้เล่นทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก แต่ร่างกายของผมพร้อมมากในตอนนั้น" เขาเคยว่าไว้เมื่อปี 2017 กับนิตยสารสุขภาพอย่าง “เมนส์ เฮลท์”

 2

ลูกากูกลายเป็นกองหน้าจอมถล่มประตูในช่วงเวลาตั้งแต่อายุ 16 ปี และการได้ย้ายมาเล่นในพรีเมียร์ลีกกับเชลซี ทำให้การซ้อมของเขาเต็มรูปแบบเข้าไปอีกในส่วนของการเข้ายิม เพื่อทำให้ร่างกายแข็งแกร่ง บวกกับรักษาสปีดความเร็วไว้ จึงทำให้เขาเป็นคนที่ใส่ใจเรื่องการดูแลตัวเองเป็นอย่างมาก ลูกากูจ้างเชฟส่วนตัวที่จะคอยตระเตรียมอาหารประเภทโปรตีนอย่าง ไก่, ไก่งวง และ ปลาแซลม่อน ซึ่งเขาจะไม่เน้นอาหารจำพวกเนื้อแดง เพราะจะทำให้เส้นเอ็นของเขามีปัญหา ขณะที่มื้อเช้าส่วนใหญ่จะจบที่มันเทศกับข้าวต้มข้าวโอ๊ต  

ขณะที่เรื่องของการนอนนั้น เขาเน้นการเข้านอนเร็วและตื่นแต่เช้าตรู่ อีกทั้งยังมีการงีบหลับเพื่อเพิ่มพลังตอนช่วงบ่ายของวันอีกด้วย เทคนิคการนอนของลูกากูเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เขาจะไม่นอนรวดเดียว 7-8 ชั่วโมงเพราะเชื่อว่ามันจะไม่ส่งผลดีต่อร่างกาย

"ผมเป็นคนนอนเร็ว นอนประมาณ 4 ทุ่มครึ่งไม่เกินนี้และจะตื่นก่อนฟ้าสว่าง แล้วค่อยไปนอนต่อในช่วงกลางวัน ซึ่งจะเริ่มนอนตั้งแต่บ่าย 3 โมงเย็น และตื่นในอีก 1 ชั่วโมง หรือชั่วโมงครึ่ง แต่ไม่เกิน 2 ชั่วโมงถัดมา เพราะถ้าคุณนอนหลับมากไปมันจะทำให้ร่างกายของคุณขี้เกียจ"

ระบบการกิน, นอน และ ออกกำลังกาย คือโปรแกรมที่เขาได้รับรู้มาตั้งแต่สมัยอยู่กับเชลซี และปฎิบัติมาอย่างเคร่งครัด จนทำให้เขาถูกยกให้เป็นกองหน้าที่มีพละกำลังและความแข็งแกร่งมากที่สุดคนหนึ่งของโลก

 3

"ทุกครั้งที่ผมวิ่งเต็มฝีเท้าและกองหลังเข้ามาปะทะ พวกเขาจะล้มลงทันทีโดยที่ผมไม่ต้องผลักเลย ถ้าผมเข้าไปอยู่ในกรอบเขตโทษและพลิกตัวยิง ผมเองก็แทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากมายนัก เพราะร่างกายส่วนลำตัว (แกนกลาง - Core) ผมแข็งแกร่ง และมีพลังในการหมุนตัวเป็นอย่างมาก" เขายืนยันถึงสิ่งที่ได้มาจากโปรแกรมที่วางไว้

นับตั้งแต่อยู่กับเชลซี, เวสต์บรอมวิช, เอฟเวอร์ตัน และ ยูไนเต็ด ลูกากูมีสถิติการยิงประตูที่น่าเหลือเชื่อสวนกับคำวิจารณ์เป็นอย่างมาก เพราะนับตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา ไม่มีฤดูกาลใดเลยที่เขายิงได้ต่ำกว่า 16 ประตู อีกทั้งยังมีถึง 4 ฤดูกาลที่เขายิงเกิน 20 ลูก จนกระทั่งจุดเปลี่ยนมาเริ่มขึ้นในช่วงปี 2018 นี้นี่เอง

จริงๆ เขาไม่ได้อ้วน?

เราจะไม่พูดถึงเรื่องทักษะใดๆก็ตามที่เขามี ว่ากันถึงเรื่องร่างกายของเขาล้วนๆ และนี่คือสิ่งที่เปลี่ยนไปในตัวของลูกากู นับตั้งแต่ช่วงปลายฤดูกาล 2017-18 (ราวเดือน เมษายน เป็นต้นมา) จนถึงช่วงครึ่งฤดูกาลแรกของฤดูกาล 2018-19 ที่สื่อทั่วโลกตั้งใจจับประเด็นไปที่ร่างกายของเขาที่ดูเหมือนว่าจะอ้วนเกินไป...

 4

ภาพที่แฟนบอลทั่วโลกเห็นการเปลี่ยนไปของลูกากู คือเขาตัวหนาขึ้นอย่างชัดเจน ปกติแล้วลูกากูเป็นกองหน้าทีมีสปีดความเร็วไม่ธรรมดาแม้จะตัวใหญ่ ทว่าหลังจากเข้าสู่ช่วงวิกฤติดังที่ได้กล่าวไป เขาช้าลง จนแม้แต่ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือของทีมในเวลานั้นยังแสดงถึงความเป็นห่วงกับร่างกายของลูกทีม

ความจริงแล้ว ลูกากูไม่ได้อ้วนขึ้นเสียทีเดียว แต่เขาแค่กำลังอยู่ในช่วง Bulk (บัลค์) หรือ ช่วงสร้างกล้ามเนื้อ ในช่วงนี้ผู้ฝึกจะต้องกินให้มากกว่าที่ใช้ไป ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น โดยน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นจะประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อและไขมัน ซึ่งข้อมูลจาก เดลี่ เมล เผยว่า ลูกากูเน้นไปที่อาหารหนักๆให้แคลอรี่สูงอย่าง พาสต้า ในช่วงของการบัลค์ จากนั้นจึงไป "ลีน" (Lean) ในส่วนไขมันออก เพื่อทำกล้ามเนื้อให้ใหญ่และแข็งแกร่งขึ้นอีก โดยวิธีนี้เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายและพัฒนากล้ามเนื้อในระดับแอดวานซ์แล้วเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าลูกากูถูกนับรวมในจำพวกแอดวานซ์แน่นอน เพราะนอกจากเขาจะเข้ายิมที่สโมสรแล้ว เขายังกลับไปออกกำลังกายกล้ามเนื้อที่บ้านเองอีกถึงสัปดาห์ละ 5 วัน เพื่อทำให้ร่างกายออกมาแข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็น อย่างไรก็ตาม เขาก็ยิงประตูได้ดีอยู่แล้ว ทำไมจึงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองขนาดนั้นกันแน่?

 5

สาเหตุทั้งหมดเหมือนกับว่าเป็นการมองข้ามช็อตของลูกากู เจ้าตัววางแผนจะทำร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อศึกฟุตบอลโลกหลังจากฤดูกาล 2017-18 จบลง ซึ่งเป็นศึกที่สื่อมองว่าทีมชาติเบลเยียมของเขามีโอกาสเป็นแชมป์มากที่สุดด้วยศักยภาพนักเตะที่ท็อปฟอร์มขึ้นรุ่นพร้อมๆกันแทบทั้งทีม

ช่วงท้ายฤดูกาล 2017-18 เขายังยิงประตูได้ต่อเนื่อง และจบฤดูกาลด้วยการยิงไป 27 ประตูจนเป็นดาวซัลโวของทีม แม้หลายคนจะต่อว่าอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็มีคนเริ่มมองออกแล้วว่าร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงไปแบบชัดขึ้นทีละนิดๆ

การลุงทุนบัลค์และลีนของลูกากูสำหรับฟุตบอลโลก 2018 ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่เสียเปล่าแต่อย่างใด เพราะหลังจากลงเล่นในเกมแรกจนจบทัวร์นาเม้นต์ เจ้าตัวพอใจกับสภาพร่างกายที่แข็งแกร่งจนยากจะหาใครคว่ำลง นอกจากนี้เขายังยิงไป 4 ลูกในรายการนั้น แม้เบลเยี่ยมจะไม่ได้แชมป์ โดยทำได้เพียงการคว้าอันดับ 3 แต่ก็ถือว่าเป็นที่ทัวร์นาเม้นต์ที่ไม่สามารถใช้คำว่าน่าผิดหวังกับทั้งเบลเยียมและลูกากูได้เลย

แล้วทำไมจึงต้องลด?

“ผมเพิ่มกล้ามเนื้อตัวเองมาบ้างในฟุตบอลโลก” ลูกากูกล่าว “ผมรู้สึกดี และผมคิดว่าผมเล่นได้ดีในฟุตบอลโลก แต่พอกลับมา มันเป็นฟุตบอลอีกสไตล์หนึ่งเลย”

 6

ปัญหาเกิดขึ้นอย่างจังกับเขาร่างกายที่ใหญ่ขึ้นจากน้ำหนักที่เพิ่มมาราว 3-5 กิโลกรัม ทำให้ลูกากูไม่สามารถเล่นสไตล์ที่เดิมที่เคยทำได้ นั่นคือการใช้สปีดต้นวิ่งตัดแนวรับเพื่อรับบอลจากเพื่อนร่วมทีม และเมื่อทำไม่ได้จึงทำให้ฟอร์มการเล่นของเขาตกลงไปอย่างมาก และเริ่มโดนวิจารณ์หนักขึ้นจนเป็นเรื่องตลกในอินเตอร์เน็ตสำหรับร่างกายที่ใครก็บอกว่า "อ้วนเกินไป" แม้ความจริงแล้วจะต้องใช้คำว่า "หนาเกินไป" มากกว่า ซึ่งงานวารสารของ Strength and Conditioning Research ฟันธงอย่างชัดเจนว่า ยิ่งคุณมีกล้ามเนื้อมากเท่าไหร่ ความคล่องตัวก็จะลดน้อยลงเท่านั้น และยิ่งกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นก็จะยิ่งส่งผลต่อความเร็วโดยรวม นอกจากนี้น้ำหนักตัวที่มากขึ้นยังทำให้ลูกากูมีอาการบาดเจ็บที่แฮมสตริง ซึ่งเป็นอาการที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขาเลยในชีวิต

สไตล์การเล่นของพรีเมียร์ลีกที่ใครๆก็รู้คือ สปีดบอลเร็ว การปะทะหนักหน่วง แม้ร่างกายที่ใหญ่โตของลูกากูจะทำได้ดีในเรื่องการต้านแรงปะทะ แต่เรื่องสปีดนั้นตกไปมาก ยิ่งเล่นไปฟอร์มก็ตกลงเรื่อยๆจนไม่เหลือเค้าดาวยิงให้เห็น นั่นจึงทำให้ทีมสต๊าฟฟ์ของแมนฯ ยูไนเต็ด เข้ามาดูแลเรื่องการออกกำลังกายของเขาอย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว โดยเฉพาะหลังจากเปลี่ยนยุคมาเป็น โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่เข้ารับตำแหน่งกุนซือชั่วคราว ทั้ง 2 คนมีโอกาสได้คุยกันบ่อยๆ และบอกถึงสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างต้องการจากกันและกัน นั่นทำให้เรื่องนี้ง่ายขึ้นเมื่อเห็นเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน

 7

ตารางชีวิตของ "บิ๊กรอม" เปลี่ยนไปทันที อาหารมื้อหนักๆที่ต้องกินเพื่อให้นำมาสร้างกล้ามเนื้อถูกแบนทั้งหมด และเมื่อลดการกินแล้วโปรแกรมการเข้ายิมของลูกากูก็หายไปเช่นกัน ช่วงแรกๆในส่วนของโปรแกรมรีดน้ำหนักออกนั้น เขายืนยันว่าตัวเองต้องพยายามออกห่างจากโรงยิมตลอด ขณะที่อาหารก็ต้องเปลี่ยนจากพวกให้พลังงานสูงกลับมากินผัก, ปลาที่มีไขมันดี และดื่มน้ำเยอะๆแทน

สิ่งที่ลูกากูทำตรงตามงานวิจัยของ Nutrients Journal ที่ยืนยันว่า โอเมก้า3 ในเนื้อปลานั้นจะช่วยลดความเสี่ยงในการเพิ่มน้ำหนัก อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ "เล็ปติน" ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ใช้ในการควบคุมและเผาพลาญพลังงาน ขณะที่การดื่มน้ำให้มากขึ้นนั้นก็ยังไปตรงกับงานวิจัยของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ที่ยืนยันว่าส่งผลด้านบวกสำหรับการลดน้ำหนักอีกด้วย

ตอนนี้ไม่มีการเปิดเผยน้ำหนักตัวของเขาอย่างชัดเจนและเป็นทางการ แต่สิ่งที่คะเนได้ด้วยสายตาคือ ลูกากูมีขนาดตัวที่เล็กลงกว่าช่วงต้นฤดูกาล และที่แน่นอนคือจังหวะการใช้สปีดต้นของเขาดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ยกตัวอย่าง 2 ประตูที่เขายิงได้ในเกมพลิกนรกคว่ำเปแอสเชในแชมเปี้ยนส์ลีก จะเห็นได้ว่าลูกากูออกตัวเร็วและถึงลูกบอลไวกว่าคู่แข่งทั้ง 2 ลูก และมันยิ่งชัดเจนยิ่งกว่านั้นเมื่อหลังเกมจบเขาถอดเสื้อและแสดงให้เห็นถึงกล้ามเนื้อที่ดูชัดเจน และขนาดของตัวที่เพรียวลงกว่าเดิม

 8

การลดน้ำหนักครั้งนี้ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ลูกากูตั้งไว้แต่อย่างใด ปัจจุบันเขากำลังควบคุมอาหารอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้เขายังเปลี่ยนวิธีการฝึกซ้อมใหม่หลังจากได้รับคำแนะนำจากทีมแพทย์ของสโมสร จากที่เคยคลั่งในการเข้ายิมให้เปลี่ยนเป็นการฝึกซ้อมการวิ่งสปรินท์ให้มากขึ้น และการซ้อมเพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บเนื่องจากเขาเป็นนักเตะที่ต้องหากินกับความใหญ่ของร่างกายและความเร็วอยู่แล้ว

เห็นได้ชัดว่านี่คือทัศนคติของมืออาชีพอย่างแท้จริง ลูกากูมีร่างกายที่แข็งแกร่งและไม่ได้ผิดอะไรที่เขาเป็นเช่นนั้น ทว่าเมื่อสิ่งที่เขาเป็นไม่อาจจะทำให้อาชีพค้าแข้งของเขาก้าวหน้าได้ เขาก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงมันตามคำแนะนำของคนอื่นๆ จนที่สุดแล้วความพยายามทั้งลดน้ำหนัก, เปลี่ยนวิธีคิด และอาหารการกิน จึงทำให้เขากลับมาเล่นได้ดีอีกครั้ง น่าสนใจว่าเมื่อโปรแกรมรีดฟิตนี้มาถึงตอนจบ โรเมลู ลูกากู จะยอดเยี่ยมได้อีกสักเท่าไหร่กันแน่

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ ของ อาหารสำคัญไฉน? : กินอย่างไรให้ผอมลงและยิงกระจายอย่าง "ลูกากู"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook