สำรวจประชากรอาเซียนในไทยลีก 10 ปีหลังสุด เติบโตขึ้นแค่ไหน?
ย่างก้าวเข้าสู่ขวบปีที่ 10 ของฟุตบอลลีกอาชีพไทยยุคใหม่ นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครั้งสำคัญในปี 2009 ก็มีผู้เล่นมากมายจากหลายสัญชาติจากทั่วโลก เดินทางมาค้าแข้ง และขีดเขียนใหม่ๆ บนลีกอาชีพดินแดนสยาม
หนึ่งในภูมิภาคที่ส่งนักเตะเข้ามาสร้างกระแส ทำให้ลีกของไทยมีชีวิตชีวา และมีผู้ติดตามมากขึ้น คงหนีไม่พ้น “ผู้เล่นจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ที่เดินทางโยกย้ายข้ามพรมแดน มาค้าแข้งในเมืองไทย
พร้อมกับมุมมองใหม่ๆที่มีต่อลีกไทย ว่า ลีกฟุตบอลที่น่าท้าทาย หลังพ้นผ่านยุคที่ เอส-ลีก สิงคโปร์ และ วี-ลีก เวียดนาม ที่เคยได้รับความนิยมจากบรรดาแข้งอาเซียน รุ่นก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี ตัวเลขที่เพิ่มขึ้น-ลดลง กระแสของผู้เล่นอาเซียนในลีกสูงสุดไทย ล้วนเปลี่ยนแปลง ผกผันไปตามเทรนด์ของลีกยุคนั้น รวมถึงกฎจากไทยลีกที่เปิดโอกาส และเอื้อให้ แข้งเพื่อนร่วมภูมิภาคอาเซียนของไทย ได้เข้ามาทำหากินในเมืองไทยได้ง่ายขึ้น จากเดิมที่ไม่เคยมีโควต้าอาเซียนมาช่วย
10 ปีที่ผ่านมา ประชากรแข้งอาเซียน บนสังเวียน โตโยต้า ไทยลีก เติบโตขึ้นมากน้อยแค่ไหน และในแต่ละปี เป็นไปในทิศทางใด หาคำตอบได้ที่นี่
ฤดูกาล 2009
พ.ศ.2552 ถือเป็นปีที่ฟุตบอลลีกอาชีพเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการก่อกำเนินฟุตบอลลีกภูมิภาค ที่ทำให้มีสโมสรฟุตบอลต่างจังหวัดผุดขึ้นมาทั่วเมืองไทย รวมไปถึงฟุตบอลลีกสูงสุดที่ “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ผงาดคว้าแชมป์ลีก ยิ่งเป็นการปลุกกระแสให้วงการลูกหนังไทยติดลมบน นับเป็นปีที่ฟุตบอลไทยลีกก้าวเข้าสู่ยุคใหม่อย่างเต็มตัว
ฤดูกาลดังกล่าว แต่ละทีมต่างก็มีการดึงนักเตะต่างชาติฝีเท้าดีเข้ามาค้าแข้งหลายราย โดยมีนักเตะอาเซียนเพียงแค่รายเดียวเท่านั้นที่มีชื่อเข้าร่วมการแข่งขันไทยลีก นั้นก็คือ ลำเนา สิงโต ซุปเปอร์สตาร์ทีมชาติลาว ที่มาเล่นให้กับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
ฟอร์มการเล่นของ ลำเนา สิงโต ในฟุตบอลลีกสูงสุดเมืองไทย อาจไม่ได้โดดเด่นถึงขั้นยกระดับทีม แต่อย่างน้อย เขาก็เป็นสามารถสร้างอิมแพค และเป็นแรงบันดาลใจให้นักเตะสัญชาติลาวรุ่นต่อมา มีฮึดในการพัฒนาฝีเท้าเพื่อมาค้าแข้งในเมืองไทย
ฤดูกาล 2010
นี่คือฤดูกาลเดียวในรอบ 10 หลังสุดของฟุตบอลไทยลีก ที่ไม่มีนักเตะเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้ามาวาดลวดลาย เมื่อโควตาต่างชาติของแต่ละทีมก็มีไว้สำหรับนักเตะจาก อเมริกาใต้, ยุโรป และ แอฟริกา โดยทางฝั่งเอเชียก็จะหนักไปทางนักเตะจากเกาหลีใต้
ฤดูกาล 2011
หลังจากไร้เงานักเตะอาเซียน 1 ฤดูกาล ปีถัดมา ก็มีนักเตะเพื่อนบ้านตบเท้าเข้ามาค้าแข้งไทยลีกอีกครั้ง โดยเฉพาะนักเตะจากประเทศลาว ที่เข้ามาโชว์ฝีเท้าถึง 2 คน ได้แก่ กัลยา สายสมหวัง และ คำแพง สายวุฒิ 2 คีย์แมนคนสำคัญของ ขอนแก่น เอฟซี ที่แม้ว่าผลงานของต้นสังกัดอาจจะดีไม่พอที่จะอยู่ต่อในลีกสูงสุด แต่ทั้งสองก็ทำให้ผู้คนฝั่งประเทศลาวหันมาสนใจฟุตบอลไทยลีกมากขึ้น
นอกจาก 2 นักเตะชาวลาวแล้ว ในปีดังกล่าวก็ยังมีอีก 2 นักเตะที่มาจากเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน นั้นก็คือ คิม โบเรย์ (กัมพูชา) และ จอห์น วิลกินสัน (สิงคโปร์) โดยในรายแรกนั้นมาเล่นให้กับศรีสะเกษ เอฟซี ที่โอกาสในการลงสนามของเขามีน้อย ส่วน จอห์น วิลกินสัน แข้งชาวอังกฤษที่ถือสัญชาติสิงคโปร์ แม้ผลงานส่วนตัวเขาก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจกับ เพื่อนตำรวจ แต่ก็ไม่ดีพอที่ทำให้ทีมเลือกใช้งานต่อในปีถัดมา
ฤดูกาล 2012
ฤดูกาล 2012 นักเตะอาเซียนยังไม่ค่อยได้รับความสนใจจากบรรดาสโมสรต่างๆในเมืองไทยมากนัก โดยในเลกแรกไม่มีนักเตะต่างชาติในภูมิภาคนี้ เข้ามาค้าแข้งในไทยลีกแม้แต่รายเดียว ก่อนที่เลกสองจะมีการนำเข้ามา 3 ราย
ซึ่งทั้ง 3 ราย ได้ย้ายมาอยู่กับ “กว่างโซ้งมหาภัย” สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด เพียงทีมเดียว ได้แก่ วิคเตอร์ อิกโบเนโฟ (อินโดนีเซีย), เกร็ก เอ็นโวโคโล (อินโดนีเซีย) และ เอ็มเมอร์สัน เซซาริโอ้ (ติมอร์ เลสเต) ซึ่งหากคลิกเข้าไปดูโปรไฟล์ ก็จะเห็นว่าทั้ง 3 ไม่ใช่อาเซียนขนานแท้เสียด้วย
เพราะทั้ง เกร็ก และ วิกเตอร์ เป็นนักฟุตบอลไนจีเรีย ที่ได้สัญชาติเป็น อินโดนีเซีย ส่วน เอ็มเมอร์สัน ก็เป็นแข้งบราซิล ที่โอนสัญชาติมาเป็น ติมอร์ เลสเต
ฤดูกาล 2013
ฤดูกาล 2013 เทรนด์นักเตะอาเซียนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลง จากนักเตะแปลงสัญชาติมาเป็นการตามหาพวกแข้งเลือดผสมที่เคยผ่านการเล่นในยุโรป ทั้งสิ้น 2 ราย คนแรกคือ ฮาเวียร์ ปาตินโญ่ ลูกครึ่งสเปน-ฟิลิปปินส์ และอีกหนึ่งคนคือ อิรฟาน บัคดิม ลูกครึ่งเนเธอร์แลนด์-อินโดนีเซีย
ฮาเวียร์ ปาตินโญ่ ดาวยิง “ปราสาสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีส่วนสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์ไทยลีก หลังจากยิงไป 14 ประตู ขณะที่ อิรฟาน บัคดิม ซูปเปอร์สตาร์จากอินโดนีเซีย ดูจะคว้าน้ำเหลวในการมาค้าแข้งที่เมืองไทย กับ ชลบุรี เอฟซี เพราะฟอร์มไม่เปรี้ยงปร้างอย่างที่หลายคนคาดหวัง
ฤดูกาล 2014
ฟอร์มอันร้อนแรงของ ฮาเวียร์ ปาตินโญ่ ทำให้เขาได้อยู่วาดลวดรายต่อในฟุตบอลลีกสูงสุดเมืองไทย ขณะที่ อิรฟาน บัคดิม ออกไปหาความท้าทายใหม่ที่ประเทศญี่ปุ่น แต่จำนวนนักเตะอาเซียนในฤดูกาล 2014 ก็ยังเหมือนเดิม เมื่อได้ เซอร์จิโอ ฟาน ไดจ์ค ที่เป็นนักเตะลูกครึ่งเนเธอร์แลนด์-อินโดนีเซีย เหมือนกับ บัคดิม เข้ามาแทนที่
โดยทั้งสองนักเตะลูกครึ่ง ต่างก็ทำผลงานได้ดี โดยเฉพาะ ฮาเวียร์ ปาตินโญ่ ที่ซัดไป 21 ประตู รั้งรองดาวซัลโวของลีก ขณะที่ ฟาน ไดจ์ค ที่มาในเลกสองก็โชว์ฟอร์มได้ดี ส่งผลให้บรรดาทีมต่างๆในเมืองไทย เริ่มปรับเปลี่ยนทัศนคติมามองหานักเตะลูกครึ่งที่มีเชื้อสายในภูมิภาคนี้มากขึ้นกว่าเดิม
ฤดูกาล 2015
ผลงานที่ยอดเยี่ยมของแข้งลูกครึ่งยุโรป-อาเซียน ก็ทำให้จำนวนนักเตะในภูมิภาคอาเซียนของฟุตบอลไทยลีกมีตัวเลขเพิ่มมากขึ้น แม้จะไม่มากด้วยข้อกำจัดเรื่องโอกาสในการลงสนามที่จำกัด (ส่งลงสนามได้ในโควต้าเอเชีย 1 ที่นั่ง) แต่ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
ในฤดูกาล 2015 มีนักเตะต่างชาติที่ถือสัญชาติประเทศในอาเซียน 5 ราย เริ่มจากเซอร์จิโอ ฟาน ไดจ์ค ได้รับการต่อสัญญาจากสุพรรณบุรี อีกหนึ่งฤดูกาล ส่วน วิเตอร์ อิกโบเนโฟ่ และ เกร็ก เอ็นโวโคโล ก็กลับมาวาดลวดลายอีกครั้งหนึ่ง
อีก 2 คนก็คือ ติเอโก้ เรนาน แข้งบราซิลที่โอนสัญชาติมาเป็น ติมอร์ เลสเต และ ฮัสซัน ซันนี่ ผู้รักษาประตูจากสิงคโปร์ ที่มาปีแรกก็สร้างแรงสั่นสะเทือนถึงฟอร์มการเซฟอันยอดเยี่ยมกับ อาร์มี่ ยูไนเต็ด
ฤดูกาล 2016
ฤดูกาล 2016 จาก 5 นักเตะต่างชาติ (อาเซียน) เหลือเพียงแค่ 3 คนเท่านั้นที่ได้ค้าแข้งต่อในเมืองไทย ประกอบไปด้วย อัสซัน ซันนี่, วิเตอร์ อิกโบนิเฟ่ และ เกร็ก เอ็นโวโคโล โดยรายหลังสุดนี้ได้เล่นเพียงแค่เลกแรกเท่านั้น ก่อนจะถูกยกเลิกสัญญาไปในที่สุด
นั้นก็เป็นการส่งสัญญาณว่า นักเตะต่างชาติ (อาเซียน) กำลังจะลดจำนวนลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องความสามารถและฝีเท้าที่ไม่ได้เหนือกว่านักเตะไทยมากนัก ทำให้สโมสรต่างๆ ไม่ค่อยนิยมที่จะใช้ผู้เล่นร่วมภูมิภาค เพราะมองว่าเป็นการสิ้นเปลืองโควตานักเตะต่างชาติอีกด้วย
ฤดูกาล 2017
ในปี 2017 นักเตะจากภูมิภาคอาเซียน ลดลงเหลือเพียงแค่ 2 รายเท่านั้น คนแรกคือ วิเตอร์ อิกโบนิเฟ่ ที่ย้ายจาก ราชนาวี ไปอยู่กับ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี ขณะที่อีกหนึ่งคน ก็คือแข้งสัญชาติลาวที่เล่นเมืองไทยมาหลายปี แต่เพิ่งได้ขยับมาเล่นไทยลีก อย่าง เกดสะดา สุกสะหวัด ที่ค้าแข้งให้กับ ซุปเปอร์พาวเวอร์ สมุทรปราการ
ฤดูกาล 2018
ฤดูกาล 2018 บริษัทไทยลีก ได้มีการปรับเปลี่ยนกฏโควตานักเตะต่างชาติด้วยการเพิ่มโควตาแข้งอาเซียนเข้ามา (โดยไม่นับผู้เล่นสัญชาติติมอร์) นั่นทำให้ตลาดซื้อขายนักเตะในภูมิภาคนี้คึกคักมากขึ้น โดยมีนักเตะเพื่อนบ้านในภูมิภาคนี้พาเหรดกันเข้ามาค้าแข้งในเมืองไทยถึง 16 ราย แบ่งเป็นในเลกแรก 12 รายและเพิ่มมาในเลกสองอีก 4 คน
ฟิลิปปินส์ เป็นชาติที่มีนักเตะเข้ามามากที่สุดจำนวน 5 ราย แต่ที่ประสบความสำเร็จมากสุด คงหนีไม่พ้น อ่อง ธู แม้ว่าต้นสังกัดของเขา (โปลิศ เทโร) จะต้องตกชั้นไปเล่นในไทยลีก 2 ก็ตาม แต่ดาวยิงทีมชาติเมียนมาร์ สร้างปรากฏการณ์ต่างๆเอาไว้มากมาย ทั้งจำนวนประตู แอสซิสต์ รวมถึงการเรียกกองเชียร์เพื่อนร่วมชาติ เข้ามาเชียร์ฟุตบอลในสนามได้อย่างเนืองแน่น
ฤดูกาล 2019
ในฤดูกาลใหม่ที่จะกำลังเริ่มต้นขึ้นนี้ บริษัทไทยลีก ได้มีการปรับกฏระเบียบของโควตาอาเซียนอีกครั้งหนึ่ง จากเดิม 3+1+1 จะเปลี่ยนมาเป็น 3+1+3 แบ่งเป็น นอกเอเชีย 3 คนเท่าเดิม, เอเชีย 1 คนเท่าเดิม และ อาเซียน สูงสุด 3 คน ที่สำคัญทั้งหมด 7 คน สามารถส่งลงสนามพร้อมกันได้ทั้งหมด
ฟิลิปปินส์ ยังคงเป็นชาติที่ได้รับความนิยมมากที่สุด จากรายชื่อล่าสุดที่ส่งชื่อเข้าร่วมการแข่งขัน ฤดูกาล 2019 มีทั้งสิ้น 9 คน ขณะที่ เมียนมาร์ ก็เพิ่มจาก 3 มาเป็น 5 คน นำโดย สิ ธู อ่อง และ ซอ มิน ตุน สองนักเตะเมียนมาของชลบุรี เอฟซี
ที่น่าสนใจที่สุดก็คงหนีไม่พ้น นักเตะจากเวียดนาม ที่ฤดูกาลนี้มี 2 แข้งดีกรีทีมชาติเวียดนามอย่าง ดัง วาน ลัม และ เลือน ซวน ตรวง มาวาดลวดลายให้แฟนบอลชาวไทยได้เห็นกันอย่างใกล้ชิด