พื้นที่สีเขียวแห่งความหวัง : สนามฟุตบอลในค่ายลี้ภัยกลางทะเลทราย
ด้วยสภาพอากาศอันร้อนระอุในตอนกลางวัน และอากาศหนาวจัดในตอนกลางคืน ห่างออกไปจากกรุงอัมมาน เมืองหลวงของประเทศจอร์แดน 85 กิโลเมตร มีกลุ่มคนชาวซีเรียเกือบหนึ่งแสนคนแออัดกันใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนที่เรียกว่า “ค่ายผู้ลี้ภัยซะอะฮฺตารี”
ค่ายลี้ภัยดังกล่าวเป็นหนึ่งในค่ายลี้ภัยที่มีขนาดใหญ่ค่ายหนึ่งของโลก
แน่นอนว่าด้วยความที่เป็นสถานที่พักพิงชั่วคราว ทำให้สภาพแวดล้อมอาจจะไม่สู้ดีนัก แต่ด้วยสงครามกลางเมืองในบ้านเกิด ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องอยู่ที่นี่
อย่างไรก็ดีในชุมชนที่ตั้งอยู่บนทะเลทรายที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาแห่งนี้ ยังมีดินแดนที่เปรียบเสมือนโอเอซิสของผู้คน พื้นที่สีเขียวแห่งความหวังที่เรียกว่า “สนามฟุตบอล”
สงครามกลางเมือง
เดิมทีซีเรียเป็นประเทศที่สวยงามและสงบสุข พวกเขาเป็นหนึ่งในนครที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีสถาปัตยกรรมโบราณที่งดงามหลายแห่ง รวมไปถึงสภาพภูมิประเทศที่มีทั้งที่ราบอุดมสมบูรณ์ มีภูเขาสูงและทะเลทราย ทำให้ซีเรียเป็นประเทศที่มีวิวทิวทัศน์สวยงามประเทศหนึ่งของโลก
ทว่าในปี 2011 ได้เกิดการประท้วงที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก "อาหรับสปริง" หรือการลุกฮือต่อต้านรัฐบาลในตะวันออกกลาง ต่อบาชาร์ อัล อัสซาด ประธานาธิบดี เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย เนื่องจากก่อนหน้านี้ อัสซาดถูกวิจารณ์อย่างต่อเนื่อง จากการบริหารประเทศที่ก่อให้เกิดปัญหาการว่างงาน ปัญหาทุจริต และการไร้เสรีภาพทางการเมือง
ความวุ่นวายก่อตัวจากการประท้วงจนเริ่มบานปลาย ในขณะเดียวกันการปราบปรามก็รุนแรงไม่แพ้กัน ทำให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเริ่มลุกขึ้นมาจับอาวุธ เพื่อป้องกันตัวเอง และขับไล่กองกำลังของรัฐออกจากพื้นที่
ในขณะเดียวกัน อัสซาด มองว่าผู้ประท้วงเหล่านี้คือ “ผู้ก่อการร้ายที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ” และประกาศว่าจะจัดการอย่างเด็ดขาด ทำให้ความรุนแรงก็ขยายตัวเป็นวงกว้าง จนกลายเป็นสงครามกลางเมืองในที่สุด
สงครามทำลายบ้านเมืองที่พักอาศัยอย่างย่อยยับ ทำให้ประชาชนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก จากการรายงานขององค์กรสังเกตการณ์เพื่อสิทธิมนุษยชนซีเรีย (SOHR) ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 353,900 ราย โดยเป็นพลเรือน 106,000 ราย
ในขณะที่บางส่วนจำเป็นต้องอพยพหนีออกจากประเทศ ไปในหลายๆพื้นที่ ทั้งตุรกี อิรัก เลบานอน หรือ อียิปต์ เช่นเดียวกับจอร์แดน ที่มีชายแดนติดกับซีเรีย ที่ต่อมากลายเป็นค่ายผู้ลี้ภัยขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของโลก
ค่ายผู้ลี้ภัยอันดับ 2 ของโลก
ภัยสงครามทำให้ประชาชนชาวซีเรียจำเป็นต้องทิ้งบ้านเกิดเพื่อเอาชีวิตรอด จอร์แดน ประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกันทางตะวันออก คือหนึ่งในหมุดหมายสำคัญ
แต่ละวันมีชาวซีเรียอพยพเข้ามาในจอร์แดนราว 1,000-2,000 คน ทั้งด้วยการเดินข้ามทะเลทรายหลายกิโลเมตร หรือนั่งรถผ่านหุบเขาที่คดเคี้ยว ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจอร์แดนจึงขอร้องทาง ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ให้สร้างค่ายผู้ลี้ภัยแก่ชาวซีเรีย
ค่ายผู้ลี้ภัยซะอะฮฺตารี จึงกำเนิดขึ้นมาในเดือนกรกฏาคมปี 2012
ค่ายผู้ลี้ภัยแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากกรุงอัมมาน เมืองหลวงของจอร์แดนไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 85 กิโลเมตร และห่างจากชายแดนของซีเรียเพียง 10 กิโลเมตร โดยมีผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่ถึง 85,000 คน ถือเป็นค่ายลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย และเป็นค่ายลี้ภัยที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก
“ตอนเรามาถึงที่นี่ครั้งแรก เราไม่คุ้นเคยกับชีวิตแบบนี้เลย เราต้องอาศัยอยู่ในเตนท์ และผู้คนก็ขายของทั่วไปในเตนท์นั่นแหละ มันไม่มีอะไรเลย มีแค่ของพื้นฐานอย่างแชมพูเท่านั้น” ตาบารัค วัย 16 ปีกล่าวกับ Al Jazeera
แม้ว่าภายในค่ายจะมีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานทั้ง โรงพยาบาล หรือโรงเรียน รวมไปถึงร้านค้าอย่าง ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านขนม ร้านขายโทรศัพท์ หรือแม้แต่ร้านเกมส์ แต่สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนข้างในยังลำบาก
เนื่องจากค่ายแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เป็นทะเลทราย ทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่รุนแรงในฤดูร้อนและฤดูหนาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากฝนหรือหิมะตก จะทำให้เกิดน้ำขังเป็นหนองน้ำโคลนเป็นประจำทุกปี
ชาวซีเรียในค่ายยังต้องเจอกับภาวะขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค ไม่ว่าจะเป็นการขาดเครื่องทำความร้อนและผ้าห่ม กระแสไฟฟ้าดับบ่อยครั้ง ห้องน้ำรวมไม่เพียงพอ ขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ รวมไปถึงยารักษาโรค
ปัญหาดังกล่าวทำให้ผู้คนใน ซะอะฮฺตารี ต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบาก นอกจากเผชิญกับความเครียดจากการหนีภัยสงคราม แล้วยังต้องมาเจอสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ ทว่ายังมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนเป็นน้ำหล่อเลี้ยงใจในสภาวะเช่นนี้
พื้นที่แห่งความหวัง
ฟุตบอล ถือเป็นกีฬาที่เป็นที่นิยมกีฬาหนึ่งในโลก มันแฝงตัวอยู่ทุกที่ไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือพื้นที่ทุรกันดาร ไม่เว้นแม้แต่ในค่ายผู้ลี้ภัยซะอะฮฺตารี
ชาวซีเรียคลั่งไคล้ฟุตบอลมาก แม้ว่าประเทศจะอยู่ในภาวะสงคราม แต่ทีมชาติของเขาเกือบผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายเมื่อปีที่แล้ว น่าเสียดายที่ต้องพ่ายให้กับออสเตรเลียในรอบเพลย์ออฟ
การไล่วิ่งกวดลูกบอลในสนามที่เต็มไปด้วยกรวดและฝุ่นของเด็กๆ จึงเป็นภาพที่เห็นกันอย่างชินตาในชุมชนแห่งนี้ เนื่องจากในค่ายผู้ลี้ภัยมีอัตราประชากรที่เป็นเด็กที่สูงมาก โดยมีจำนวนถึง 58 เปอร์เซ็นต์ หรือราว 6,800 คน แบ่งเป็นเด็กชาย 4,150 คน และ เด็กผู้หญิง 2,650 คน
แต่แล้วตั้งแต่ปี 2013 โครงการพัฒนาฟุตบอลเอเชีย (AFDP) และองค์กรระดับโลกอย่างฟีฟ่า และยูฟ่า ได้เข้ามาช่วยสนับสนุนพวกเขาอย่างจริงจัง ทั้งนำอุปกรณ์การเล่นฟุตบอลเข้ามาแจกจ่าย หรือจัดคลินิกสอนฟุตบอลให้กับเด็กในค่ายที่ไม่ใช่เฉพาะผู้ชายเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้หญิงอีกด้วย
อย่างไรก็ดี แม้จะมีอุปกรณ์ครบครัน แต่ปัญหาที่เด็กในค่ายต้องเจอคือสนามที่เต็มไปด้วยก้อนกรวดและฝุ่นคลุ้ง สมาคมฟุตบอลนอร์เวย์ ทราบดีในจุดนี้จึงจับมือกับรัฐบาลนอร์เวย์ สร้างสนามหญ้าเทียมให้เด็กๆได้เล่นฟุตบอล
กลายเป็นพื้นที่สีเขียวจุดเล็กๆแห่งความหวังที่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย
“เรากำลังดูความก้าวหน้าแบบวันต่อวัน และผมก็รู้สึกภาคภูมิใจกับสิ่งที่เราทำกับผู้หญิงและเด็กผู้หญิง” เปอร์ ราฟ์น ออมดาล อดีตนายกสมาคมฟุตบอลนอร์เวย์กล่าวกับ Reuters
“เรากำลังฝึกโค้ชผู้หญิง 33 คน และนั่นเป็นผลกระทบในเชิงบวกอย่างมากต่อชีวิตของทุกคน”
สนามประกอบไปด้วยอุปกรณ์กีฬาที่ครบครัน ทั้งลูกบอล ตาข่าย ธงสำหรับจุดเตะมุม แม้ว่ายังขาดที่นั่งสำหรับผู้ชมและหลังคา แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเด็กๆในค่ายผู้ลี้ภัยมากนัก มันได้กลายเป็นที่สำหรับทำการแข่งขัน ฝึกซ้อม รวมไปถึงสถานที่สอนฟุตบอลแก่เด็กๆในชุมชน
ทว่าด้วยธรรมเนียมท้องถิ่น เด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายจะเล่นด้วยกันได้จนถึงอายุ 8 ปี ทำให้ภายในค่ายจำเป็นต้องมีโค้ชผู้ชายไว้สอนเด็กผู้ชาย และโค้ชผู้หญิงไว้สอนเด็กผู้หญิงโดยเฉพาะ
เอหมัด อาหมัด อัล ชาบี วัย 39 ปี หนึ่งในโค้ชเด็กผู้ชายกล่าวว่า ในสัปดาห์หนึ่งจะมีเด็กราว 600-700 คน แวะเวียนกันมาเล่นฟุตบอลที่สนาม
“ถ้าเป็นประสงค์ของพระเจ้า เราอยากให้เด็กมีความฝัน และบรรลุเป้าหมายในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แม้ว่าเด็กคนนั้นจะอยู่ที่นี่หรือกลับไปซีเรีย”
เยียวยาหัวใจ
“ฉันชอบมาเล่นฟุตบอลที่นี่” ฮิบา เด็กสาววัย 13 ปีที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย กล่าวกับ Reuters
“มันทำให้ฉันลืมเรื่องสงคราม ระเบิด จรวด และเด็กๆที่ถูกฆ่า และทำให้ฉันสบายใจ”
“พ่อกับแม่ฉันอยู่ที่นี่แต่ฉันคิดถึงลุง เขานั่งอยู่ในบ้านตลอดช่วงเวลาที่ถูกโจมตีด้วยระเบิด และเขาก็เสียชีวิต สิ่งนี้ทำให้ฉันเศร้าใจมาก”
สนามฟุตบอลนี้ถือเป็นแหล่งความบันเทิงและเสริมสร้างสุขภาพให้กับเด็กๆ ในค่ายผู้ลี้ภัย ในขณะเดียวกัน มันทำหน้าที่เป็นพื้นที่หลบหนีจากความเลวร้ายที่เด็กๆต้องเผชิญ ทั้งทางร่างกายและจิตใจจากสงคราม
“เกือบทุกคนต้องสูญเสียใครบางคนไปจากสงคราม เด็กจำนวนมากต้องเศร้าและเจ็บปวดจากเรื่องนี้” Carine N’koue, ผู้ประสานงานโครงการ ของ AFDP ในซะอะฮฺตารี กล่าวกับ Reuters
“แต่ฟุตบอล และเกมอื่นๆที่เรานำมาเล่นกับเด็ก ช่วยทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น”
“การเล่นฟุตบอลทำให้ความนับถือในตัวเองกลับมา และพวกเขากำลังเรียนรู้ที่จะเป็นเด็กอีกครั้ง ผู้คนจำนวนมากหยุดเป็นเด็ก เพราะว่าสิ่งที่พวกเขาต้องเจอมา”
ปัจจุบันได้มีองค์กรระดับโลกมากมายเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเด็กๆในค่าย ปี 2017 ยูฟ่าและ เลย์ สปอนเซอร์อย่างเป็นทางการของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จับมือกันสร้างสนามหญ้าเทียมแห่งใหม่ขนาดมาตรฐาน ที่ชื่อว่า “สนามฟุตบอลเพื่อทุกคน” เพื่อรองรับจำนวนเด็กที่เพิ่มมากขึ้นเป็นประจำทุกปี ก่อนที่ในปี 2018 พวกเขาจะเปิดสนามหญ้าเทียมสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ
“สนามฟุตบอลแห่งใหม่ ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยสร้างสภาพแวดล้อมในชีวิตประจำวันที่เด็กๆสามารถมาสนุกกับเวลาพักผ่อนหย่อนใจ แม้ว่าจะเป็นเด็กที่อยู่ในภาวะสงคราม” อเล็กซานเดอร์ เซเฟริน ประธานยูฟ่ากล่าว
“สนามฟุตบอลเพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะในซะอะฮฺตารี จะตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น และส่งเสริมให้เด็กผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วมกับกีฬาในค่ายผู้ลี้ภัย ในขณะเดียวกันกิจกรรมกีฬาในค่ายยังจะช่วยลดความตึงเครียด กระตุ้นให้เกิดการพูดคุยกัน และช่วยลดความขัดแย้ง และทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น”
เคยมีคำกล่าวที่ว่าภายใต้แสดงสว่างที่มืดมิด ยังมีแสงสว่างซ่อนอยู่ สนามฟุตบอลในค่ายผู้ลี้ภัย จึงเป็นเหมือนแสงสว่างของเด็กชาวซีเรียท่ามกลางความหวังอันริบหรี่ที่ไม่รู้ว่าจะได้กลับไปบ้านเกิดเมื่อไร หรืออาจจะไม่ได้กลับไปตลอดกาล
แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีสนามแห่งนี้เป็นโอเอซิสกลางทะเลทรายไว้หล่อเลี้ยงหัวใจที่บอบช้ำจากภาวะสงคราม เป็นพื้นที่สีเขียวแห่งความหวังท่ามกลางความแห้งแล้งที่ช่วยเยียวยาพวกเขาทั้งร่างกายและจิตใจ
อัลบั้มภาพ 12 ภาพ