ลิเวอร์พูลทุนนิยม
"เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีเงินก็ซื้ออะไรไม่ได้สักอย่าง" ประโยคนี้ไม่รู้ว่าใครเริ่มต้นพูดเป็นครั้งแรก แต่คนผู้นั้นน่าจะเติบโตและได้รับการเลี้ยงดูจากสังคมทุนนิยมเป็นแน่
ทุนนิยมที่นักวิชาการพยายามหาสรรคำใหม่ๆ ว่าบริโภคนิยมหรืออะไรก็ตามมีหลักง่ายๆ ว่า หามาให้ได้มากกว่าที่ใช้ไป ถ้าคุณมีรายได้เดือนละ 10,000 บาท กินข้าววันละ 100 บาท 30 วันต่อเดือน แน่นอนว่าเงินเหลือ
แต่ความเป็นจริงแล้วชีวิตเรามีต้นทุนมากกว่านั้น ทั้งค่าเดินทาง ค่าเสื้อผ้า ถ้าใครมีครอบครัว รายจ่ายก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ทั้งผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ส่งลูกไปโรงเรียน
ดังนั้นการแก้ปัญหาก็ทำได้โดยหางานที่ทำให้มีรายได้มากขึ้น ถ้าเงินเดือนสูงหลักแสน ก็ใช้ชีวิตได้สบาย เหมือนที่ เรอัล มาดริด ซื้อแข้งชั้นนำของโลกแบบไม่สนใจบัญชีตัวแดง เพราะคำนวณยอดขายเสื้อก็แทบจะคืนทุนแล้ว (ถ้าไม่โดนพิษของเลียนแบบราคาถูก ไม่อยากจะนึกว่าสโมสรจะร่ำรวยแค่ไหน)
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นลีกอันดับ 1 ของโลกที่ใช้จ่ายในการซื้อนักเตะมากที่สุด รวม 760 ล้านปอนด์ (41,800 ล้านบาท) แน่นอนว่า เจ้าของสถิติอันดับต้นๆ อยู่ที่สโมสรยักษ์ใหญ่
1. เชลซี 130 ล้านปอนด์ (7,150 ล้านบาท)
2. ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 127 ล้านปอนด์ (6,985 ล้านบาท)
3. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 110 ล้านปอนด์ (6,050 ล้านบาท)
4. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 74 ล้านปอนด์ (4,070 ล้านบาท)
5. ลิเวอร์พูล 55 ล้านปอนด์ (3,025 ล้านบาท)
6. อาร์เซน่อล 52 ล้านปอนด์ (2,860 ล้านบาท)
แม้จะขาย แกเร็ธ เบล ได้เงินมหาศาล แต่ เอวีบี ก็ละลายให้ น้องไก่ เร็วเช่นกัน
หลุยส์ ซัวเรซ ศูนย์หน้าฟันจอบของ ลิเวอร์พูล บอกว่า คงเป็นอะไรที่สุดยอดทีเดียว ถ้าคว้าแชมป์ลีกได้ทั้งที่ใช้เงินน้อยกว่าทีมร้อยล้านอย่าง เชลซี และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ รวมถึงทีมเงินสะพัดแบบ อาร์เซน่อล เราลงทุนน้อย แต่มาได้ไกลขนาดนี้ก็เหลือเชื่อมาก
อะไรนะ?
2 ทีมแรกก็ใช่อยู่ แต่ อาร์เซน่อล น่าจะเป็นความสับสนอะไรบางอย่าง! และ 50 จาก 52 ล้านปอนด์ นั่น ก็ทุ่มให้ เมซุต โอซิล ล้วนๆ แบบที่สาวก "ปืนใหญ่" เคยเอ่ยว่า "ตัวเดียวเสียวทั้งลีก!" นั่นล่ะ
บางที ซัวเรซ อาจจะนึกไม่ออกว่าสโมสรจ่ายอะไรไปบ้าง เพราะตัวแพงอย่าง มามาดู ซาโก้ (19 ล้านยูโร), ยาโก้ อาสปาส (9 ล้านยูโร), หลุยส์ อัลแบร์โต้ (8 ล้านยูโร) และติอาโก้ อิลอรี่ (8.25 ล้านยูโร) ไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าที่ควร คนที่เข้าท่าที่สุดคือ ซิมง มิโญเล่ต์ (10 ล้านยูโร) นายด่านมือ 1 เท่านั้น
แค่ 3 นักเตะรุ่นใหญ่ ก็จัดหนักไปหลายตังค์แล้วน๊าาาาาา....
ไม่ได้จะเหน็บแนม แต่คงพูดได้ไม่เต็มปากว่า ลิเวอร์พูล เป็นทีมเบี้ยน้อยหอยน้อย และถ้า ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ไม่ฝันใหญ่เกินตัวหรือมีกุนซือที่พร้อมจะล้างไพ่เก่าอย่าง อังเดร วิลลาส โบอาส (ที่เข็ดกับการเก็บคนแก่) ลิเวอร์พูล คงอยู่ในข่ายทีมที่ใช้เงินไม่น้อย สำหรับสโมรที่ไม่ได้ไป ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปีที่แล้ว ยังไม่หมดเท่านั้น เชื่อสิว่า ถ้ามี ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ล่อใจ ลิเวอร์พูล ก็ใช้เงินได้มากกว่านี้
แม้จะบอกว่าอยากรัดเข็มขัดหรือเดินตามกฎ ไฟแนนเชี่ยล แฟร์เพลย์ แต่ถ้ามีโอกาสที่จะได้ใช้เหมือนเพื่อนๆ พี่บิ๊ก มีหรือที่จะนิ่ง เหมือนครั้ง เคนนี่ ดัลกลิช คุมทีม เงินสะพัดกว่าร้อยล้านปอนด์ แต่พอปลูกต้นไม้ไม่ได้ผลอย่างที่เห็น จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่ เลยบอก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ว่า เบาๆ หน่อย
ความจริงหากมองจากรายชื่อผู้เล่นตัวจริงก็จะมีเด็กปั้นอย่าง จอห์น ฟลานาแกน และราฮีม สเตอร์ลิ่ง เท่านั้นที่ตอบโจทย์นักเตะจากอะคาเดมี่ ส่วนที่เหลือเกินครึ่งก็ได้จากการซื้อสะสมมาทั้งนั้นอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, โจ อัลเลน, เฟลิเป้ คูตินโญ่ และ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ หลายคนเป็นอังกฤษทำให้มีบ้างที่จะหลงลืมว่า เงินก็เป็นส่วนประกอบหลักของการสร้างทีม
สเปอร์ส เป็นทีมระดับยูโรปา แต่จากการขายฝันว่าเราจะไป แชมเปี้ยนส์ ลีก และเคยไปมาแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ เมื่อ 3 ปีก่อน 1 ครั้ง และควรจะได้ไปอีก 1 ครั้ง ถ้าไม่เพราะโดน เชลซี ย่ำยีด้วยการคว้าแชมป์ยุโรปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว การขายฝันจึงเห็นเป็นรูปธรรมมากกว่า ลิเวอร์พูล ที่ 3 ปีผ่านมายังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ดังนั้นคนที่อยากได้หรืออยู่ในข่ายซึ่งแมวมองร่อนไปดูฟอร์มทั้ง เนมานย่า มาติช, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หรือ คริสเตียน อีริคเซ่น ถึงได้เลือกไปอยู่ที่อื่น
ความ จริงแล้ว ถ้า ซัวเรซ อยู่กับ เอฟเวอร์ตัน แล้วพูดอย่างนี้ออกมาคงจะไม่มีใครเถียงว่าพวกเขาใช้เงินน้อยทำทีมได้ดี และมีกุนซือสมองเพชรอย่างแท้จริง เพราะ เอฟเวอร์ตัน มาเป็นที่ 7 ลงทุนในซีซั่นนี้ไป 21 ล้านปอนด์ (1,155 ล้านบาท) น้อยกว่าเพื่อนบ้านแถว เมอร์ซี่ย์ไซด์ 2.5 เท่า
ไม่ใช่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ไม่เก่ง เขาน่าเห็นใจทีเดียวตอนที่มารับงานต่อจาก "คิงเคนนี่" เพราะข้อจำกัดหลายอย่างทำให้เขาฟุ้งเฟ้อไม่ได้ และจนถึงนาทีนี้เขาได้รับการยอมรับแล้วว่ามีฝีมือในขณะที่การลงทุนฝืดเคือง ไม่เป็นอย่างใจ และไม่รู้จะเอาอะไรมาอ้างเพื่อขายฝัน นอกจากชื่อเสียงเก่าๆ
ไม่ใช่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ไม่เก่ง เขาน่าเห็นใจทีเดียวตอนที่มารับงานต่อจาก "คิงเคนนี่" เพราะข้อจำกัดหลายอย่างทำให้เขาฟุ้งเฟ้อไม่ได้ และจนถึงนาทีนี้เขาได้รับการยอมรับแล้วว่ามีฝีมือในขณะที่การลงทุนฝืดเคือง ไม่เป็นอย่างใจ และไม่รู้จะเอาอะไรมาอ้างเพื่อขายฝัน นอกจากชื่อเสียงเก่าๆ
นอกจากเรื่องเงินและความสำเร็จของสโมสร การซื้อนักเตะ 1 คนมีปัจจัยมากมาย แต่ถ้าปีนี้พวกเขาได้ชื่อว่า แชมป์ พรีเมียร์ลีก และซิวพื้นที่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ชีวิตจะง่ายขึ้นจม
ไม่บอกหรอกว่าใคร แต่ไม่ใช่แฟนหงส์