Premier League Review by Mark Suradej

Premier League Review by Mark Suradej

Premier League Review by Mark Suradej
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอล : การขับเคี่ยวลุ้นตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษฤดูกาลนี้กลับมามีสีสันอีกครั้งหลังจากการเก็บได้เพียงแค่คะแนนเดียวของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ ไวท์ ฮาร์ท เลน

ขณะที่ "แชมป์เก่า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่พลาดในการทุบ ฟูแล่ม คาบ้านตัวเอง ทำให้ช่องห่างของคะแนนถูกบีบให้เหลือเพียง 5 คะแนน ด้าน "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล โชว์ผลงานสุดสวยด้วยการเปิดบ้านถล่มแหลก นอริช ซิตี้ ถึง 5-0

ตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกที่ว่าอยู่ในมือของจ่าฝูงอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แน่ๆแล้วอาจจะไม่แน่ขึ้นมาได้เหมือนกันหลังจากผลการแข่งขันเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาสถานการณ์ด้านบนหัวตารางมีการขยับเล็กน้อยหลังจากในเกมวันเสาร์ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ "แชมป์เก่า" เปิดบ้านพบกับ ฟูแล่ม และเอาชนะไปได้ตามคาด 2-0

โดยเกมนี้ ดาบิด ซิลบา เพลย์เมคเกอร์ชาวสเปนของ ซิตี้ กลายเป็นฮีโร่ของทีมอีกครั้งเมื่อจัดการเหมาทำคนเดียวทั้งสองประตูให้ ซิตี้ บีบช่องว่างจาก 7 คะแนนเข้ามาเหลือเพียง 4 คะแนนก่อนชั่วคราวเพราะกว่าที่ ยูไนเต็ด จะลงสนามนั้นต้องรอจนถึงวันอาทิตย์

เล่นไปเพียง 95 วินาที ซิลบา ก็ตามเก็บลูกยิงกระฉอกของ เอดิน เชโก้ ที่ มาร์ค ชวาร์เซอร์ รับหลุดออกมาให้ ซิตี้ ขึ้นนำไปก่อน ฟูแล่ม แทบไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้กับแนวรับเจ้าถิ่นเลย อย่างไรก็ดี สตีฟ ซิดเวลล์ เกือบจะตีเสมอให้กับ ฟูแล่ม ได้ในครึ่งแรกแต่ลูกโหม่งของเขาไปชนเสาเสียก่อน

ครึ่งหลังแม้เกมตรงกลางจะดูเป็นรอง ฟูแล่ม นิดๆ แต่ ซิตี้ ยังมีหัวหอกอย่าง เชโก้ และ เตเวซ ที่คอยสร้างปัญหาให้กับ ชวาร์เซอร์ ได้เป็นระยะๆ จนกระทั่งมาถึงนาทีที่ 69 ซิลบา ประสานงานกับ เตเวซ และ กลิชี่ ก่อนจะหลุดเข้าไปยิงผ่าน ชวาร์เซอร์ เป็น 2-0

ช่วงเวลาที่เหลือ ฟูแล่ม พยายามจะเอาประตูคืนกลับมาแต่ก็ทำไม่ได้ เชโก้ เองเกือบจะฝัง ฟูแล่ม อย่างเด็ดขาดแต่เขากลับพลาดจากระยะแค่ 6 หลาเท่านั้น สุดท้าย ซิตี้ เก็บชัยชนะที่ต้องการและตามจี้ ยูไนเต็ด ห่างเพียงแค่ 4 คะแนน

ที่ แอนฟิลด์ ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ และ หลุยส์ ซัวเรซ ได้ออกสตาร์ทคู่กันเป็นหนแรกในเกมที่เปิดบ้านรอรับ นอริช ทีมที่พวกเขาเคยถล่มแหลกมาแล้วเมื่อต้นฤดูกาล

45 นาทีแรก ลิเวอร์พูล หนีห่าง นอริช ไปก่อนแล้วถึง 2-0 จากประตูของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ หลุยส์ ซัวเรซ ก่อนที่ครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล จะเดินหน้าทำได้อีก 3 ประตูจาก สเตอร์ริดจ์, สตีเว่น เจอร์ราร์ด และประตูสุดท้ายเป็น เบนเน็ตต์ เซนเตอร์ของ นอริช สกัดเข้าประตูเอง โดยประตูที่ สเตอร์ริดจ์ ทำได้นั้นทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนแรกของ ลิเวอร์พูล ต่อจาก เรย์ เคนเนดี้ ด้วยที่ทำประตูได้ใน 3 เกมแรกของตัวเองในปี 1974

ชัยชนะทำให้ ลิเวอร์พูล เขยิบขึ้นไปอยู่อันดับ 7 และยังมีลุ้นพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้าน นอริช ที่เก็บได้เพียงคะแนนเดียวจาก 18 คะแนนหลังสุดที่เป็นไปได้ในเกมเยือน ก็อาจจะต้องเร่งทำคะแนนแล้วหากไม่อยากไปดิ้นรนหนีตายในช่วงตอนท้ายฤดูกาล

ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในวันอาทิตย์ เหล่าแฟนๆสิงโตน้ำเงินคราม ได้เฮกันครั้งแรกกับชัยชนะเกมลีกในบ้านตัวเองในปี 2013 โดยเกมนี้เล่นไปได้แค่ 16 นาที สกอร์บอร์ดใน เดอะ บริดจ์ ก็ขยับเป็นเจ้าบ้านนำห่าง 2-0 แล้วหลังจาก ฆวน มาต้า และ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ช่วยกันทำประตูให้กับทีม

โดยประตูของ แลมพาร์ด ทำให้เขาสะสมยอดรวมประตูให้กับ เชลซี เป็น 195 ประตูแล้ว และยังเป็นจุดโทษหนที่ 8 ของ เชลซี ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ด้วยซึ่งนับเป็นตัวเลขที่มากกว่าทุกทีมในลีกเดียวกัน

อย่างไรก็ดีในช่วงกลางสัปดาห์ เชลซี เคยมีประสบการณ์แล้วกับการนำ เซาแธมป์ตัน ก่อน 2-0 แต่สุดท้ายกลับมาโดนแบ่งแต้มอย่างน่าเจ็บใจและทำให้โอกาสลุ้นแชมป์ลีกของพวกเขาต้องหลุดลอยไปด้วย ตลอดครึ่งแรกเกมของ อาร์เซน่อล ปะติดปะต่อกันแทบไม่ได้เลย

จนกระทั่งกลับมาเล่นในครึ่งหลัง เวนเกอร์ คงจะโวยวายลูกทีมของตัวเองถึงทำให้เกมของพวกเขาค่อยกลับมาดูดีขึ้นกว่าเดิมและพวกเขาก็ตีไข่แตกได้สำเร็จเมื่อผ่านมาถึงนาทีที่ 58 โดยเป็น ซานติ กาซอร์ล่า ที่จ่ายบอลทะลุไปให้กับ ธีโอ วัลค็อตต์ ซัดผ่าน ปีเตอร์ เช็ก เข้าไปได้ และนับเป็นประตูที่ 9 ในฤดูกาลนี้ของดาวเตะทีมชาติอังกฤษอีกด้วย

หลังจาก ซิตี้ เก็บชัยชนะล่วงหน้าไปก่อนในวันเสาร์นั่นทำให้ ยูไนเต็ด ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเก็บชัยชนะให้ได้เช่นกันในเกมที่พวกเขาต้องออกไปเยือนสนาม ไวท์ ฮาร์ท เลน ของ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ทีมที่เคยทำแสบกับพวกเขามาแล้วเมื่อช่วงต้นฤดูกาล

เกมนี้ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ทำประตูที่ 22 ของตัวเขาในฤดูกาลนี้ให้กับ ยูไนเต็ด ขึ้นนำไปก่อนในนาทีที่ 25 หลังจากเขาดึงจังหวะหนีตัวประกบ ไคล์ วอล์คเกอร์ ก่อนจะโหม่งบอลที่เปิดเข้ามาโดย ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ ข้ามมือ ฮูโก้ ยอริส เข้าประตูไป

ชัยชนะทำท่าว่าจะตกเป็นของ ยูไนเต็ด อย่างแบเบอร์เมื่อเวลา 90 นาทีนั้นหมดไปแล้ว อย่างไรก็ดีในช่วงทดเวลาบาดเจ็บล่วงเข้าสู่นาทีที่ 2 ยูไนเต็ด กลับมาเสียประตูอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อความพยายามของ สเปอร์ส ที่จะเอาประตูคืนในช่วงท้ายเกมกลายเป็นจริง


เบอนัวต์ อัสซู-เอก็อตโต้ เปิดบอลมาให้กับ อาร่อน เลนน่อน ที่โยนเข้ามาหน้าประตูให้ คลินท์ เดมป์ซี่ย์ จัดการชาร์จบอลเข้าประตูไปจากระยะไม่กี่หลาและทำให้ ยูไนเต็ด โดน ซิตี้ บีบช่องว่างเข้ามาห่างเหลือเพียงแค่ 5 คะแนนเท่านั้น

ด้าน สเปอร์ส เองยังรั้งอันดับ 4 ไว้ได้อย่างเหนียวแน่นแต่พวกเขาก็พลาดโอกาสจะเอาชนะ ยูไนเต็ด แบบไปกลับได้เป็นหนแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1989/90 ไป และมีการเปิดเผยสถิติการยิงในเกมนี้ของทั้งสองทีมด้วยว่า สเปอร์ส มีโอกาสได้ยิงถึง 25 ครั้งขณะที่ ยูไนเต็ด มีโอกาสทั้งเกมเพียง 5 ครั้งเท่านั้น

ทั้งนี้ในคืนวันจันทร์ยังมีเกมมันเดย์ไนท์ระหว่าง เซาแธมป์ตัน กับ เอฟเวอร์ตัน ให้ได้ลุ้นกันอีก เจ้าถิ่นนั้นต้องการแต้มเพื่อหนีตกชั้นและเพิ่งจะเปลี่ยนกุนซือจาก ไนเจล แอ็ดกิ้นส์ มาเป็น เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ขณะที่ เอฟเวอร์ตัน เองก็ยังได้เบียดสำหรับการไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า และวันพรุ่งนี้ผมจะกลับมาพร้อมกับคอลัมน์ My Liverpool เหมือนเดิม แล้วพบกันครับ

เรื่องโดย "Mark Suradej"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook