เรื่องยุ่งๆของคนดัง : หาก "โบลท์" รักฟุตบอลจริงเหตุใดจึงไม่รับข้อเสนอจากมาริเนอร์ส?

เรื่องยุ่งๆของคนดัง : หาก "โบลท์" รักฟุตบอลจริงเหตุใดจึงไม่รับข้อเสนอจากมาริเนอร์ส?

เรื่องยุ่งๆของคนดัง : หาก "โบลท์" รักฟุตบอลจริงเหตุใดจึงไม่รับข้อเสนอจากมาริเนอร์ส?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทุกวงการย่อมมีคำถามโลกแตกอันไม่เคยมีคำตอบที่พิสูจน์ได้ว่าถูกต้องจริงๆ หรือไม่ และในวงการกีฬาก็มีคำถามหนึ่งที่ว่า ระหว่าง ไมเคิ่ล เฟลป์ส ยอดนักว่ายน้ำชาวอเมริกัน กับ ยูเซน โบลท์ ลมกรดชาวจาเมกา ใครคือที่สุดของกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติอย่าง โอลิมปิก

แม้ถามไปจะไม่ได้คำตอบที่แน่ชัด (เพราะการจะเอาจำนวนเหรียญที่ได้มาวัดคงไม่ใช่หนทางที่ตอบคำถามได้ครอบคลุม แม้เฟลป์สจะได้เหรียญเยอะกว่าก็ตามที) แต่ที่แน่ๆ คือทั้งคู่ต่างยืนอยู่บนยอดเขาของชนิดกีฬาที่พวกเขาถนัด โดยเฉพาะในรายของ โบลท์ นั้นถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในฐานะนักวิ่งและเซเลปที่มักจะได้พื้นที่ในหน้าสื่อเสมอ ทุกอย่างดูดีทั้งหมดที่คือสิ่งที่มนุษย์เกือบ 100% ของโลกอยากได้

 

ชั้นวรรณะของ โบลท์ ในกีฬาวิ่งเเข่งถูกยกให้เป็นตำนานโดยไม่ต้องสงสัย ต่อให้เลิกเป็นนักวิ่งแต่ชื่อเสียงของเขาก็ยังขายได้ แบรนด์หรูต่างๆ พร้อมวิ่งใส่เพราะภาพลักษณ์ของสปอร์ตแมนที่โอหัง "คุยโวแต่ทำได้" ดังนั้นการนั่งๆ นอนๆ รอช้อนเงินล้านคงเป็นสิ่งที่คนธรรมดาๆ คนหนึ่งจะคิดได้ แต่ว่านั่นไม่ใช่สำหรับเขา...

จนถึงตอนนี้ผ่านมาแล้ว 7 ปี ที่โบลท์ไม่ยอมฝังตัวเองให้อยู่ในศัพท์ยุคใหม่เท่ๆ ที่เรียกว่า "เซฟโซน" เขามักจะบอกเสมอว่าอยากเล่นฟุตบอลอาชีพ และพูดจริงทำจริงมาจนถึงทุกวันนี้

ในขณะที่ความฝันเข้าใกล้เมื่อ เซ็นทรัล โคสต์ มาริเนอร์ส พร้อมยื่นสัญญาอาชีพให้เขา ทว่าเจ้าตัวเลือกจะปฎิเสธเพราะได้ค่าจ้างน้อยเกินไป อะไรที่ทำให้คนๆ หนึ่งผู้มีทุกอย่างโดยเฉพาะเรื่องเงินที่เหลือกินเหลือใช้ปฎิเสธสัญญาที่หัวใจเรียกร้องมานานนม นี่คือเบื้องหลังของเส้นทางลูกหนังอันยาวนานและยังไม่เกิดขึ้นจริงเสียทีสำหรับ ยูเซน โบลท์

รักฟุตบอลสุดใจ

ชายผู้ที่มีความเร็วสูงที่สุดในโลกเคยเผยถึงชีวิตส่วนตัวไว้อย่างน่าสนใจ เขาบอกว่าเขาไม่เคยสนใจกีฬาวิ่งมาก่อนเลยด้วยซ้ำและทุกวันนี้เจ้าตัวก็ยังแปลกใจที่กลายเป็นสุดยอดนักสปรินท์แห่งยุค เรียกได้ว่ามันเป็นพรสวรรค์ที่เขาไม่มีสิทธิ์เลือก เขาแค่ลองฝึกดู จากนั้นก็รวดเร็วขึ้นมาเองเสียอย่างนั้น

 1

โบลท์ มีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าเด็กทั่วไป ในวัยเด็กเขาเก่งแทบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น คริกเก็ต หรือ ฟุตบอล ที่เขาบอกเสมอว่านี่คือ “รักแรก” ของเขากับการเล่นกีฬา ทว่าเมื่อได้ลองวิ่งเเข่งดูโลกก็ต้องยอมซูฮก

"มีเด็กตัวสูงโย่งคนหนึ่งเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์โดยธรรมชาติ ตอนนั้น ผอ.ของเรายอมมอบทุนการศึกษาให้เด็กคนนั้นเนื่องจากเราไม่อยากเสียเขาไป" ลอร์น่า ธอร์ป ครูพละของโรงเรียน วิลเลี่ยม คนิบ ไฮสคูล พูดถึงโบลท์ในช่วงที่ยังเรียนอยู่

ธอร์ปเป็นเหมือนแม่คนที่ 2 ของ โบลท์ เขาเห็นสิ่งที่โบลท์มีและสิ่งที่โบลท์ทำมาตั้งแต่เยาว์วัย  ในวัย 13 ปี โบลท์ เคยวิ่งแข่งแพ้เพียงหนเดียวเท่านั้น แม้ว่าการซ้อมของเขาจะเกิดขึ้นในลักษณะของการทำเป็นเล่นเสียส่วนใหญ่ ส่วนเรื่องฟุตบอลน่ะเหรอ? เขาหวงลูกฟุตบอลของตัวเองยิ่งกว่าทองเสียอีก โบลท์ เล่นทุกตำแหน่งไล่มาตั้งแต่ผู้รักษาประตู, เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ, ปีกซ้าย และสิ้นสุดที่กองหน้าของทีมโรงเรียน

"เรามักจะเห็นเขาออกไปเตะฟุตบอลคนเดียวอยู่เสมอ เราก็แซวเขาบ่อยๆ ปล่อยๆ มันบ้างก็ได้นะ ฟุตบอลน่ะ" ธอร์ป กล่าว

ถ้าถามว่ารักฟุตบอลขนาดไหน โบลท์ เคยบอกว่า "เท่าชีวิต" นอกจากนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังเป็นทีมที่เขาฝากตัวเป็นแฟนพันธุ์แท้ หลายครั้งเขามักจะเข้าไปชมเกมถึง โอลด์ แทรฟฟอร์ด อีกทั้งยังเคยโฟนอินมาออกรายการช่อง MUTV อีกต่างหาก หลายสิ่งยืนยันได้ว่าเขารักมันจริงไม่มีเรื่องเงินเกี่ยวข้อง มันคือสิ่งที่บ่มเพาะมาตั้งแต่เกิด และอยู่กับเขาจนอายุ 13 เพียงแต่ว่าพรสวรรค์ด้านการวิ่งแยก โบลท์ และ ฟุตบอล ออกห่างจากกันจนสิ้นเชิงอยู่หลายปี

 2

ช่วงเวลาหนึ่ง โบลท์ เคยหันมาสนใจฟุตบอลอยู่เนืองๆ หลังมีชื่อเสียงจากคว้าเหรียญทองโอลิมปิกปี 2008 และ 2012 เขามักจะปรากฎตัวตามแมตช์การกุศลอยู่บ่อยๆ ทว่าโค้ชวิ่งของเขาที่ชื่อว่า เกล็น มิลล์ เตือนสติว่าตัวของเขากำลังช้าลง และมั่นใจว่าหาก โบลท์ ยังไม่ยอมฝึกซ้อมให้หนักเหมือนตอนที่ยังไม่ดัง เขาจะไม่เหมือนเดิม ซึ่งคำเตือนนั้นเองเปลี่ยนให้เขากลับมาอยู่กับความจริงนั่นคือการวิ่ง มากกว่าที่จะอยู่ในโลกแห่งความฝันอย่างฟุตบอล...

แน่นอนความพยายามครั้งนี้ของเขาจบลงอย่างชื่นมื่นด้วยการคว้าเหรียญทองในโอลิมปิกที่ริโอในปี 2016 เมื่อในส่วนของโลกความจริงเสร็จสมบูรณ์แล้วก็ได้เวลาที่เขาในวัย 30 ปีจะกลับมาสวมวิญญาณ ดช. โบลท์ ตอนอายุ 13 ปีอีกครั้ง นั่นคือ โลดเเล่นไปบนโลกของฟุตบอลอาชีพตามเสียงของหัวใจ

ทุ่มเทเพื่อให้ได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพ

ดั่งคำปราชญ์ว่า "ล้ม 100 ครั้ง ขอชนะเพียง 1 ครั้ง ชีวิตนี้ก็คุ้มแล้ว" ชีวิตโบลท์บนสังเวียนหญ้า ก็เป็นเช่นนั้นเอง

ย้อนกลับไปสักปี 2009 เป็นช่วงเวลาที่ โบลท์ กำลังโด่งดังพลุแตก เขาเริ่มเก็บฝันแรกของตัวเองด้วยการทำในสิ่งที่มากกว่าแฟนบอลทั่วไป นั่นคือการเข้าไปยัง แคริงตัน สนามซ้อมของแมนฯ ยูไนเต็ด เพื่อได้เจอกับนักเตะอย่าง เวย์น รูนี่ย์, คริสเตียโน่ โรนัลโด, พอล สโคลส์ และบรมกุนซืออย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

 3

"ถ้าได้เล่นให้เเมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะเป็นความฝันที่โคตรสุดสำหรับผม ไม่มีอะไรยิ่งกว่านี้อีกเเล้ว" เขากล่าวในวันที่ตัวเองยังเป็นนักวิ่งอยู่

โบลท์ เริ่มเข้ามาเกี่ยวพันกับฟุตบอลมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงที่เขายังมีชื่อเสียงกับฐานะเจ้าของนักวิ่งสถิติโลก หลังจากได้ร่วมซ้อมกับ ปีศาจแดง เขาก็ได้ซ้อมกับ บาเยิร์น มิวนิค ภายในเวลาหลังจากนั้นไม่นาน ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นการผลักดันจาก ริคกี้ ซิมส์ ผู้จัดการส่วนตัวของเขา ที่มั่นใจว่า โบลท์ จะเป็นนักกีฬาที่ดีได้ ไม่ว่าจะกับชนิดใดก็ตาม เพราะเมื่อเขาเปิดโหมดเอาจริงเขาจะทุ่มเทกับมันแบบสุดชีวิต

"จริงๆ โบลท์ เป็นคนขี้เกียจ แต่ถ้าเขาได้ซ้อมเขาจะซ้อมหนักมาก ถ้าคุณลองได้เล่นฟุตบอลกับเขา คุณจะรู้เลยว่าเขาเอาจริงมาก อยากจะเอาชนะทุกคน เขาคือยอดนักกีฬาผู้รักการแข่งขันเป็นที่สุด"

ช่วงที่ซ้อมกับ บาเยิร์น สั้นๆ หลุยส์ ฟาน กัล เคยบอกไว้ว่าโบลท์เป็นคนที่ร่างกายดี หากรักษารูปร่างและความฟิตคงตัวไว้ได้ตลอดจะสามารถเล่นฟุตบอลในระดับสูงได้แน่

"โบลท์ เป็นคนที่มีทักษะทางร่างกาย ผมคิดว่าเขาเล่นในพรีเมียร์ลีกได้นะ" ซิมส์ กล่าวไว้ในช่วงปี 2010 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ โบลท์ จะกลับไปเอาจริง 100% ให้การวิ่งดังที่กล่าวไว้ข้างต้น

หลังจากที่ โบลท์ ไปจนสุดทางของด้านการวิ่งเขาเอาจริงกับฟุตบอลมากขึ้น เพียงแต่ว่าในวัย 31 ปี มันอาจจะเป็นการเริ่มต้นที่ช้าไปสักหน่อย โชคยังดีที่เขามีผู้พร้อมผลักดันเยอะแยะหลายด้านไปหมด ทั้งนาฬิกาดัง Hublot, แบรนด์กีฬาอย่าง PUMA และ บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่อันดับสองของออสเตรเลีย อย่าง Optus ที่ทำให้โอกาสด้านการเล่นฟุตบอลใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และทุกย่างก้าวของเขาเป็นข่าวหน้าหนึ่งเสมอ ดังนั้นเราจึงได้เห็นเขาทุ่มเทในการเอาจริงเอาจังกับความฝันที่มาช้ากว่ากำหนดนี้อยู่บ่อยๆ

ปฏิบัติการตามล่าฝันของเขาเริ่มต้นกับ มาเมโลดี้ ซันดาวน์ส ทีมในแอฟริกาใต้ที่ โบลท์ ร่วมซ้อมกับทีมในเดือนมกราคม 2018 ซึ่งเจ้าตัวจริงจังมากขึ้นกว่าตอนที่เขามาซ้อมขำๆ เดาะบอลเล่นไปมาผ่านบอลง่ายๆ กับ แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อหลายปีก่อนเยอะ แม้จะสร้างความตื่นเต้นกับคนที่นั่นไม่น้อย แต่ที่สุดเเล้วก็ไม่มีอะไรมากกว่าการเป็นแค่ข่าวเรียกกระแสเท่านั้น

ไม่กี่เดือนต่อมา โบลท์ ได้ร่วมซ้อมกับ 1 ในทีมที่ดีที่สุดในเยอรมันอย่าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาเป็นพิเศษ เพราะทางสโมสรถึงกับต้องไลฟ์ผ่านเพจเฟซบุ๊คสโมสร มีจำนวนคนที่คลิกเข้าไปดูไลฟ์สตรีมในวันนั้นเกือบแตะหลักล้านวิวเลยทีเดียว นอกจากนี้เว็บไซต์ของ บุนเดสลีกา ยังรายงานข่าวดังกล่าวอย่างใกล้ชิดอีกด้วย

 4

หนที่ 3 โบลท์ ร่วมซ้อมกับสโมสร สตรอมก็อดเซ็ท ในนอร์เวย์ ซึ่งครั้งนี้ยังได้ลงเล่นในเกมอุ่นเครื่องกับทีมชาตินอร์เวย์ ชุด ยู 21 อีกด้วย แต่ลงท้ายก็มันยังไม่สำเร็จ เขายังไม่ได้สัญญาอาชีพเช่นเคย

สรุปได้ว่าการพยายามร่วมซ้อมกับ 3 สโมสรจาก 3 ประเทศเพื่อเรียกสัญญาอาชีพของ โบลท์ ล้มเหลวทั้งหมด ซึ่งเหตุผลก็คือ นี่คือฟุตบอลอาชีพ ดังนั้นการเก่งกีฬาชนิดไหนไม่ใช่เรื่องสำคัญ การแย่งตำแหน่งกับผู้เล่นอีก 20-30 คนต่างหากคือแก่นแท้ และหากจะทำได้ก็ต้องหมายความ โบลท์ จะต้องโดดเด่นในระดับหนึ่งเลยทีเดียว

"ทั้งหมดมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำผลงาน และการเคลื่อนที่ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาสนุก ผมคิดว่าเขามีพรสวรรค์นะ แต่เมื่อเขาอยากเล่นในระดับสูง แน่นอนว่าเขายังต้องทำงานอีกมาก สภาพร่างกายที่จำเป็นสำหรับเขาในกีฬาประเภทอื่นๆ แตกต่างจากสิ่งที่เขาจำเป็นต้องมีในกีฬาฟุตบอลอย่างสิ้นเชิง แต่เราสนุกจริงๆ เราดีใจที่ได้เจอคนอย่างเขา และได้ร่วมงานกับเขา" ปีเตอร์ สโตเกอร์ อดีตนายใหญ่ของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ พูดถึงขีดจำกัดในฟุตบอลระดับสูงอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตามทุกอย่างมีที่มา โบลท์ คือลูกรักอันดับ 1 ของ PUMA เขาคือนักกีฬาชื่อดังที่สุดที่แบรนด์จากเยอรมันแบรนด์นี้มี ดังนั้นการที่ โบลท์ ไปซ้อมกับ ซันดาวน์ส, ดอร์ทมุนด์ และ สตรอมก็อดเซ็ท ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะทั้ง 3 สโมสรที่กล่าวมานี้มี PUMA เป็นสปอนเซอร์ชุดแข่งทั้งสิ้น ดังนั้นการเปิดประตูรับซุป’ตาร์อย่าง โบลท์ มาทดสอบฝีเท้าก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอยู่แล้ว  โดยเฉพาะในส่วนของ ดอร์ทมุนด์ นั้นเป็น 1 ในทีมสโมสรที่เป็นทีมชูโรงภายใต้แบรนด์ PUMA การจับ เบอร์ 1 ด้านนักกีฬา มาชนเบอร์ 1 ในฝั่งสโมสรฟุตบอล จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางการตลาดได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

 5

แม้จะพลาดหนเเล้วหนเล่า โบลท์เองก็ไม่ได้ยอมแพ้แต่อย่างใด หากไม่นับอายุเขาก็เปรียบเหมือนนักเตะดาวรุ่งของทุกทีมที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง การเล่นให้ ดอร์ทมุนด์ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าเขาจะหมดโอกาสไปตลอดชีวิต เขายังคงหาหาฝันที่เป็นจริงของตัวเองเหมือนเดิม และหนนี้เขาได้โอกาสจาก เซ็นทรัล โคสต์ มาริเนอร์ส ทีมจากออสเตรเลีย ซึ่งหนนี้ โบลท์ ทำการบ้านมาดี เห็นได้ชัดว่าเขาดูใกล้เคียงกับการเป็นนักเตะอาชีพมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ยังยิงประตูในเกมอุ่นเครื่องถึง 2 ลูกอีกต่างหาก

"การเป็นนักฟุตบออาชีพนั้นเป็นความฝันของผม ผมรู้ดีว่าผมคงต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการฝึกซ้อมอย่างหนัก เพื่อที่จะให้ได้กับระดับฝีเท้าที่สโมสรต้องการ" โบลท์ กล่าว

 6

เขาทำมันได้ แถมทำได้ดีเสียด้วย เพราะเมื่อครบกำหนด 8 สัปดาห์ มาริเนอร์ส ตบโต๊ะและกล่าวคำว่า "เวรี่กู้ด" พวกเขาพร้อมอ้าแขนรับโบลท์สู่ทีม ขั้นตอนนี้รุดหน้าไปไกล ทว่าเมื่อได้อ่านสัญญาอดีตลมกรดชาว จาเมกา กลับตัดสินใจปฎิเสธ เเละยืนยันว่า "ค่าเหนื่อยน้อยเกินไป" นี่คือเรื่องที่หลายคนสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาพยายามทุ่มเทซ้อมและปรับตัวกับฟุตบอลแทบตาย แต่เมื่อได้โอกาสเขากลับทิ้งมันไปด้วยเหตุผลที่ไม่น่าปักใจเชื่อเท่าใดนัก เมื่อสิ่งที่ทุกคนคิดคือ สำหรับโบลท์ เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะเขาเองก็น่าจะมีพออยู่แล้วไม่ใช่เหรอ...

เพราะอะไรจึงปฎิเสธ?

มาริเนอร์ส ให้ค่าเหนื่อยของ โบลท์ อยู่ที่ประมาณปีละ 150,000 ดอลล่าร์ หรือตีเป็นค่าเหนื่อยแบบนักบอลคือ 2,200 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งถือเป็นค่าเหนื่อยระดับกลางๆ ของนักเตะในลีกออสเตรเลีย แต่สิ่งที่ โบลท์ และ เอเย่นต์ ทั้ง 2 ที่เป็นเหมือนแขนซ้ายและแขนขวาของเขาต่อรองกลับมาว่า 3 ล้านดอลลาร์ต่อปี นั่นหมายถึง 44,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ หากเทียบให้เห็นภาพกับนักฟุตบอลยุคปัจจุบันก็เท่าๆ กับ คัลลิม วิลสัน นักเตะของ บอร์นมัธ ที่ยิงประตูใส่แมนฯ ยูไนเต็ด ทีมรักของ โบลท์ มาหมาดๆ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานั่นแหละ

 7

นี่คือราคาค่างวดที่แพงไปสำหรับ มาริเนอร์ส พวกเขาคิดว่าโบลท์ ไม่ได้เก่งจนถึงขนาดต้องใช้ "กฎเบ็คแฮม" หรือ Designated player นั่นคือการจ่ายค่าเหนื่อยแบบไม่อั้น แบบไม่ถูกนับรวมในเพดานค่าเหนื่อย ซึ่งเป็นกฎที่เอลีกใช้เหมือนกับ เมเจอร์ ลีก ซอคเก้อร์ ของสหรัฐอเมริกา พวกเขาจะมองอย่างนั้นก็ไม่ผิด แต่ โบลท์ เองก็มีมุมมองในฝั่งของเขาเช่นกัน

อย่างแรกเลยคือมาริเนอร์ส คือทีมที่เล็กที่สุดใน 10 ทีมเอลีก พวกเขาใช้เงินสนับสนุนจาก FFA (สมาพันธ์ฟุตบอลของออสเตรเลีย) ควบคู่กับการออกเงินเองให้น้อยที่สุดเพื่อรักษาเพดานค่าเหนื่อยผู้เล่นทุกคนในทีม เรียกได้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ มาริเนอร์ส ขึ้นพาดหัวนั่นคือข่าวการพ่ายแพ้คู่แข่งร่วมลีกเป็นประจำ ดังนั้น โค้ช ไมค์ มัลวี่ย์ ของมาริเนอร์ส อยากให้สัญญากับ โบลท์ 1 ปี แต่ในฐานะกองหน้าตัวสำรองลำดับ 3 ของทีม ซึ่งค่าเหนื่อยระดับ 2,200 ปอนด์กับกองหน้าตัวสแตนด์บายก็ถือว่าไม่น่าเกลียดนัก

ทว่าหลังจาก โบลท์ มาทดสอบฝีเท้าล่ะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?

 8

ทีมเล็กๆ ทีมนี้มีคนเข้ามาชมเกมในสนามเกือบเต็มความจุระดับ 10,000 คนทุกนัด ทุกคนพูดถึง กอสฟอร์ด สเตเดี้ยม และต้องการเห็นฝีเท้าของโบลท์ในการลงเล่น เอาแค่ประตูแรกที่เจ้าตัวทำได้ ก็มียอดเข้าชมคลิปถึง 6.24 ล้านวิวในทวิตเตอร์ แถมสื่อทั่วโลกต่างพร้อมใจทำข่าว แค่ขยับตัวก็ยังเป็นที่สนใจเยี่ยงนี้ ก็ไม่ต้องสงสัยว่าทำไม ต่อให้ โบลท์ จะเป็นกองหน้าอันดับที่ 3 ของทีมพวกเขาก็ยังอยากเก็บไว้กับทีมอยู่ดี ดังนั้นการได้รับค่าเหนื่อย 2,200 ปอนด์ต่อสัปดาห์ เมื่อแลกกับสิ่งที่เขาทำให้กับสโมสรมันก็น้อยเกินไปจริงๆ

นอกจากนี้การมาออสเตรเลียของ โบลท์ ไม่ได้มาแบบสุ่มๆ แต่อย่างใด ในช่วงก่อนโอลิมปิกปี 2016 โบลท์ เซ็นสัญญามูลค่าหลายล้านดอลล่าร์กับ Optus โทรคมนาคมรายใหญ่อันดับสองของออสเตรเลีย ซึ่งจ่ายเงินให้ โบลท์ ถึง 30 ล้านเหรียญฯ โเพื่อให้เป็นพรีเซนเตอร์คนสำคัญของพวกเขา โดยเฉพาะปีที่ผ่านมา Optus เปิดตัวโลโก้ใหม่ ซึ่งก็เป็นรูปสายฟ้าอันเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของ โบลท์ อีกด้วย

นอกจากนี้ก่อนที่จะเข้าฝึกซ้อมกับ มาริเนอร์ส โบลท์ ยังเพิ่งเดินทางมาที่ ออสเตรเลีย เพื่อคุย "บางสิ่ง" กับ Optus ซึ่งตอนนี้ก็มีการเฉลยเเล้วว่าทางบริษัทจะเปิดตัวเครือข่าย 5G และอยากจะให้โบลท์สานต่อ โดยการเจรจาอยู่ในระหว่างการตกลงปากเปล่ากันเเล้วอีกด้วย

 9

ขณะที่มุมมองของคนในวงการฟุตบอลออสเตรเลียก็ถือว่าเป็นไปในทิศทางทางเดียวกันหลายเสียง พวกเขาเชื่อว่าการมาของ โบลท์ คือเพื่อ PR เท่านั้นและมั่นใจว่าเขายังดีไม่พอที่จะเป็นนักเตะอาชีพ

"สำหรับเอลีกนี่อาจจะเป็นการ PR ที่ดี แต่สำหรับผมเเล้วผมว่าไม่เวิร์คนะ ผมไม่เชื่อว่าเขาจะเล่น เอลีกได้หรอก" มาร์คุส บับเบิ้ล อดีตปราการหลังทีมชาติเยอรมันซึ่งเป็นกุนซือของ เวสเทิร์น ซิดนี่ย์ วันเดอเรอร์ส กล่าว

ขณะที่อดีตกุนซือทีมชาติออสเตรเลียที่ปัจจุบันคุมทีม โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส ในเจลีกอย่าง อันเก้ ปอสเตโคกลู ก็เห็นในทิศทางเดียวกัน เขาคิดว่ามันยากมากสำหรับการเล่นฟุตบอลอาชีพตอนอายุ 32 ปี

บุคคลเบื้องหลัง

ริคกี้ ซิมส์ ที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของ โบลท์ มีอีกตำแหน่งที่รับผิดชอบ นั่นคือการเป็น ผอ. ของบริษัท Pace Sports Management ที่กรุงลอนดอน เขาเชื่อมั่นว่า โบลท์ ต้องดีพอกับลีกไหนสักแห่ง ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการต่อราคาระหว่าง โบลท์ กับ มาริเนอร์ส

 10

ในตอนแรกก่อนทดสอบฝีเท้า ซิมส์ เรียกค่าเหนื่อยให้โบลท์ไม่ถึง 3 ล้านเหรียญ เพราะจำนวนที่เปิดเผยจากสื่ออย่าง เดอะ การ์เดี้ยน ชี้ให้เห็นว่าเขาเรียกไว้ที่ 2.25 ล้านเหรียญเท่านั้น โดยแบ่งเป็นการรับเงินจากสโมสร 1.5 ล้านเหรียญ และอีก 750,000 เหรียญจากสมาพันธ์ฟุตบอลออสเตรเลีย

ดังนั้นอีก 750,000 ในสัญญา 3,000,000 เหรียญสหรัฐฯ มาจากไหน? เรื่องดังกล่าวเป็นฝีมือของ โทนี่ รัลลิส เอเย่นต์ชาวออสเตรเลีย ซึ่งมีนักเตะหัวแถวของเอลีกหลายรายอยู่ในการดูแล โดยในอดีตเขาก็เคยนำตำนานของ ลิเวอร์พูล อย่าง เอียน รัช มาเล่นให้กับ ซิดนี่ย์ โอลิมปิก เมื่อปี 1999 และเมื่อเวลาผ่านไป เขาคนนี้ก็มีคอนเน็คชั่นกว้างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

ซิมส์ มี โบลท์ … รอลลิส มีเครือข่าย นี่คือการรวมเป็นทีมที่ดี ว่ากันว่า รอลลิส คือหัวหอกที่เสนอ โบลท์ ให้กับ วัลเล็ตต้า เอฟซี ทีมจาก มอลต้า ทว่ามันก็ดูจะเล็กเกินไปสำหรับเขา (แม้ตัวโบลท์จะให้เหตุผลว่า เขาต้องการลุยกับโอกาสตรงหน้าที่มีให้ดีที่สุดก่อนก็ตาม) ซึ่งหากตีราคาจากภาพลักษณ์ โบลท์ ควรจะได้ดีกว่านั้นจริงๆ นั่นแหละ

อนาคตของในการเป็นนักฟุตบอลของ โบลท์ ขึ้นอยู่กับสองคู่หูเอเย่นต์นี้เป็นหลัก ดังนั้นเรื่องทั้งหมดจึงดูเป็นเรื่องยาก ซับซ้อน และมีตัวเลขเข้ามาเกี่ยวพันไปเสียหมด ถ้าเขามองตัวเองในฐานะนักฟุตบอลเหมือนกับนักฟุตบอลคนอื่นๆ ที่ต้องไต่เต้าจากล่างสุดขึ้นไปสู่บนสุด เขาคงกระโจนรับข้อเสนอและพิสูจน์ตัวเองไปแล้ว

 11

แต่เหนือสิ่งอื่นใด โบลท์ ต้องถามตัวเองว่าเขามองตัวเองในฐานะใด จะเอาแบบถูกใจหรือถูกต้อง และที่สำคัญที่สุดที่เขาต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า ไม่สามารถเอาฝีมือตอนเป็นนักวิ่งที่เขาซ้อมทุกวันตั้งแต่เด็กจนโตมาเทียบกับเส้นทางใหม่ที่เขารักแต่เพิ่งเริ่มต้นได้หรอกนะ

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ ของ เรื่องยุ่งๆของคนดัง : หาก "โบลท์" รักฟุตบอลจริงเหตุใดจึงไม่รับข้อเสนอจากมาริเนอร์ส?

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook