"เชอร์โน แซมบา" : เด็กเทพจากเกมผู้ถูก "ความผิดหวัง" พรากอนาคตจนหมดสิ้น
นักเตะดาวรุ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเบียด เวย์น รูนีย์ หลุดตัวจริงในเยาวชนทีมชาติอังกฤษ ต้องเจอกับอนาคตที่แปรผันไปเพราะความผิดหวัง
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 2000s มีนักเตะดาวรุ่งจากเกาะอังกฤษ ถูกพูดถึงไปทั่วโลก จากความโด่งดังในเกม Championship Manager หรือ CM (ต้นตระกูลของ Football Manager หรือ FM ในปัจจุบัน) เกมแนวคุมทีมฟุตบอลชื่อดัง
เขาอายุยังน้อย แต่มีค่าพลังที่สูงมาก และสามารถยิงประตูคู่แข่งได้อย่างถล่มทลาย แถมยังมีค่าตัวที่ถูกสุดถูก จนกลายเป็นนักเตะที่ทุกคนต้องเซ็นสัญญาคว้าตัวมาเป็นรายแรกๆในการคุมทีม
ชื่อของเขาคือ เชอร์โน แซมบา ในขณะนั้นเล่นให้กับมิลวอลล์ ทีมในลีกรองของอังกฤษ
อย่างไรก็ดีในโลกจริงชีวิตกลับตรงกันข้าม เขาถูกปล่อยออกจากทีมตอนอายุ 19 ร่อนเร่พเนจรไปค้าแข้งกับหลายทีม แต่สุดท้ายก็ไม่ประสบความสำเร็จ และแขวนสตั๊ดด้วยวัยเพียง 29 ปี
อะไรที่ทำให้ชีวิตของเขาพลิกผันขนาดนี้ ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับ Main Stand
วอนเดอร์คิดที่หลายทีมรุมล้อม
เชอร์โน แซมบา เป็นหนึ่งในหมู่นักเตะเชื้อสายแอฟริกาที่อพยพเข้ามาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในยุโรป เขาเกิดที่แกมเบียก่อนที่ครอบครัวจะย้ายถิ่นฐานมาอังกฤษตอนเขา 6 ขวบ และอาศัยอยู่ในย่านวัตฟอร์ตของกรุงลอนดอน ก่อนที่ตอนอายุ 8 ขวบจะย้ายไปอยู่ในย่านเพ็คแฮม ที่เป็นย่านเสื่อมโทรมของเมือง
“ถ้าไม่ใช่เพราะฟุตบอลผมอาจจะติดคุกหรือตายไปแล้วในตอนนี้ วัฒนธรรมแก๊งเลวร้ายมากในฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของลอนดอน” แซมบากล่าวกับ The Guardian
อย่างไรก็ดี ด้วยฝีเท้าที่โดดเด่นเกินวัยทำให้เขามีอนาคตที่สดใส ผลงานยิงไปถึง 132 ประตูจาก 30 เกม ช่วยกรุยทางเขาสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพด้วยการได้เข้าไปอยู่ในทีมเยาวชนของมิลวอลล์ และติดเยาวชนทีมชาติอังกฤษ แถมครั้งหนึ่งเขายังเคย เบียด เวย์น รูนีย์ จากตำแหน่งตัวจริงในทีมชาติอังกฤษชุด U-17
ฝีเท้าของเขากลายเป็นเป้าหมายของหลายทีมในแดนผู้ดี ถึงขึ้นเคยมีเอเยนต์พยายามจะติดสินบนพ่อเลี้ยงของเขาเป็นจำนวนเงินสูงถึง 25,000 ปอนด์ (ราว 1 ล้านบาท) เพื่อรับรองว่าจะได้ตัวเขาไปร่วมทีม แต่สุดท้ายครอบครัวของแซมบาก็ปฏิเสธไป
ลิเวอร์พูล คือหนึ่งในทีมที่จับตามองแซมบา เช่นเดียวกับ ลีดส์ อาร์เซนอล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ดูเหมือนว่าหงส์แดง จะจริงจังกับเขามากที่สุด ด้วยการเชิญไปเยี่ยมสนามซ้อมเมลวูด และให้ ไมเคิล โอเวน ดาวดังของทีมในสมัยนั้นโทรศัพท์มาหาเพื่อชักชวนไปร่วมทีมตอนเขาอายุ 15 ปี
“หลังจากผมไปเมลวูด ผมอยู่บนรถบัสกับเพื่อน และโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น ไมเคิล โอเวน โทรมา ผมพยายามบอกให้เพื่อนเงียบ และบอกว่า ‘เห้ย นี่ไมเคิล โอเวนนะเว้ย’ พวกเขาพูดกลับมาว่า ‘หุบปากไปเลย’ ผมจึงเปิดสปีคเกอร์ จากนั้นทั่วทั้งรถบัสตกอยู่ในความเงียบ” แซมบารำลึกความหลัง
“เขาบอกผมว่ามันเยี่ยมมากถ้าผมไปลิเวอร์พูล ผมแทบหยุดหายใจตอนวางสาย และกำลังคิดว่า ‘นี่คือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น’”
อย่างไรก็ดี น่าเสียดายที่การเจรจาต้องล่มลง ข้อเสนอจากลิเวอร์พูลถูกมิลวอลล์ปฏิเสธ ไปพร้อมกับหัวใจดวงน้อยที่แตกสลาย
ความฝันที่ดับสูญ
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้มิลวอลล์ปฎิเสธข้อเสนอของลิเวอร์พูล มีหลากหลายทฤษฎีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หนึ่งในนั้นคือ มิลวอลล์รู้สึกไม่พอใจ ที่มีรูปของแซมบาในแจ็คเก็ตของลิเวอร์พูลตอนไปเยี่ยมสนามซ้อมหลุดออกมา
เชื่อกันว่าภาพหลุดในครั้งนั้นไม่สามารถทำให้มูลค่าของแซมบาเพิ่มขึ้นได้อีก มิลวอลล์ ไม่สามารถโก่งค่าตัวของเขาได้ และเสียอำนาจในการต่อรอง เนื่องจากนักเตะดูเหมือนจะมีใจเทให้กับเครื่องจักรสีแดงไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น จากคำบอกเล่าของแซมบา ระบุว่า ลิเวอร์พูล เตรียมที่จะจ่ายเงิน 2 ล้านปอนด์เป็นค่าตัวของเขา โดยจะจ่ายล่วงหน้าก่อน 1 ล้านปอนด์ แต่มิลวอลล์ต้องการให้จ่ายภายในครั้งเดียว
แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด ท้ายที่สุดแซมบา ก็ไม่ได้ย้ายไปลิเวอร์พูล เขาเสียใจมากตอนรู้เรื่องนี้ ถึงขนาดหมดแรงลงไปนอนกองบนพื้นห้องครัว
“ผมจำได้ตอนที่พ่อเรียกผมลงไปชั้นล่าง ไปที่ห้องครัว และพูดว่า ‘ฉันมีข่าวร้ายจะบอกแก’ ผมถามกลับไปว่า ‘อะไรนะครับ?’ และเขาก็พูดว่าการเจรจาล่มไปแล้ว” แซมบาเล่ากับ BBC
“ผมใจสลาย ผมลงไปกองกับพื้นครัวและร้องไห้ ผมได้แต่พูดว่า ทำไม? ทำไม? ทำไม? ทำไมมันถึงเกิดขึ้น? ทำไม? ผมแค่ไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร”
การไม่ได้ย้ายไปเล่นให้ลิเวอร์พูล ทำให้แซมบาเจ็บปวดมากจนไม่ยอมกลับไปซ้อมกับมิลวอลล์เกือบ 6 เดือน เอเยนต์ของเขาพยายามต่อสู้เรียกร้องให้ปล่อยตัวเขาถึงขั้นที่ศาลของสมาคมฟุตบอลต้องมาเกี่ยวข้อง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เป็นผล เขาต้องจำใจกลับมาเล่นให้กับมิลวอลล์ ที่สัญญาว่าจะมอบสัญญาอาชีพ 3 ปีให้เขาตอนอายุ 17 ปี
"มันส่งกระทบต่อชีวิตผมมาก ส่งผลต่อผมมากเลยทีเดียว และหลังจากนั้นในอีกหลายปี" แซมบากล่าวกับ BBC
"โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่สามารถฟื้นฟูสภาพจิตใจได้เลยหลังจากนั้น ผมฟื้นฟูจิตใจได้ไม่ดี มันยังคงติดอยู่ในใจผม"
ตอนนั้นทุกอย่างมันพังทลายไปหมดแล้ว เขายอมรับว่าทัศนคติของเขาก็ผิดเพี้ยนไปแล้ว เขามีความหยิ่งยโสในความสามารถของตัวเอง ไม่ยอมฝึกซ้อมอย่างเต็มที่เพราะคิดว่าเก่งแล้ว แถมยังเคยเซ็นลูกบอลยื่นให้ โซล แคมป์เบลล์ กองหลังทีมชาติอังกฤษ ทั้งที่แคมป์เบลล์ เพิ่งจะเซ็นและมอบให้เขา
“มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายมากๆ ในวัยเท่ากันผมคือนักเตะที่ดีที่สุดของยุโรป”
“บางครั้งตอนที่ต้องวิ่งรอบสนาม 10 รอบ ผมอาจจะวิ่งแค่ 6 รอบ หรือซ้อมยิงประตู แทนที่จะซ้อมหนึ่งชั่วโมง ผมอาจจะทำแค่ 10-15 นาที เพราะว่าผมมีทักษะพวกนี้แล้ว และผมก็คิดเอาเองว่าผมเก่งกว่าทุกคน”
ความหยิ่งผยองของแซมบากลายเป็นหอกทิ่มแทงตัวเองของแซมบา เมื่อสุดท้ายเขาพัฒนาฝีเท้าไม่ได้เท่าที่ควร และถูกปล่อยตัวจากมิลวอลล์ตอนอายุ 19 ปี
โรคซึมเศร้าเล่นงาน
แซมบา ต้องเจอกับช่วงเวลาอันเลวร้ายในปีสุดท้ายของมิลวอลล์ แม้ว่าเขาจะมั่นใจในฝีเท้าของตัวเองมากแค่ไหน แต่ในความเป็นจริงเขากลับไม่สามารถเบียดแย่งตำแหน่งขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ได้เลย
หลังถูกปล่อยตัว เขาตัดสินใจไปพิสูจน์ตัวเองที่สเปนกับสโมสรกาดิซ ทีมในลีกรองของแดนกระทิง เขาหวังที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่มันกลับตรงกันข้าม การออกไปผจญภัยในต่างแดนตอนอายุยังไม่ถึง 20 ปีกลายเป็นนรกทั้งเป็นของแซมบา
เขากลายเป็นคนนอนไม่หลับ หมอนต้องเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาทุกครั้งเมื่อไม่ได้ถูกส่งลงสนาม เขายังคงยึดติดอยู่กับความฝันที่จะได้ค้าแข้งกับลิเวอร์พูลอยู่เสมอ ก่อนจะตื่นขึ้นมาและพบกับความจริงว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นอีกแล้ว
สภาพจิตใจของแซมบาย่ำแย่มาก แต่เขาก็เก็บงำทุกอย่างไว้ในใจโดยไม่ปริปากบอกใคร ก่อนที่จะมาถึงจุดแตกหักที่ทำให้เขาตัดสินใจปลิดชีพตัวเอง เพื่อให้พ้นจากความเศร้านี้ไปเสียที
“ผมไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป ความคิดของผมคือ ‘ผมแค่ไม่สามารถใช้เวลากับที่นี่อีกต่อไปแล้ว ผมอยากจะหลับและลืมทุกสิ่งทุกอย่าง และไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย”
แซมบา แอบเข้าไปในห้องกายภาพบำบัด และขโมยยาแก้ปวดออกมา เขาพยายามกินยาให้เกินขนาดเพื่อจบชีวิตตัวเอง แต่เคราะห์ดีที่ดวงไม่ถึงฆาต เพื่อนร่วมทีมของเขาที่คอยมารับทุกเช้าสังเกตเห็นว่าวันนี้เขาเงียบหายไป จึงไปหาที่ที่พัก ก่อนจะพังประตูเข้าไปและพบแซมบานอนแน่นิ่ง จึงนำเขาส่งโรงพยาบาลจนสามารถรอดมาได้
“ผมเป็นหนึ่งในเหล่าคนที่พูดว่า ‘โรคซึมเศร้าไม่มีวันเกิดขึ้นกับตัวผม’ แต่คุณไม่รู้เลยจนกระทั่งมันเข้ามายึดเกาะในตัวแล้ว หลังเริ่มมีสติ มันทำให้ผมเข้าใจจริงๆว่า ผมโชคดีมากที่ยังมีชีวิตอยู่ ผมพูดว่า ‘นี่ไม่ใช่ตัวผม ผมต้องสะสางตัวเองให้ได้’”
“ผมรู้สึกว่าผมล้มเหลวที่อังกฤษ ผมจึงต้องหนีมาสเปน ดีลลิเวอร์พูลยังคงอยู่ในใจของผม มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายในชีวิตและการอยู่ตัวคนเดียวไม่ได้ช่วยอะไรเลย กลับกันทุกอย่างมันยิ่งบานปลายขึ้นไปอีก”
CM ช่วยผลักดันหรือทำลาย?
ในโลกของ Championship Manager เกมคุมทีมฟุตบอลชื่อดัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาค 2001-2002 แซมบา กลายเป็นนักเตะที่ทุกคนรู้จัก เมื่อเขาคือนักเตะดาวรุ่งฝีเท้าระดับซูเปอร์สตาร์ ด้วยค่าพลังในเกมที่โดดเด่น และสามารถดึงตัวมาร่วมทีมด้วยค่าตัวแสนถูก
“คร้้งแรกที่เห็นมันมหัศจรรย์มาก ผมคิดกับตัวเองว่า ‘ว้าว ทำไมพวกเขาทำให้ผมเก่งขนาดนี้ในเกมนี้?’ ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ” แซมบากล่าวกับ BBC
อย่างไรก็ดี ความแตกต่างระหว่างโลกจริงกับโลกในเกมก็สร้างปัญหาให้เขาไม่น้อย นอกจากจะทำให้เขามั่นใจในความสามารถของตัวเองแบบผิดๆแล้ว ค่าพลังของเขากลายเป็นประเด็นในการยั่วยุของกองหลังคู่แข่งอีกด้วย
“เป็นเวลานานที่ผมถูกยั่วยุด้วยความแตกต่างระหว่างความสามารถของผมใน Championship Manager กับสถิติในชีวิตจริง บางครั้งกองหลังคู่แข่งก็ใช้มันยั่วผม” แซมบากล่าวกับ Irish Mirror
“ตอนที่ผมเล่นให้กับพลีมัธ วันหนึ่งในการฝึกซ้อมผมยิงลูกออกไปไกล และแบร์รี เฮย์ลส ก็พูดว่า 'แม่' เชอร์โน นี่ไม่ใช่เหตุผลที่กูซื้อมึงในเกม Championship Manager นะ”
“ผมจึงเริ่มแสร้งว่าผมไม่เล่นเกมนี้ ผมเจอเรื่องเกี่ยวกับมันมากเกินไป”
แม้ว่าแซมบา จะถูกค่าพลังในเกมกดดันเขามาตลอดเป็นสิบๆปี แต่เขาก็รู้สึกขอบคุณผู้สร้างเกมที่ทำให้เขาโด่งดัง แม้ว่าในโลกจริงชีวิตการค้าแข้งของเขาอาจจะไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม
“ผมรักมัน มันคือส่วนหนึ่งของผม มันทำให้เกิดเรื่องราวมากมาย ผมมีป้ายทะเบียนรถเป็นของตัวเองด้วย และเมื่อวันก่อนคนขับรถคนนี้ก็จำผมได้ และพาผมไปถ่ายรูป จากนั้นเขาเฟซไทม์หาเพื่อนที่เล่น CM และชื่อของผมก็อยู่บนหน้าจอ”
“ผมได้ยินว่า เฟรดดี้ อาดู ที่เคยเป็นเด็กเทพ CM เหมือนกับผมเกลียดเกมนี้ และโทษว่ามันคือต้นเหตุที่ทำลายชีวิตการค้าแข้งของเขา แต่มันก็แค่เกมน่ะ เพราะไม่ว่ามันจะยังไง ที่สุดแล้วก็อยู่ที่ใจของคุณเองด้วย”
ปัจจุบัน แซมบา กำลังโฟกัสกับสโมสรท้องถิ่นที่เขาก่อตั้งขึ้นมาในแกมเบีย แถมกำลังจะได้รับใบประกาศ ยูฟ่า เอ ไลเซนส์ ที่ทำให้เขากำลังก้าวสู่บทบาทใหม่ในฐานะโค้ช
ในขณะเดียวกันเขามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่นั่นคือการได้คุมทีมชาติแกมเบีย ชาติบ้านเกิดที่ปัจจุบันรั้งอันดับ 166 ของโลก และไม่เคยผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกหรือแอฟริกันเนชั่นแม้แต่ครั้งเดียว
“เป้าหมายของผมในวันหนึ่งคือการคุมทีมชาติแกมเบีย เราไม่เคยเข้าไปเล่นในแอฟริกันเนชั่นคัพ หรือฟุตบอลโลกเลย” แซมบากล่าวกับ BBC
“ถ้าผมได้คุมทีมชาติแกมเบียไปเล่นแอฟริกันเนชั่นคัพได้ มันจะเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มันจะมีความหมายกับผมมาก และผมน่าจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกใบนี้”
อัลบั้มภาพ 10 ภาพ