"รอสส์ รีบาเกียติ" และ "กัญชาเพื่อนรัก"

"รอสส์ รีบาเกียติ" และ "กัญชาเพื่อนรัก"

"รอสส์ รีบาเกียติ" และ "กัญชาเพื่อนรัก"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

17 ตุลาคม 2018 แคนาดา กลายเป็นประเทศที่ 2 ของโลก ต่อจาก อุรุกวัย ที่อนุญาตให้การใช้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ทางการแพทย์ หรือเพื่อสันทนาการก็ตาม

 

เรื่องดังกล่าวถือเป็นความสำเร็จของ จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีคนหนุ่มของประเทศ ที่ผลักดันนโยบายดังกล่าวจนได้รับการสนับสนุนจากสภา ยิ่งไปกว่านั้น การทำให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ได้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะสั้นอีกด้วย เพราะหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ไม่กี่วัน ชาวแคนาดาจำนวนมากต่างออกมาหาซื้อกัญชาจนขาดตลาดเลยทีเดียว

และไม่ต้องสงสัยเลยว่า รอสส์ รีบาเกียติ นักกีฬาสโนว์บอร์ดดีกรีเหรียญทองโอลิมปิก พระเอกของเรื่องในคราวนี้คืออีกคนที่ดีใจ เพราะสิ่งที่เขาพยายามผลักดันมาโดยตลอด ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จเสียที

แรกรักพืชสีเขียว

“ถ้าจะถามว่าเริ่มสูบกัญชาครั้งแรกเมื่อไหร่น่ะเหรอ ผมจำได้ว่าเป็นช่วงปลายยุค 1980 นะ” รีบาเกียติเปิดใจถึงครั้งแรกที่ได้ลองพืชเพื่อความบันเทิงชนิดนี้

 1

นั่นคือช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับครั้งแรกของการหัดเล่นสโนว์บอร์ด เมื่อปี 1987 แต่เจ้าตัวกลับบอกว่า ประสบการณ์ครั้งแรกกับกัญชาไปได้ไม่สวยนัก เมื่อเขา “เข้าไม่ถึง” มันเสียอย่างนั้น ทว่าจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องนี้ก็มาเกิดขึ้นในปี 1990

“ปีนั้นผมตัดสินใจย้ายจากเมืองแวนคูเวอร์ซึ่งเป็นบ้านเกิด มาใช้ชีวิตที่เมืองวิสเลอร์ ซึ่งมีชื่อเสียงในการเป็นสถานที่เล่น และฝึกซ้อมกีฬาฤดูหนาวของแคนาดา”

“แน่นอนว่าเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ผมต้องหาที่พักอยู่ร่วมกับเพื่อนนักกีฬาด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักกีฬาเอ็กซ์ตรีมซึ่งมีวิถีชีวิตไม่ต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่ผมเห็นในทุกๆ วัน คือการที่พวกเขาตื่นนอน แล้วก็เริ่มพันลำเลย ผมก็แบบ ‘เฮ้ย! นี่พวกนายเล่นกันตั้งแต่เช้าเลยเรอะ?’”

หลายคนมักจะพูดว่า เพื่อน มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนพฤติกรรม รวมถึงความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ ซึ่งกรณีของรีบาเกียติกับกัญชาก็ไม่ต่างกัน…

“ด้วยความที่สภาพแวดล้อมมันเป็นแบบนั้น ผมก็เลย ‘เอาวะ! ขอกลับมาลองซักหน่อยเหอะ’ แต่คราวนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป กลายเป็นว่าสำหรับผม กัญชามันช่วยทำให้อึดขึ้น แถมยังลดความเจ็บปวดของร่างกายไปพร้อมกัน มันทำให้ผมไม่รู้สึกว่าการออกกำลังกายหรือซ้อมเป็นเรื่องที่น่าเบื่ออีกต่อไป แต่เหมือนล่องลอยอยู่ในสวรรค์”

 2

“พูดให้ชัดก็คือ เจ้าสิ่งนี้มันได้เปลี่ยนความคิดที่มีในหัวของผมเกี่ยวกับการเป็นนักกีฬาไปตลอดกาลเลยก็ว่าได้”

โอลิมปิกแห่งความพลิกผัน

นับจากนั้นเป็นต้นมา รีบาเกียติกับกัญชาก็เหมือนคู่ตุนาหงัน เขาใช้กัญชาระหว่างการฝึกซ้อมอยู่เสมอ ขณะเดียวกันเส้นทางอาชีพนักกีฬาของเขาก็ก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ เริ่มจากการเป็นนักกีฬาอาชีพ จนมีชื่อติดทีมชาติในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวปี 1998 ที่เมืองนางาโนะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์วินเทอร์โอลิมปิก ที่สโนว์บอร์ดได้รับการบรรจุให้เป็นกีฬาชิงเหรียญรางวัล

 3

8 กุมภาพันธ์ 1998 รอสส์ รีบาเกียติ ลงทำการแข่งขันในประเภท ไจแอนท์ สลาลม ซึ่งนักกีฬาแต่ละคนต้องทำเวลา 2 รอบ รอบแรก เขาทำเวลาเข้ามาเพียงอันดับ 8 ก่อนเข้าป้ายอันดับ 2 ในรอบสุดท้าย แต่อันดับหาใช่สิ่งสำคัญไม่ เพราะกติการของการแข่งขัน คือนำเวลาของทั้งสองรอบมารวมกันเพื่อตัดสินผู้ชนะ

ผลปรากฎว่า เวลารวมของรีบาเกียติอยู่ที่ 2 นาที 03.96 วินาที และเป็นคนที่เร็วที่สุด จึงคว้าเหรียญทองไปครองโดยเฉือน โธมัส พรุคเกอร์ จากอิตาลี ซึ่งรีบาเกียติเองก็มีเชื้อสายอยู่ด้วยเพียง 0.02 วินาทีเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังถือเป็นเหรียญทองแรกของแคนาดาในกีฬาสโนว์บอร์ดอีกด้วย

แน่นอนว่าฝ่ายจัดการแข่งขันต้องขอตรวจปัสสาวะของนักกีฬาที่ได้เหรียญรางวัลตามปกติ ซึ่งรีบาเกียติก็ทำด้วยความเต็มใจ พร้อมกับกล่าวว่า นี่คือเกียรติอย่างสูงส่งที่ได้ทำการตรวจฉี่ในคราวนี้

หลังพิธีมอบเหรียญรางวัลสิ้นสุด รีบาเกียติที่มีโปรแกรมลงแข่งรายการดังกล่าวเพียงรายการเดียวก็เปลี่ยนตัวเองสู่โหมดปาร์ตี้อย่างสมบูรณ์แบบ ชนิดที่ลืมเรื่องราวการตรวจฉี่หลังการแข่งขันไปเสียสนิท เพราะคิดว่าอย่างไรเสีย ทุกอย่างก็น่าจะเป็นไปด้วยดี ไม่มีปัญหา...

กระทั่งในช่วงเช้าของอีก 3 วันต่อมา โค้ชประจำทีมได้ขึ้นมาหาถึงห้องพัก พร้อมกับให้ทุกคนที่อยู่ในห้องออกไปจนเหลือเพียงเขาคนเดียว ก่อนที่จะแจ้งให้ทราบว่า “นายตรวจโด๊ปไม่ผ่าน”

สิ้นเสียงดังกล่าว รีบาเกียติแทบจะล้มทั้งยืน สิ่งแรกที่เขานึกออกคือคำว่า “∗บหายละ” พร้อมกับความมั่นใจว่า ที่ตรวจโด๊ปไม่ผ่าน ต้องเป็นเพราะกัญชาแน่ๆ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อผลตรวจระบุว่า ในปัสสาวะของเขามีสารประกอบของกัญชา 17.8 นาโนกรัม/มิลลิลิตร เกินกว่ามาตรฐานในขณะนั้นที่กำหนดให้มีไม่เกิน 15 นาโนกรัม/มิลลิลิตร เพียงเล็กน้อย (ล่าสุดเมื่อปี 2013 ได้มีการกำหนดมาตรฐานใหม่ โดยหากพบไม่เกิน 150 นาโนกรัม/มิลลิลิตร ก็จะไม่ถือว่าเป็นการโด๊ป)

เรื่องดังกล่าวกลายเป็นข่าวใหญ่ในโอลิมปิกฤดูหนาวคราวนั้นทันที ซึ่งเจ้าตัวตัดสินใจใช้ความจริงเข้าสู้ โดยยืนยันว่า แม้เขาจะสูบกัญชาเป็นประจำก็จริง แต่ก็ได้หยุดใช้เพื่อเตรียมแข่งโอลิมปิกตั้งแต่เมื่อเดือนเมษายน 1997 แล้ว แถมยังผ่านการตรวจโด๊ปทุกครั้งก่อนหน้านั้นอีกด้วย ทว่าการพบปริมาณกัญชาดังกล่าวในปัสสาวะ ตัวเขามั่นใจว่าเกิดจาก “ควันกัญชามือสอง” จากการที่ยังคบค้าสมาคมกับกลุ่มเพื่อนที่ใช้อยู่เสมอนั่นเอง

ถึงกระนั้น คณะกรรมการโอลิมปิกสากล หรือ IOC ได้ลงมติตัดสินให้ยึดเหรียญทองดังกล่าว ขณะที่ตัวรีบาเกียติเองก็ถูกตำรวจญี่ปุ่นควบคุมตัว เพื่อสอบสวนเพิ่มเติมว่า เจ้าตัวมีกัญชาในครอบครองหรือไม่ ซึ่งถ้ามี ก็จะต้องเจอโทษหนักตามไปด้วย เนื่องจากสำหรับที่นั่น ภาพลักษณ์ของกัญชาก็ไม่ต่างจากสิ่งเสพติดฤทธิ์ร้ายแรง

 4

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการโอลิมปิกแคนาดาตัดสินใจที่จะอยู่เคียงข้างนักกีฬา ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลกีฬาโลก หรือ CAS ด้วยเชื่อในคำให้การของรีบาเกียติ และจากการที่ในสมัยนั้น กัญชายังไม่ได้ถูกจัดให้เป็นสารต้องห้ามโดยองค์กรต่อต้านการใช้สารกระตุ้นโลก หรือ WADA ที่สุดแล้ว ทาง CAS จึงตัดสินให้รีบาเกียติไม่มีความผิด สามารถเก็บเหรียญทองโอลิมปิกที่คว้ามาได้ต่อไป ซึ่งช่วยให้เจ้าตัวรอดจากการถูกทางการญี่ปุ่นดำเนินคดีเช่นกัน

จากผู้เสพสู่ผู้ค้า

หลังกลับถึงบ้านเกิด รีบาเกียติก็ได้กลายเป็นคนดังชนิดชั่วข้ามคืน ได้ไปออกรายการทีวีชื่อดังอย่าง The Tonight Show และ Staurday Night Live รวมถึงเคยมีโอกาสได้ไปดูดกัญชาร่วมมวนกับ คีธ ริชาร์ดส์ ตำนานมือกีตาร์สายเขียวของวง The Rolling Stones ถึงหลังเวทีคอนเสิร์ตอีกด้วย

 5

ทว่าชีวิตในฐานะนักกีฬาก็ก้าวสู่จุดจบไปด้วยพร้อมกัน เนื่องจากไลฟ์สไตล์ด้านการ “ดูด” ของเขา ทำให้สปอนเซอร์หลายรายตัดสินใจถอนตัว ส่งผลให้ประสบความยากลำบากในการเดินทางไปแข่งขันที่ต่างประเทศ โดยเฉพาะ สหรัฐอเมริกา เมืองหลวงแห่งกีฬาเอ็กซ์ตรีม ที่สุดแล้ว ก็อำลาวงการไปอย่างเงียบๆ

กระทั่งปี 2013 ชื่อของรีบาเกียติกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง เมื่อเจ้าตัวตัดสินใจเบนเข็มสู่เส้นทางสายเขียวอย่างครบวงจร ด้วยการเปิด Ross' Gold Glass เพื่อทำธุรกิจขายกัญชาและอุปกรณ์การสูบอย่างเต็มรูปแบบ

 6

“อันที่จริงมันก็ไม่ง่ายเลยนะ” เจ้าตัวเผยถึงเรื่องราวในเริ่มต้นเส้นทางใหม่ “เหตุผลที่ผมสร้างธุรกิจนี้ขึ้นมา ก็เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายเสียที แต่ก่อนหน้านั้นผมเองก็ล้มเหลวมาหลายรอบ จนกระทั่งมาเจอหุ้นส่วนทางธุรกิจ ซึ่งมีทั้งเงินทุนและความรู้ทางธุรกิจ ส่วนผมมีวิสัยทัศน์ รวมถึงความเข้าใจทางการตลาดและการโฆษณา จนประสบความสำเร็จในที่สุด”

ถึงกระนั้น กระแสจากสังคมบางส่วน โดยเฉพาะฝั่งผู้มีอำนาจทางการเมือง ก็ไม่ใคร่จะเห็นด้วยกับธุรกิจใหม่ของเขานัก “มีคนในสภาเคยพูดกับผมว่า ‘นายไม่น่าใช้ภาพลักษณ์เหรียญทองโอลิมปิกมาทำอะไรแบบนี้’ ผมนี่ขึ้นเลย ตอบเขาไปว่า ‘ท่านครับ เราก็รู้ว่าท่านเองก็ชอบดื่ม ฉะนั้นอย่าบอกว่าผมควรจะทำอะไรกับไอ้เหรียญทองนี่เลย’”

การผลักดันที่ยังไม่สิ้นสุด

นอกจากความหวังในการผลักดันให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายแล้ว รีบาเกียติยังเผยด้วยว่า เรื่องราวของเขายังเป็นการทำให้ทัศนคติที่ผู้คนมองเกี่ยวกับกัญชาเปลี่ยนไปด้วย

 7

“ตอนปี 1998 ที่ภาพจำของคนใช้กัญชาที่สังคมเคยมองเปลี่ยนไป ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะผมนะ ผมไว้ผมสั้นเรียบร้อยต่างจากที่คนมองว่าคนสูบกัญชาคือพวกฮิปปี้ แถมยังคว้าเหรียญทองโอลิมปิกได้อีก ตอนนั้นถือว่าสภาพร่างกายของผมดีที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้”

การผลักดันที่เกิดขึ้นจากตัวเขาและภาคส่วนอื่นๆ ในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความรู้ในเรื่องดังกล่าว ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้กฎหมายที่เกี่ยวกับกัญชาของแคนาดาผ่อนคลายลงด้วย เริ่มจากอนุญาตให้ใช้ทางการแพทย์ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดซึ่งมีผลการศึกษายืนยันแล้ว จนกระทั่งอนุญาตให้ใช้เพื่อสันทนาการด้วยแล้วในปัจจุบัน

“จริงๆ ตอนที่เราสร้างธุรกิจนี้ขึ้นมา เราเน้นไปที่การใช้เพื่อเป็นยา ซึ่งแม้แต่ลูกๆ ของผมก็รู้นะ เพราะเวลาผมกับเมียพันลำ พวกเขาก็เห็น” รีบาเกียติเล่า “แต่ด้วยกฎหมายที่เปลี่ยนไป แน่นอนว่าบริษัทของผมก็ได้ผลประโยชน์ด้วย ถือเป็นโอกาสใหม่ทางธุรกิจเลยก็ว่าได้ ซึ่งผมก็ยินดีนะ สำหรับการถือคบเพลิงเพื่อส่องสว่างในเรื่องกัญชามากว่า 20 ปี”

อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวยังมีอีกสิ่งที่ต้องการผลักดันให้เกิดขึ้น นั่นคือการทำให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายในวงการกีฬาด้วย เนื่องจาก WADA ยังบรรจุให้พืชสีเขียวนี้เป็นหนึ่งในสารต้องห้าม เช่นเดียวกับในการแข่งขันหลายรายการ อย่างอเมริกันฟุตบอล NFL และบาสเกตบอล NBA แม้ในปี 2018 WADA ได้ถอด CBD หรือ Cannabidiol สารสกัดจากกัญชาที่มีสรรพคุณบรรเทาความเจ็บปวดจากบัญชีสารต้องห้ามแล้วก็ตาม

 8

“ผมอยากให้หน่วยงานต่างๆ ศึกษาสรรพคุณของกัญชาให้มากขึ้นนะ เพราะถ้านักกีฬาสามารถสูบบุหรี่ หรือดื่มสุรา ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ มันก็ไม่มีเหตุผลว่าทำไม นักกีฬาจะใช้สิ่งที่ดีต่อสุขภาพเพื่อช่วยให้พวกเขายังโชว์ฟอร์มในระดับสูงต่อไปไม่ได้” รีบาเกียติกล่าวทิ้งท้าย

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ ของ "รอสส์ รีบาเกียติ" และ "กัญชาเพื่อนรัก"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook