"อเล็กซ์ ซานาร์ดี้" : แม้ไร้ขาก็หยุดข้าซิ่งไม่ได้!
ถ้าคุณไม่มีเงินคุณก็แค่ไปทำงานเพื่อแลกมันมา ถ้าคุณไม่มีโอกาสคุณต้องพยายามให้มากขึ้นยิ่งกว่าเดิม ทว่าหากคุณพิการล่ะ? คุณคิดว่าคุณจะแก้ปัญหาข้อนี้อย่างไร?
นี่คือเรื่องราวของ อเล็กซ์ ซานาร์ดี้ หนุ่มใหญ่วัย 50 ปี ที่มีประสบการณ์ชีวิตสุดเหวี่ยง จากสูงลงต่ำ และจากต่ำไปสู่ทางแยกครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนเขาจากนักแข่งรถสู่คนพิการขาขาด 2 ข้าง
พาราลิมปิก, มาราธอน, ไอรอนแมน และ ขับรถทั้งๆ ที่ไม่มีขา คือสิ่งที่เขาทำในช่วงเวลาที่ตื่นจากวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต ก่อนจะกลายเป็นสุดยอดนักสู้ชีวิตที่โลกต้องยกย่อง
อย่าแข่งรถ!
ย้อนกลับไปช่วงปี 1979 ณ เมือง โบโลญญ่า ประเทศ อิตาลี ครอบครัว ซานาร์ดี้ ต้องเจอกับเหตุการณ์ที่เจ็บหัวใจถึงขีดสุดหลังจากที่ คริสติน่า ลูกสาวคนโตประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และแพทย์ไม่สามารถยื้อชีวิตเธอไว้ได้ เธอจากโลกนี้ไปปล่อยให้ ดิโน่ และ อันนา ผู้เป็นพ่อ-แม่ ต้องจมปลักกับความเสียใจและโทษตัวเองอยู่เสมอและบทเรียนครั้งนี้ส่งผลมาถึงน้องชายของ คริสติน่า ที่มีชื่อว่า อเล็กซ์ ซานาร์ดี้
พ่อและแม่ พยายามห้ามทั้งทางตรงเเละทางอ้อมเพื่อป้องกันให้ลูกชายเพียงคนเดียวออกห่างจากท้องถนนให้ได้มากที่สุด ทว่าโลกเรานั้นแสนประหลาด ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ และกลับกลายเป็นว่า อเล็กซ์ คือเด็กหนุ่มที่ชื่นชอบในความเร็วซึ่งสวนทางกับสิ่งที่ครอบครัวปลูกฝังมาโดยตลอด และเมื่อมาถึงอายุ 13 ปี เขาทำให้พ่อและแม่ต้องผวาไปอีก เพราะจากความชอบกลายเป็นความหลงไหล ใช่เเล้วเขาอยากจะเป็นนักแข่งรถ
"หลังจากคริสติน่าจากพวกเราไป พ่อแม่ผมกลายเป็นโรควิตกกังวลและกีดกันผมกับความเร็วตลอด พวกท่านกลัวมากว่าลูกชายคนเดียวที่มีจะกลายเป็นนักขับมอเตอร์ไซค์" อเล็กซ์ กล่าวย้อนกลับไปในวันที่เลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง
ดิโน่ ที่มีอาชีพเป็นช่างประปาและเป็นคนประเภทบ้าดีเดือดอยู่แล้ว รู้สึกได้ทันทีว่าลูกชายของเขากำลังจะเอาจริงและเขาไม่มีทางห้ามได้ เขาเริ่มคิดว่าถ้าการห้ามปรายไม่สามารถบรรลุได้ เขาก็จำเป็นต้องเข้าร่วมกับลูกชาย และอย่างน้อยเขาต้องเป็นคนเลือกยานพาหนะที่จะใช้ขับขี่ด้วยตัวเอง
และเมื่อถึงวันเกิดครบรอบ 14 ปีของ อเล็กซ์ ผู้เป็นพ่อไม่รอช้าหาของที่อยู่ภายใต้โจทย์ของลูกชายนั่นคือ "ต้องเร็ว" แต่จะเร็วอย่าไรให้ วิน-วิน ทั้งสองฝ่าย เขาเลยตัดสินใจหาเพื่อนเก่าที่เปิดร้านขายมอเตอร์ไซค์เพื่อช่วยดูว่าแบบไหนมันถึงจะถูกต้องและปลอดภัยที่สุด และ อัลแบร์โต้ โบนินี่ เจ้าของร้านเคาะโต๊ะดังฉาด "อุบ๊ะ งั้นต้องนี่เลย! … โกคาร์ท รุ่นใหม่ปลอดภัยกว่ามอเตอร์ไซค์แน่นอนเพราะอย่างน้อยๆ ก็เหล็กหุ้มเนื้อล่ะวะเพื่อนเอ๋ย"
ดิโน่ ชอบใจเป็นการใหญ่ เขามาหามอเตอร์ไซค์ที่ปลอดภัยกับได้อะไรที่ตอบโจทย์ยิ่งกว่า แน่นอนเขาซื้อมันและพร้อมจะมอบให้ อเล็กซ์ เป็นของขวัญสำหรับช่วงอายุที่เข้าสู่การเป็นวัยรุ่น … วัยแห่งความฝัน หลังจากนั้นสองพ่อลูกก็ง่วนอยู่กับการแข่งโกคาร์ทตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นอกจาก ดิโน่ จะเป็นพ่อแล้ว เขายังเหมารวมตำแหน่ง โค้ช และ ช่างเทคนิค ให้กับ อเล็กซ์ ด้วย ใครจะดูแลคนที่เรารักได้ดีกว่าตัวเราเอง จริงไหมล่ะ?
สองพ่อลูกแท็กทีมเป็นหนึ่ง อเล็กซ์ ได้ใช้ความเร็วอย่างที่ฝัน ส่วนดิโน่ก็ได้ดูแลลูกด้วยสิ่งที่เขาเป็นคนเลือก
นักแข่งปลายแถว
หลังจากเริ่มเป็นนักเเข่งโกคาร์ทแบบสมัครเล่น และร่วมกันคว้าแชมป์ โกคาร์ท ในประเทศ 3 รายการและระดับยุโรปอีก 1 รายการ อเล็กซ์ จึงขยับรุ่นและเริ่มความเร็วให้มากกว่าเดิม ในปี 1988 เขาได้เซ็นสัญญากับทีมรถแข่งสูตร 3 (ฟอร์มูล่า 3) และเผลอแว้บเดียวเขาไปถึงระดับ ฟอร์มูล่าวัน เป็นที่เรียบร้อยในปี 1991
ในระดับนี้ ดิโน่ ไม่อาจจะมาเป็นโค้ชและช่างเทคนิคให้ลูกชายได้อีกเเล้ว เหลือเพียงฐานะพ่อที่คอยดูแลห่างๆ เท่านั้น จากจุดนี้ไม่รู้จะเกี่ยวหรือไม่ เพราะเมื่อ อเล็กซ์ ก้าวถึงระดับการแข่งขันสูงสุดอย่าง F1 แล้ว เขากลับไม่ประสบความสำเร็จและไม่ได้เป็นที่จดจำของแฟน ๆเลย
5 ฤดูกาลในระดับ F1 อเล็กซ์ กับทีม 4 ทีม ได้แก่ ปี 1991 ขับให้กับจอร์แดน ปี 1992 ขับให้กับมินาร์ดี ปี 1993-1994 ขับให้โลตัส ก่อนจะเว้นช่วงไปและกลับมาในปี 1999 ขับให้กับวิลเลียมส์ ผลงานที่ดีที่สุดของเขาเกิดขึ้นในการแข่งขันที่ที่บราซิลในปี 1993 โดยจบในอันดับที่ 6 ได้ 1 คะแนน และเป็นเพียงคะแนนเดียวเท่านั้นที่เขาเคยสะสมตลอดชีวิตการเป็นนักเเข่ง F1
กลายเป็นว่า ในช่วงที่ว่างเว้นจาก F1 ซานาร์ดี้กลับไปประสบความสำเร็จบนสนาม CART (รถแข่งล้อเปิดแบบอเมริกัน ปัจจุบันเรียกว่า อินดี้คาร์) มากกว่า เมื่อเขาสามารถคว้าแชมป์ประจำปีได้ถึง 2 ปีซ้อนกับทีม Chip Ganassi Racing ในปี 1997-98 ทั้งๆ ที่ โม นันน์ วิศวกรประจำทีมเคยคัดค้านการเซ็นสัญญามาร่วมทีมด้วยซ้ำเนื่องจากมองว่า มีโอกาสก่อความผิดพลาดในสนามมากเกินไป
และหลังจากการรีเทิร์นสู่ F1 คำรบสองประสบความล้มเหลว ที่สุดแล้วเขาก็ยอมรับกับชีวิตว่า เวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกความเร็วคงไม่ใช่ที่ของเขาจริงๆ และกลับมาลงเอยกับเวที CART อีกครั้งในปี 2000
แม้จะเป็นรถแบบที่คุ้นเคย แต่ อเล็กซ์ ก็ต้องทดสอบฝีมือกับทีม โม นันน์ ที่ขยับจากการเป็นวิศวกรมาทำทีมแข่งเอง ด้วยการขับทั้งหมด 246 รอบ ผ่านเวลามาเกือบปีเขาก็ได้สัญญาจากทีมในปี 2001 และพร้อมจะล่าความสำเร็จอีกครั้งแม้จะไม่ใช่ฝันสูงสุดอย่าง F1 ก็ตาม
ทีม โม นันน์ หมายมั่นปั้นมือว่า อเล็กซ์ ที่เป็นนักเเข่งมากประสบการณ์จะนำความสำเร็จมาสู่ทีมให้ได้อีกครั้ง และตัวของ อเล็กซ์ เองก็พร้อมจะตอบสนองกับเรื่องนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเขาห่างไกลคำว่า "ชิงแชมป์" มาหลายปี นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นความสำเร็จของเขาอีกครั้ง
เปรี้ยง!
แต่แล้วในการแข่งขันสนามที่ 16 ของฤดูกาล 2001 ในชื่อ อเมริกัน เมมโมเรียล (เปลี่ยนชื่อจากเดิม เยอรมัน 500 เพื่อรำลึกถึงเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน) ณ ยูโรสปีดเวย์ เมืองเลาซิทซ์ เมื่อวันที่ 15 กันยายน เหตุการณ์ที่จะพลิกผันชีวิตเขาไปตลอดกาลก็มาถึง ...
สัญญาณไฟเขียวสว่างวาบ อเล็กซ์ กับรถแข่งสีขาวเเดงพุ่งแรงเหมือนม้าหนุ่ม ไม่ต้องหลังแลหน้ารอใคร แฟนๆ โห่ร้องลั่นเพราะทีม โม นันน์ เหนือชั้นกว่าใครด้วยความแรงระดับ 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งๆ ที่เขาต้องออกสตาร์ทจากท้ายแถว
เสียงเครื่องยนต์กลบเสียงทุกอย่าง อเล็กซ์ ไม่สนใจใครเขาเหยียดมิดหมดไมล์ ใส่เต็มทุกโค้ง จนขึ้นมาเป็นผู้นำตั้งแต่หัววัน จนกระทั่งเหลือเพียง 12 จาก 154 รอบ แรงยังดีไม่มีตก อีกไม่ไกลแล้วที่แชมป์จะกลับมาอยู่ในอ้อมอกของเขา หลังจากนี้ขอแค่เข้าพิตเติมน้ำมันและเปลี่ยนยาง … หายห่วง ทุกคนในทีมโล่งใจมากเมื่อการแข่งขันเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
อเล็กซ์ เข้าพิตตามที่เตรียมการ จังหวะเข้าพิตเพียงชั่วครู่ทีมงานก็จัดทุกอย่างเสร็จสรรพพร้อมวิ่งหาเส้นชัย เขานำรถกลับสู่แทร็กอีกครั้งอย่างมั่นใจถึงขีดสุด แต่ความผิดพลาดอันน้อยนิดก็เกิดขึ้น
มันคือความผิดพลาดน้อยนิด ที่ส่งผลยิ่งใหญ่อย่างมหาศาล ...
รถของ อเล็กซ์ เสียหลักจนควบคุมไม่ได้เนื่องจากยางยังเย็นไป ไม่ได้อุณหภูมิที่พร้อมสำหรับการซิ่ง มันหมุนรอบตัวเองไป 2 รอบ รู้ตัวอีกทีก็เสียหลักเข้าไปในลู่เเข่งเเล้ว รถคันต่อไปที่ตามหลังมาหลบผ่านไปได้อย่างฉิวเฉียด แต่โชคดีไม่มีซ้ำสอง เพราะรถอีกหนึ่งคันที่ตามหลังมาหลบไม่ทัน เปรี้ยง! มันพุ่งเข้าชนรถของทีม โม นันน์ อย่างจังเบอร์
ความแรงของรถแข่งที่ถูกโมดิฟายมาพุ่งเฉือนส่วนหน้ารถของ อเล็กซ์ จนขาดไปสองท่อน และเมื่อฝุ่นการปะทะจางลง สรุปว่ามันไม่ใช่แค่ชิ้นส่วนของรถเท่านั้น
"ผมจำอะไรไม่ได้เลยแม้กระทั่งการแข่ง ผมจำคนที่มาช่วยผมออกจากรถไม่ได้ ผมจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว" เขาเปิดใจภายหลัง
รถของทีมแพทย์รีบเข้ามาดูเหตุการณ์ทันที นายแพทย์ในวันนั้นชื่อ ดร. เทอร์รี่ ทรัมเมลล์ กระโดดลงจากรถและปรี่เขาหาอเล็กซ์ แต่เขาวิ่งไม่ได้ไม่กี่ก้าวก็ลมลง ตอนแรกหมอคิดว่าเขาลื่นเพราะน้ำมันเครื่องที่รั่ว แต่ความจริงเเล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น มันคือเลือดของนักขับที่อยู่ในรถ ซึ่งมีการเปิดเผยว่า อเล็กซ์ เสียเลือดถึง 3 ใน 4 ของร่างกาย
"ขาของ อเล็กซ์ อยู่ไหนวะ?" หมอตะโกนทันทีเมื่อเห็นเหตุการณ์ชัดๆ อเล็กซ์ ไม่เหลือขาแล้วทั้งสองข้าง ใช่เเล้วมันติดไปพร้อมๆ กับชิ้นส่วนรถที่ขาดไป จากนั้นเฮลิปคอปเตอร์ก็มารับตัวของอเล็กซ์ ไปรักษาต่อที่ เบอร์ลิน
ข่าวร้ายหลังจากนั้นคือ อเล็กซ์ จะกลายเป็นคนพิการ เพราะขาทั้ง 2 ข้างขาดกระจุยไม่มีทางรักษาได้ อย่างไรก็ตาม อเล็กซ์ มองข้ามมันไปและเห็นข่าวดีบางประการ นั่นคืออย่างน้อยๆ "เขายังมีชีวิตอยู่"
ที่เหลือคือ...
เขารู้ตัวว่าขาขาด 2 ข้างและจะพิการตลอดชีวิต คนแรกที่เขาพบในโรงพยาบาลหลังจากการผ่าตัด 3 ชั่วโมง และนอนโคม่าอยู่ 3 วัน (แพทย์ตัดสินใจให้เขาเข้าสู่ภาวะโคม่าชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะช็อก) คือภรรยาของเขาเอง
อเล็กซ์ กลับหัวเราะขึ้นมาในช่วงที่ ภรรยา ของเขาหน้าเสีย ด้วยเหตุผลง่ายอย่าง "ตอนนั้นก็แค่ดีใจจริงๆที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้หลายสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปและค่อนข้างน่าหงุดหงิดเพราะทำอะไรเองไม่ค่อยได้ก็ตาม"
เขาต้องใส่ขาเทียม ในการใส่ขาเทียมนั้นช่วงแรกยากลำบากเเละเจ็บมาก แต่เขากลับเป็นคนที่ดื้อด้านไม่ยอมแพ้ อเล็กซ์ จ้างเทรนเนอร์ส่วนตัวชื่อ ปานิซซี่ ซึ่งเทรนเนอร์รายนี้ยอมรับว่าปวดหัวมากกับการดูแลคนอย่าง อเล็กซ์
"นิสัยของเขาเหมือนตอนขับรถเลย ถ้าเกิดเขาอยากจะทำอะไรขึ้นมาเขาจะเริ่มทำมันทันที เขาต้องหัดเรียนรู้ที่จะช้าลงบ้าง" เทรนเนอร์ของ อเล็กซ์ กล่าวติดตลก
แต่เพราะความดื้อด้านนี่เอง อเล็กซ์ กลับมาเดินได้ไวขึ้น จากที่เคยเจ็บปวดก็หายไป เหลือแต่ความคล่องแคล่วที่มากขึ้นในทุกๆ ผ่านเวลามาไม่กี่เดือนเขาเริ่มรู้สึกในการเดินแต่ละก้าวว่าเท้าของตัวเองอยู่ตรงไหน และตอนนี้ถึงเวลาเเล้วที่เขาจะกลับมาขับรถแข่งอีกครั้ง
เขาคิดว่าความพิการคือสิ่งที่สมมุติขึ้น ความพิการไม่มีอยู่จริง ดังนั้นเขาจึงพยายามหนักมากเพื่อจะกลับมาทำในหลายสิ่งที่คนมองว่าเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้อีกครั้ง
"ถ้าโลกนี้มีคนบินได้คุณคิดว่า ยูเซน โบลท์ จะรู้สึกว่าเป็นคนพิการหรือเปล่า?" เขาถามกลับ "การทำสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีที่สุดนี่แหละคือความท้าทายที่สุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์"
อเล็กซ์ หันมาเรียนขับรถใหม่อีกครั้ง แต่หนนี้เป็นการขับรถยี่ห้อ BMW ที่ถูกทำเป็นพิเศษ ทุกอย่างสามารถบังคับได้ด้วยมือ ไม่ว่าจะเป็น คลัช, เบรก และ คันเร่ง จากนั้นเขาก็ขับมันออกไปตามถนนมอเตอร์เวย์แห่งหนึ่งในอิตาลี
"อเล็กซ์ โว้ยแกทำอะไรอยู่" เสียงจากมือถือของเขาดังขึ้น และเป็นสายจาก แม็ก ปาปิส อดีตเพื่อนนักขับ และเขาตอบกลับว่า "เออ กำลังขับรถด้วยความเร็ว 240 กิโลเมตร/ชั่วโมงอยู่ว่ะ"
แม้จะดูดื้อดึงแต่ที่เขาทำไปนั้นมีเหตุผล การขับรถทำให้อเล็กซ์ รู้สึกว่าเขาไม่ได้ผิดปกติอะไร เขายังเป็นหัวหน้าครอบครัวเหมือนเดิม มันคือความสุขของการได้ทำที่เหมือนๆ กับการกายภาพบำบัดในรูปแบบของตัวเขาเอง
"ผมเชื่อว่ามนุษย์คือเครื่องจักรที่มีพละกำลังอันเหลือเชื่อซ่อนอยู่แต่ยังไม่ถูกค้นพบ เราทุกคนมีพลังแฝงอยู่ในตัวและมันจะเผยตัวออกมาในวันที่คุณต้องการมันถึงขีดสุด"
เหนือสิ่งอื่นใด ความสุขเดิมๆ คือการได้กลับมาสนามแข่งอีกครั้ง เพราะในปี 2005 เขาได้มีโอกาสแข่งขันในรายการเวิลด์ทัวริ่งคาร์ ให้กับทีมบีเอ็มดับเบิ้ลยู อิตาลี/สเปน จบฤดูกาลแรกนี้ในอันดับที่ 10 และในปีนั้นเขายังได้แชมป์ในซีรีส์ของอิตาเลียนทัวริ่งคาร์อีกด้วย ซึ่งซานาร์ดี้ได้ลงแข่งในเวิลด์ทัวริ่งคาร์มาจนถึงปี 2009 และเขายังคงลงสนามแข่งในรายการต่างๆ ทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้
ชีวิตของ อเล็กซ์ ยังเหลือเชื่อได้ยิ่งกว่านั้นอีก อุบัติเหตุครั้งนั้นเหมือนเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาได้ลองและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆมากมาย และมีจำนวนไม่น้อยที่เขาเลือกทำมันอย่างจริงจังทั้งการแข่งขัน Recumbent Cycle (จักรยานแบบเอนกายปั่น) แถมยังคว้าเหรียญทองให้กับทีมชาติอิตาลีได้ถึง 2 สมัยซ้อน ในปี 2002 ที่ลอนดอน และ 2016 ที่ริโอ เดอ จาเนโร
ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าตัวยังถือเป็นอีกคนที่หลงเสน่ห์ของรายการ Ironman (ไตรกีฬาระยะทางไกล) จนลงแข่งขันรายการต่างๆ อยู่เสมอ ซึ่งล่าสุดเมื่อปี 2018 เขาได้ทำลายสถิติโลกในประเภทผู้พิการ ด้วยเวลา 8 ชั่วโมง 26 นาที 6 วินาที เห็นได้ชัดว่า แม้จะต้องว่ายน้ำ, ปั่นจักรยานด้วยมือ และเข็นวีลแชร์ แต่เขาก็ยังสามารถเข้าเส้นชัยได้สบายๆ เหมือนกับว่าร่างกายของตัวเองนั้นไม่เคยขาดอะไรเลย
"ผมไม่ได้รู้สึกว่าการไม่มีขาจะทำให้ผมขาดอะไรไปเลย ผมไม่เคยบอกเลยนะว่าทัศนคติทำให้ผมมีทุกวันนี้ได้ ผมเป็นแค่คนที่อยากจะทำให้คุณภาพชีวิตของตัวเองดีพอที่จะดูและลูกๆ และภรรยาของผม ผมมีครอบครัวที่ดี และแน่นอนผมมีความสุขดี แม้ว่าผมจะไม่มีขาเเล้วก็ตาม"
การมีชีวิตอยู่ด้วยความหวังและหาความสุขให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้คือพลังที่ อเล็กซ์ ซานาร์ดี้ สามารถส่งไปถึงทุกคนที่กำลังท้อแท้และสิ้นหวังได้เป็นอย่างดี แท้จริงแล้วมนุษย์มีสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในอย่างมหาศาล และถ้าวันไหนคุณสามารถค้นลงไปข้างในจิตใจและเจอกันเหมือนที่ อเล็กซ์ เจอ คุณจะได้รู้ว่า "การมีชีวิตอยู่ … เพื่อใครสักคน" คือของขวัญที่พิเศษที่สุดในโลกนี้เเล้ว
อัลบั้มภาพ 12 ภาพ