มีคนตาย.. แต่ไร้คนทำ? : คดีฆาตกรรมสนั่นโลกของ "โอเจ ซิมป์สัน"

มีคนตาย.. แต่ไร้คนทำ? : คดีฆาตกรรมสนั่นโลกของ "โอเจ ซิมป์สัน"

มีคนตาย.. แต่ไร้คนทำ? : คดีฆาตกรรมสนั่นโลกของ "โอเจ ซิมป์สัน"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

รอยมีดที่กรีดคอ และร่างไร้ลมหายใจของคู่รักกลางนคร ลอส แอนเจลิส นำมาซึ่งคดีความที่คนทั้งสหรัฐอเมริกาไม่มีทางลืม เรื่องนี้แม้แต่ บิล คลินตัน ประธานาธิบดีของประเทศยังต้องออกปากเองว่าขอให้ประชาชนในประเทศอยู่ในความสงบ

ผู้ต้องสงสัยคือนักอเมริกันฟุตบอลที่เก่งที่สุดแห่งยุค และภายใต้หลักฐานที่รัดตัวแน่นชนิดที่ว่าดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่ออก ... โอเจ ซิมป์สัน กลับพลิกวิกฤติเป็นโอกาส จากผู้ถูกล่ากลายเป็นผู้ล่าเสียเอง จนที่สุดแล้วเขาก็ทำให้คนทั้งประเทศติดตามคดีนี้ทุกฝีก้าวด้วยการเอาประเด็นของการเหยียดผิวขึ้นมาชูโรง

 

เรื่องราวคดีสุดคลาสิกของอเมริกันชนเป็นเช่นไร ติดตามกับ Main Stand ได้ที่นี่

รัก จน ตาย

โอเจ ซิมป์สัน อาจจะไม่ใช่ชื่อคุ้นหูของคนไทยมากนัก แต่ถ้าเอ่ยชื่อเขาในสหรัฐอเมริกา แน่นอนว่าแทบไม่มีใครไม่รู้จัก เขาคือตัววิ่งที่เก่งกาจที่สุดคนหนึ่งในยุคของเขา ในเวที NFL เขาเคยคว้ารางวัล MVP, ตัวรุกยอดเยี่ยมในปี 1973 และเป็นผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์ของทีม บัฟฟาโล่ บิลส์ ด้วยดีกรีขนาดนี้แน่นอนว่าเขา คือ นักกีฬาที่มีทั้งชื่อเสียง เงินทอง และ อิทธิพล

 1

3 สิ่งนี้ประกอบรวมกันในร่างของคนๆเดียว ทำให้ ซิมป์สัน จึงเป็นเหมือนไอค่อนของคนผิวสี สาวๆชื่นชอบเขา ชีวิตรักของเขาก็ค่อนข้างวุ่นวายตามประสาเพลย์บอย เขาเป็นสิ่งที่ล่อตาล่อใจของสาวฮ็อตทั้งหลาย จนที่สุดแล้วก็ตัดสินใจตกร่องปล่องชิ้นกับ มาร์เกอเร็ตต์ วิทลี่ย์ ซึ่งแม้ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 3 คน แต่ก็หย่าร้างกันไปในปี 1979

เวลาล่วงเข้าสู่ปี 1985 นับเป็นช่วงเวลา 5 ปี หลังจากที่เขาประกาศเลิกเล่นอเมริกันฟุตบอล มันเป็นช่วงเวลาของการใช้ชีวิตจากเงินที่หามาได้ตลอดอาชีพ เขาจึงแต่งงานรอบที่สองกับ นิโคล บราวน์ ซึ่งแม้จะเป็นสาวผิวขาว แถมทั้งคู่ยังมีความสัมพันธ์กันตั้งแต่สมัยโอเจแต่งงานครั้งแรก แต่ความรักนั้นมันห้ามกันได้ที่ไหนล่ะ ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งคู่ยังมีลูกด้วยกัน 2 คน ครอบครัวนี้เหมือนจะมีความสุขดี พวกเขามีภาพไปเที่ยวตามที่ต่างๆพร้อมกับรอยยิ้ม รูปแต่ละใบอบอวลไปด้วยความรักทว่า หลังจากนั้น 7 ปี อดีตสาวฮ็อตอย่าง บราวน์ ยื่นความจำนงอย่างชัดเจนว่าเธอต้องการ “หย่า” กับ “โอเจ”  

 2

นับจากวันที่หย่าร้างกันไปได้ 2 ปี โอเจ เดินหน้าใช้ชีวิตฉบับคนมีเงินต่อไป ข่าวคราวกับสาวๆยังพอมีปรากฎบ้างเพราะเขาสนิทกับเหล่าคนดังมากมาย และข่าวของเหล่าเซเล็ปในอเมริกาก็ขายดีเสมอ ขณะที่ นิโคล บราวน์ เริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่กับ รอน โกลด์แมน บริกรประจำร้านอาหาร

ทุกอย่างดูจะแยกย้ายไปตามทางใครทางมัน แต่วันที่ 3 มิถุนายน ปี 1994 ณ เวลาเที่ยงคืน เจ้าหน้าที่ตำรวจของ ลอส แอนเจลิส ได้รับรายงานว่ามีการฆาตกรรมเกิดขึ้นในคอนโดหรูย่านเบรนท์วู้ด มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 2 คน เมื่อไปถึงที่เกิดก็พบสภาพที่แสนสยอดสยองของ นิโคล บราวน์ และ รอน โกลด์แมน ...

 3

ทั้งสองคนตายเพราะถูกเอามีดแทงแบบ "นับจำนวนครั้งไม่ถ้วน" ที่สยดสยองที่สุด คือ บริเวณคอหอยของทั้งคู่ถูกกรีดยาวไปถึงหลังคอ โผล่ให้เห็นหลอดลมอย่างชัดเจน นี่คือการตายที่ข้อสันนิษฐานแรกชี้เป้าไปที่อดีตรักของ นิโคล อย่าง โอเจ ซิมป์สัน และเป็นจุดกำเนิดของคดีที่อเมริกาสั่นสะท้าน และตื่นตัวมากที่สุด … ถ้าถามว่ามากขนาดไหน ก็เอาเป็นว่ามากขนาดที่ข่าวของเขาถูกนำเสนอเป็น Breaking News คั่นรายการถ่ายทอดสด NBA นัดชิงชนะเลิศเลยทีเดียว 

ล่าหลักฐานมัดตัวฆาตกร

"ก๊อก ก๊อก ก๊อก! สวัสดีครับเราคือเจ้าหน้าที่จากแอลเอพีดี (Los Angeles Police Department) เราต้องการพบตัวคุณ โอเจ ซิมป์สัน" 4 นายตำรวจ นำทีมโดยหัวหน้าอย่าง "มาร์ก เฟอร์แมน" เดินทางมาถึงหน้าคฤหาสถ์ของ “โอเจ” เพื่อเข้ามาแจ้งข่าวว่าอดีตภรรยาของเขาถูกฆาตกรรม

 4

แน่ล่ะ นี่ไม่ใช่การมาบอกข่าวคราวอย่างเดียว เรื่องราวการตายของ ภรรยาเก่ากับคู่ควงใหม่ ผู้ต้องสงสัยอันดับแรกๆ ย่อมต้องเป็นอดีตสามีอยู่แล้ว โอเจ จึงเป็นคนแรกๆที่ แอลเอพีดี ส่งกำลังไปตรวจตราดูความสงบในเวลานั้น และนี่ไม่ใช่การเดาสุ่มแบบมั่วๆแบบจับแพะชนแกะ เพราะในวันที่ บราวน์ ประกาศหย่ากับ โอเจ เธอให้เหตุผลว่า โอเจ มีพฤติกรรมรุนแรง และเธอมักถูกเขาซ้อมประจำ

"ซิมป์สัน ซ้อมฉันจนเละเทะ นี่คือสิ่งที่เธอเกิดขึ้น" เธอกล่าวทั้งน้ำตาในวันที่มีชีวิตอยู่

มาร์ก เฟอร์แมน เคาะประตูอยู่นานแต่ไร้เสียงตอบกลับ ระหว่างที่เขารออย่างอดทน เขาพบรอยเลือดบนที่เปิดประตูรถ ฟอร์ด บรองโก้ สีขาว คันที่ โอเจ ใช้ประจำ และ "เอ๊ะแรก" จึงเกิดขึ้น รอยเลือดนี้ทำให้ เฟอร์แมน ตัดสินใจพังประตูเข้าไปในบ้านของ โอเจ แต่ก็มีเพียงลูกสาวของ โอเจ คนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในบ้าน ซึ่งเธอไม่รู้เรื่องและตื่นตระหนกกับเรื่องนี้

เจ้าหน้าที่ทั้ง 4 ถือโอกาสเดินหาหลักฐานเพิ่มเติม และเจอเข้ากับหลักฐานชิ้นใหญ่ที่สุดในคดีนี้ นั่นคือ "ถุงมือ 1 ข้าง"  

เหตุผลที่ถุงมือข้างเดียวคือกุญแจสำคัญนั่นก็เพราะว่า ในที่เกิดเหตุคอนโดฯของ บราวน์ พบถุงมืออีก 1 ข้าง และเป็นถุงมือรูปแบบเดียวกัน เข้าคู่กันเป๊ะๆ คดีนี้มันจะไขง่ายอะไรขนาดนั้น เพราะยิ่งสาวเข้าไปเท่าไหร่ หลักฐานก็ยิ่งชัดขึ้นเท่านั้น

ณ ตอนนี้ตำรวจมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือมากพอที่จะชี้ว่า โอเจ ซิมป์สัน คือ มือมีดที่ก่อคดีฆาตกรรมสุดโหดในมือทั้งหมด 8 ชิ้น

หนึ่งคือถุงมือตามที่ได้กล่าวไป สองคือผล DNA ในที่เกิดเหตุที่ตรงกับ DNA ของ โอเจ, รอยเท้าที่เปื้อนเลือดที่ขนาดเท่ากับเท้าของโอเจ และยังตามมาด้วยเส้นผม ถุงเท้า และคราบเลือดบนรถ นี่คือสิ่งที่ตรงกับข้อสันนิษฐานที่ว่า “โอเจ คือ ฆาตกร”  

 5

เพียงแต่ว่า โอเจ ยังไม่ได้ตอบโต้เลยแม้แต่คำเดียว เพราะในวันที่เหยื่อทั้ง 2 คนเสียชีวิต จนถึงตอนที่พบศพ โอเจ ก็ได้ออกจาก แอลเอ และมุ่งหน้าสู่ ชิคาโก้ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว  

แม้หลักฐานจะชัดเจน แต่ในดินแดนแห่งเสรีภาพ หากผู้ต้องสงสัยยังไม่ได้พูดในมุมมองของเขา ก็ไม่สามารถจบคดีได้ หลังจากนี้ โอเจ จะต้องวุ่นวายกับการขึ้นโรงขึ้นศาลแน่ และเขารู้เรื่องนี้ดี

เปิดปากมาซะ โอเจ

โอเจ ตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดอย่างเห็นชัด เขาบินกลับมาจาก ชิคาโก้เพื่อให้ปากคำ และสิ่งแรกที่เขาถามกับเจ้าหน้าที่สืบสวนคือ "ใครกันที่กล้าทำแบบนั้น"

 6

หลังจากนั้น 4 วันความเครียดของเขาก็ออกอาการ เมื่อตำรวจตัดสินใจตั้งข้อหา ฆาตกรรม ให้อย่างเป็นทางการ โอเจ หนีการจับกุมด้วยการซิ่งรถบรองโก้คันเดียวกับที่มีรอยเลือดของเขาบนที่เปิดประตู และในวันนั้นเป็นวันที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ใช้รถตำรวจเกือบทั้งสถานีเพื่อไล่ตามรถของเขา

ไม่ใช่แค่ตำรวจเท่านั้น ทุกสำนักข่าวและโทรทัศน์ทุกช่องต่างพร้อมใจการรายงานสถานการณ์สดๆ เรตติ้งในการดูข่าวการไล่ล่า โอเจ มากถึง 95 ล้านคน และอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น เกมนัดชิงชนะเลิศบาสเก็ตบอล NBA ที่เป็นไฮไลต์ของคนอเมริกันในทุกๆปี ยังต้องยอมหลีกทางให้ข่าวด่วนข่าวนี้

 7

ไม่มีใครหนีรอดแน่ เมื่อถูกตำรวจแทบทั้งรัฐตามตัวแบบนั้น โอเจ โดนรวบจนได้ และหนึ่งในคำพูดที่หลุดออกจากปากของเขาคือ "ที่ผมทำไปเพราะความรัก ผมรักนิโคลผมทำมันเพื่อเธอ"

แม้แต่ตัวของเขาเองยังแทบจะสารภาพออกมากลายๆ ทว่ามันไม่ใช่คำพูดที่ถูกระบุความหมายไว้ชัดเจนนัก นั่นเท่ากับว่ายังไม่มีประจักษ์พยานสำหรับคดีดังกล่าว ซึ่งประจักษ์พยานนี้เองทำให้ โอเจ เห็นช่องว่าขึ้นมา เขายังไม่ผิดเต็ม 100% แม้ใครจะเข้าใจอย่างไรก็ตาม แต่ความจริงยังไม่ปรากฎ เขายังสามารถสู้คดีต่อได้ โดยเฉพาะเมื่อมีทนายคู่ใจที่เก่งกาจ

เบิกตัวดรีมทีม

เขาเปิดฉากรวมเซียนทนายความที่เก่งที่สุดและค่าตัวแพงทื่สุดในอเมริกา ซึ่งสื่อในขณะนั้นถึงกับเรียกชื่อทีมทนายของ “โอเจ” ว่า "ดรีมทีม" เลยทีเดียว และ ดรีมทีม ชุดนี้ถูกเรียกมาเพื่อแก้ต่างสิ่งที่เขาถูกกล่าวหา

 8

หัวหอกในการทำคดีนี้คือทนายที่ชื่อว่า จอห์นี่ ค็อชแรน เขาคือทนายผิวสีที่มีฝีปากเป็นเอก คนคนนี้คือคนที่คอยเป็นกระบอกเสียงเบอร์ 1 สำหรับ โอเจ ในชั้นศาล และเขามีไม้ตายก้นหีบซ่อนไว้ไม่น้อย แต่คนที่เขาต้องดวลด้วย คือ เจ้าหน้าที่สืบสวน เฟอร์แมน คนที่มีหลักฐานในมือเต็มไปหมด เรียกได้ว่าหาก โอเจ เป็นตาสีตาสา เขาคงเข้าไปนอนในซังเตทันทีเแน่นอน  และค่าเหนื่อยของทีมทนายความทั้ง 8 คนนี้รวมกันทั้งสิ้นเป็นเงิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ โอเจ จะต้องจ่าย

หลังจากมี ดรีมทีม หนุนหลัง ท่าทีของ โอเจ กลับมามีความมั่นใจขึ้น ในขั้นตอนการพิจารณาคดีในศาลอาญา เขายืนยันว่า "เขาไม่ได้ฆ่าเหยื่อทั้งสองคน"

"อย่างแรกผมขอตอบในสิ่งที่หลายคนเข้าใจผิด ผมไม่ได้ฆ่านิโคล ผมไม่ได้เป็นฆาตกร ผมรักเธอ รักมาตลอด ปัญหาก็คือผมอาจจะรักเธอมากเกินไป ความสัมพันธ์ของผมกับ นิโคล เป็นไปด้วยดี ไม่เหมือนกับที่สื่อพยายามบิดเบือน" โอเจ กล่าวอีกครั้ง

 9

ดรีมทีม รวมพลังกันผลักดันคำพูดของ โอเจ แม้แต่หลักฐานมากมายที่กล่าวมาก็ปิดคดีไม่ลง เช่นเดียวกับมาร์ค เฟอร์แมน ที่กลายเป็นคนต้องรับหน้ากับเรื่องนี้ไปอย่างไม่ทันตั้งตัว กลุ่มทนายของ โอเจ นำเสนอต่อศาลว่า เจ้าหน้าที่เฟอร์แมน เป็นคนที่ตั้งแง่กับคนผิวสี พวกเขาถอดเทปเมื่อปี 1985 ที่เขาเคยใช้คำว่า "นิโกร (Nigger)" ในการจับตัวผู้ต้องสงสัยที่เป็นคนผิวสี นี่เป็นคำต้องห้ามที่คนผิวสีด้วยกันใช้ได้เท่านั้น หากคนผิวสีอื่นเอ่ยออกไปนั่นหมายความว่ามีการเหยียดผิวเกิดขึ้น  

จากนั้นต่อมาหลักฐานเกี่ยวกับ เฟอร์แมน ที่มากมายหลายอย่างตามที่กล่าวถูกคณะทนายฝั่ง โอเจ ตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะมีความผิดพลาดได้ และเลยเถิดไป จนมีการกล่าวอ้างว่า "เขาสร้างหลักฐานเท็จ” เพราะวิธีเก็บหลักฐานไม่ถูกต้อง และเมื่อประกอบกับเทปที่บันทึกการเหยียดผิวของ มาร์ก เฟอร์แมน ก็กลายเป็นว่าหลักฐานทั้งหมดมีความน่าเชื่อถือลดลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ และเหตุผลข้อนี้ทำให้คนผิวสีทั่วอเมริกา เกิดการเอนเอียงไปยังฝั่งโอเจ

 10

ที่สุดแล้ว เฟอร์แมน กลายเป็นคนที่เข้าตาจนเสียเอง เขาปฎิเสธที่จะตอบคำถามหลายข้อ และหลังจาก จอห์นี่ ค็อชแรน หัวหน้าทีมทนายไล่ต้อนจนเข้ามุมก็ได้เวลาปล่อยหมัดเด็ด เขาขออนุญาตให้ โอเจ ในฐานะจำเลยได้ลองสวมถุงมือทีเป็นหลักฐานชิ้นเอกดู พร้อมคำพูดที่กดดัน เฟอร์แมน ว่า

"ถ้าเขาใส่มันไม่พอดี คุณต้องเอ่ยคำขอโทษเขานะ"

 11

ศาลอนุญาต โอเจ ลองสวมใส่อยู่หลายนาที แต่มันคับเกินไป คำตอบคือถุงมืออันนี้ "ไม่พอดี" กับมือของเขา ตอนนี้ ฝั่ง โอเจ กลายมาเป็นมวยต่อแล้ว

ปิดคดี!

ถ้าคุณอ่านถึงตรงนี้แล้วเริ่มคล้อยตาม ก็แสดงว่าไม่น่าใช่เรื่องแปลกใจนักที่คณะลุกขุนของคดีดังกล่าวจะคล้อยตามการโต้แย้งของ ดรีมทีม และ โอเจ ซิมป์สัน

 12

คณะลูกขุนทั้ง 12 คน ที่มี 8 จากทั้งหมดเป็นอเมริกันผิวสี ดูจะให้น้ำหนักกับเรื่องนี้ และในวันตัดสินคดีนี่คือเรื่องที่ทั้งอเมริกาหยุดเคลื่อนไหว เสียงของคนในประเทศแบ่งเป็นสองฝั่ง คนผิวสีเชื่อว่าเจ้าหน้าที่พยายามยัดเยียดข้อกล่าวหาให้ โอเจ ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งเป็นคนขาวที่คิดว่ากระบวนการยุติธรรมมีช่องโหว่ และมั่นใจเต็มที่ว่า โอเจ ซิมป์สัน คือ ฆาตกร

3 ตุลาคม ปี 1995 หลังจากผ่านการขึ้นศาลมาหลายรอบใน 1 ปี ขณะลูกขุนลงมติว่า โอเจ ซิมป์สัน ไม่มีความผิด และไม่ได้เป็นฆาตกร ... การปลุกกระแสเหยียดผิวของกลุ่มทนายดรีมทีมส่งผลกับคดีนี้อย่างแรง

 13

"ไม่มีความผิด" ผู้พิพากษา แลนซ์ อิโตะ กล่าวปิดคดี ... ฝั่งทนายโอเจทำหน้าราวกับไม่เชื่อว่าพวกเขาทำสำเร็จ ขณะที่ฝั่งครอบครัวของ นิโคล บราวน์ ออกอาการผิดหวังอย่างชัดเจน  

 14

แม้คดีนี้จะจบแต่กระแสสังคมไม่จบลงง่าย มีการวิจารณ์คดีนี้ไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่าคณะลูกขุนใช้อารมณ์เหนือเหตุผลในการพิจารณาคดีและหมดศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรม บ้างก็เชื่อว่า โอเจ พ้นผิดคือความยุติธรรมอย่างที่สุด และอย่างสุดท้ายคือกลุ่มที่สงสัยว่า "แล้วใครเป็นคนทำ?" แต่ที่แน่ๆ แลนซ์ อิโตะ ผู้พิพากษาในคดีดังกล่าวลาออกจากตำแหน่งทันที หลังจากปิดคดีลง

 15

"ผมเชื่อมั่นในคณะลูกขุน" โอเจ กล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มครั้งแรกในรอบหลายเดือน

เกมนี้คือเกมที่ความสามารถของทนายส่งผลต่อรูปคดีเป็นอย่างมาก แต่แทนที่จะได้รับคำชื่นชม กลุ่มดรีมทีม ถูกมองว่าพวกเขาเล่นนอกเกม เอาเรื่องละเอียดอ่อนอย่างผิวสีมาเป็นตัวแปรจนเป็นต้นเหตุของการใช้อารมณ์เหนือกว่าเหตุผล เชื่อหรือไม่ว่าคนที่เอ่ยปากถึงเรื่องนี้กลับกลายเป็น คริสโตเฟอร์ ดาร์เด้น หนึ่งในทีมทนาย ดรีมทีม นั่นเอง

ดาร์เดน เล่าภายหลังว่า สิ่งที่ จอห์นนี่ คร็อชแรน ทำคือตั้งใจเล่นประเด็นนี้อย่างชัดเจน เขาอยากให้ดรีมทีมหยุดฝั่งเจ้าหน้าที่อย่าง เฟอร์แมน ด้วยการยิงประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการเหยียดผิว

 16

"เราปล่อยให้ เฟอร์แมน ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว เราจะทำให้คนผิวขาวลุกขึ้นยืน และเถียงกันในสิ่งที่เฟอร์แมนทำ เขากระซิบข้างหูผมแล้วบอกอย่างนี้" ดาร์เดน กล่าว

"อย่าปล่อยให้เขาได้ผุดได้เกิด" นี่คือสิ่งที่ทนายผิวสีชื่อดังทิ้งท้ายไว้ก่อนที่จะไปลุยกันในชั้นศาล

แล้วใครทำ?

2 ปีหลังจากคดีฆาตกรรมที่กลายเป็นการเหยียดผิวถูกตัดสินไป โดยที่ฝั่งผู้แพ้คดีอย่างครอบครัวของ นิโคล บราวน์ ไม่สามารถรื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่ได้ เนื่องจากศาลสหรัฐอเมริกาไม่อนุญาตให้มีการอุทธรณ์หากผู้ต้องหาถูกตัดสินว่าไม่มีความผิด

 17

ถึงกระนั้น ครอบครัวของเหยื่อก็เห็นว่า อย่างน้อยที่สุด โอเจ ก็จำเป็นต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงเดินหน้านำคดีนี้ไปให้ศาลแพ่งพิจารณาใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้พวกเขาเปลี่ยนคณะลูกขุนชุดใหม่ โดยไม่มีคนผิวสีเลยแม้แต่รายเดียว

หลักฐานชิ้นเดิม แต่ไม่มีประเด็นเหยียดผิวมาใช้ และเหล่าลูกขุนทั้ง 9 คน ชี้ชัดว่า "โอเจ ซิมป์สัน ต้องรับผิดชอบกับการเสียชีวิตของ นิโคล บราวน์ และ รอน โกลด์แมน" โดยเป็นการค้านกับครั้งแรกด้วยการให้เหตุผลว่า โอเจ ปิดบังข้อเท็จจริงในชั้นศาลเมื่อครั้งตัดสินคดีเมื่อ 2 ปีก่อน

 18

คำตัดสินจากศาลสั่งให้โอเจ จ่ายค่าชดเชยให้กับครอบครัวของผู้เสียหาย ถึง 23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ...การตัดสิน 2 ครั้งได้ผลตัดสิน 2 แบบ คดีอาญา จบแบบไม่มีใครต้องรับผิด แต่คดีแพ่งกลับต้องมีผู้รับผิดชอบ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมคดีนี้จึงเป็นคดีสุดคลาสสิก และเป็นกรณีศึกษาของสหรัฐอเมริกาที่พวกเขาจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้นซ้ำสอง

อัลบั้มภาพ 18 ภาพ

อัลบั้มภาพ 18 ภาพ ของ มีคนตาย.. แต่ไร้คนทำ? : คดีฆาตกรรมสนั่นโลกของ "โอเจ ซิมป์สัน"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook