มนต์ขลังที่เสื่อมลงไปของบิ๊กแมตช์ (หรือคิดไปเอง)
ฟุตบอล : เมื่อหลายปีที่ผ่านมายิ่งสมัยสิบปีที่แล้วเวลาทีมใหญ่เจอกันไม่ว่าจะเป็นศึกแดงเดือดระหว่างแมนฯ ยูฯ กับลิเวอร์พูล หรือลอนดอนดาร์บี้แมตช์ ระหว่างอาร์เซนอลกับสเปอร์ส์ รวมทั้งกับเชลซีด้วย
แม้กระทั่งเกมระหว่างลิเวอร์พูลกับเชลซีเองก็ตาม มักจะเป็นแมตช์ที่มีการพูดถึงทั้งก่อนเกมและหลังเกมแบบหลายอรรถรส เช่นข่มกัน ถากถางกันและเวลามาเชียร์บอลด้วยกันก็สนุกพร้อมกัน
แต่เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีเกมใหญ่ให้ติดตามถึงสองคู่ก็คือแดงเดือดของสองทีมที่มีแฟนบอลเยอะที่สุดในเมืองไทย รวมทั้งการเจอกันระหว่างอาร์เซนอลกับแมนฯ ซิตี้เองก็ตาม มีความรู้สึก(หรือคิดไปเอง) ว่าความสนุก ความมันส์นั้นน้อยลงกว่าเมื่อสมัยก่อน
ทั้งๆ ที่แต่ละทีมมีเงินมากขึ้นสามารถเสริมทัพนักเตะระดับสุดยอดจากทั่วทั้งยุโรปและทั่วโลกเกือบทั้งทีม ต่างจากสมัยก่อนที่ยังมีนักเตะท้องถิ่นผสมอยู่บ้างเกือบครึ่งทีม
หรือแม้กระทั้งตัวโค้ชหรือผู้จัดการทีม แมนฯ ยูก็ยังเป็นเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเหมือน 20 ปีที่แล้ว อาร์เซนอลก็ยังใช้บริการของอาร์แซน เวนเกอร์เหมือนสิบปีที่ผ่านมา ส่วนทีมอื่นๆต้องบอกว่าเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย
จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ดูบอลบิ๊กแมตช์เจอกันเองแล้วสนุก นับเฉพาะฟุตบอลทีมจากอังกฤษเจอกันคงเป็นยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกรอบรองชนะเลิศเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ระหว่างเชลซีกับลิเวอร์พูลที่สมัยนั้น โจเซ่ มูรินโญ่ ยังเป็นนายใหญ่ของสิงห์บลูส์อยู่ ขณะที่กุนซือลิเวอร์พูลไม่ใช่ใครที่ไหนไกลเป็น ราฟาเอล เบนิเตซที่คุมเชลซีอยู่ตอนนี้
นัดนั้นมีทุกรสชาติและมีความรู้สึกอินไปกับเกมการแข่งขัน ไม่เหมือนตอนนี้ที่ดูบอลแล้วแค่รู้สึกสนุก แต่ไม่อินทั้งๆที่ความสามารถของนักเตะที่มากกว่าสมัยนั้นหรือระบบทีมที่มีความทันสมัยมากขึ้น
พอจบแมตช์ลองมานั่งคิดดูว่าเป็นเพราะแก่แล้วดูบอลมาหลายบิ๊กแมตช์ในชีวิต หรือแค่ความรู้สึกประเดี๋ยวประด๋าวที่เจอกับฟุตบอลเกือบทุกวันเลยอาจจะเบื่อได้ หวังว่าคงไม่ใช่เพราะเกมไม่สนุกจริงๆ
สมัยก่อนจำได้เรื่องของเทคโนโลยีการสื่อสารยังไม่เจริญเหมือนยุคนี้ดังนั้นการติดตามได้ชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลใหญ่แต่ละนัดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไหร่ อาจจะต้องเป็นสมาชิกเคเบิลทีวีเท่านั้นถึงชมได้ รวมทั้งถ้าเกิดไม่มีก็ต้องพยายามดิ้นรนออกไปหาร้านเพื่อนั่งดูฟุตบอลกับเพื่อนให้ได้
นอกจากนั้นยังต้องมาลุ้นว่าทีมที่เลือกชมจะส่งนักเตะซูเปอร์สตาร์ลงเล่นหรือเปล่า กว่าจะรู้ก็ต้องตอนที่การถ่ายทอดสดมาเพียงไม่กี่นาทีก่อนเกมการแข่งขันจะเริ่ม ต่างจากสมัยนี้ที่สมัยเช็กตัวผู้เล่นนักเตะได้ตามเว็บไซต์กีฬาต่างๆยิ่งของทางต่างประเทศมีหลายเว็บเลยทีเดียว
รวมทั้งข่าวก่อนเกมที่มีมากมายว่าคนนู้นเจ็บคนนั้นเจ็บจะลงได้หรือไม่จนบางครั้งสามารถคาดเดาไปเองว่าทีมนั้นชนะแน่นอน
อย่างนัดแดงเดือดที่ผ่านมาก็ยังปักใจเชื่อว่าแมนฯ ยูฯ จะเอาชนะลิเวอร์พูลได้อย่างแน่นอน (ไม่เชื่อไปดูฮอตสกอร์ฉบับวันจันทร์ที่ผ่านมา) เหตุผลไม่ใช่แมนฯ ยูฯ เล่นในบ้านของตัวเอง
แต่เป็นเพราะโรบิน ฟาน เพอร์ซีย์ลงสนามซึ่งเราก็ได้เห็นภาพของอาร์วีพีผ่านสื่อต่างๆนอกจากทีวีเช่นคลิปวิดีโอ ออนไลน์หรือข่าวที่มีมากเหลือเกินทางสื่อต่างๆ
ดังนั้นพอรับทราบข่าวสารข้อมูลมากขึ้นก็จะทำให้ความไม่รู้ ความรู้สึกคาดเดากับผลการแข่งขันน้อยลงเนื่องจากข้อมูลที่เสพสามารถบ่งบอกผลการแข่งขันได้ว่าจะเป็นยังไง ถึงแม้บางครั้งอาจจะไม่ถูกต้องซะทีเดียวก็ตาม
นอกจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นมาว่านักเตะสำคัญสักคนจะถูกไล่ออกไปซะก่อนเหมือนเกมระหว่างอาร์เซนอลกับแมนฯ ซิตี้ที่โลร็องต์ กอสเซียลนี่ไปทะเล่อทะล่าทำร้ายตัวเองตั้งแต่ไม่ถึงสิบนาทีแรก
สำหรับวันนี้ที่เขียนเรื่องมนต์ขลังฟุตบอลที่เสื่อมลงนั้น เขียนจากความรู้สึกและอารมณ์ของตัวเองในการดูบอลช่วงนี้จริงๆ ว่ารู้สึกอย่างนั้น แต่หวังว่าคงเป็นความรู้สึกชั่วคราวเท่านั้น
และสัปดาห์หน้าขอให้หายเพราะมิเช่นนั้นตลอดชีวิตที่เหลือของผมคงได้ดูบอลที่สนุกน้อยลงไปเรื่อยๆซึ่งมันไม่ต่างจากคำสาบดีๆ นี้เอง
เรื่องโดย "หมอเมา"