แมนฯ ยูฯ ชนะใครก็ได้ (โตแล้ว)

แมนฯ ยูฯ ชนะใครก็ได้ (โตแล้ว)

แมนฯ ยูฯ ชนะใครก็ได้ (โตแล้ว)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอล : จบลงอย่างแฮปปี้ เอนดิ้ง จิงเกิลเบลส์ สำหรับอภิมหาสงครามซูเปอร์บิ๊ก แมตช์ ที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการตามพจนานุกรมฉบับแค้นฝั่งหุ่นตยสถาน ว่า "ศึกแดงเดือด" โดยทางฝั่ง "ปีศาจแดง" เป็นฝ่ายย้ำแค้นคว้าชัยได้อีกคำรบ

โหมโรงก่อนเกมศึกแห่งศักดิ์ศรีหนที่ 187 ในประวัติศาสตร์ ประเด็นขัดแย้ง เอวร่า - ซัวเรซ จบไป แต่มีผู้ตัดสินในสนามที่ชื่อ ฮาเวิร์ด เว็บบ์ ให้เป็นประเด็นได้พูดถึงในสภากาแฟ

แมนฯ ยูไนเต็ด ยังขาดกำลังหลักอย่าง เวย์น รูนี่ย์ ที่ยังอยู่ระหว่างเรียกความฟิตจากอาการเจ็บเข่า สวนทางกับ อันแดร์สัน ที่มีชื่อกลับมาอยู่ม้านั่งสำรอง

การจัดตัวของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อาจมีพลิกโผเล็กน้อย ส่ง แดนนี่ เวลเบ็ค ลงสนามเป็นตัวจริงก่อน อันโตนิโอ วาเลนเซีย ส่วน ชินจิ คากาวะ ได้โอกาสลงสัมผัสบรรยากาศแดงเดือดครั้งแรกในชีวิต

2-1 คือสกอร์ในนัดแรก ที่ ยูไนเต็ด บุกไปเผาบ้านเผาเมืองถึงรัง แอนฟิลด์ พร้อมกับข้อครหาต่างๆ นานา และวันนี้ ทีนี่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด สกอร์ดังกล่าวกลับมายึดพื้นที่อีกครั้ง

จะว่าไป ชัยชนะที่ โรงละครแห่งความฝัน ใช่ว่าจะง่ายซะเมื่อไหร่ สำหรับทัพ "ปีศาจแดง" ถือเป็นชัยชนะที่ค่อนข้างหืดจับอยู่พอควร เพราะตัวเอง ทำตังเอง ให้เหนื่อยเอง เท่านั้นเอง

กลายเป็นความเคยชิน เพราะทำบ่อยจนเคยตัว ไอ้ประเภทนำแล้วเน้นความรัดกุม ตั้งรับไว้รอสวนกลับ จนเกมที่ดูข่มแทบทุกรูขุมขน กลับทำให้ตัวเองลำบากใน 45 นาทีหลัง

แน่นอนว่า แมนฯ ยูฯ งัดกลยุทธ์แบบนี้มาบดขยี้ทีมอย่าง เวสต์บรอมวิช หรือว่า วีแกน สำเร็จบรรลุตามเป้าหมายมาแล้ว ชนะไปได้ 2-0 และ 4-0 ตามลำดับ

แต่ขอโทษ เล่นแบบนี้กับทีมบรรดาศักดิ์สูงส่งระดับแชมป์ลีก 18 สมัย พ่วงด้วยแชมป์ยุโรป 5 สมัยอย่าง ลิเวอร์พูล มันค่อนข้างยากเอาการ เพราะพี่เขาไม่ใช่หมูที่จะเฉือนเนื้อมาเคี้ยวได้ง่ายๆ

ข้อมูลต่างๆ นานา สถิติก่อนเกม อันดับตารางคะแนน อาจบ่งชี้ว่า แมนฯ ยูฯ ข่มมิด แต่กับเกมระดับ 5 ดาว 7 เดือน 2 ดวงตะวัน อย่างศึกแดงเดือด ที่มีอัตราความแค้นฝังรากลึกมาตั้งแต่ยุคพระเจ้าสามหำ ย่อมไม่มีใครยอมกัน เพราะศักดิ์ศรีมันค้ำคออยู่นั่นเอง

แสงสปอร์ตไลท์สาดส่องจับจ้องไปที่การวัดความคมระหว่าง โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ กับ หลุยส์ ซัวเรซ 2 กองหน้าตัวความหวังของทั้ง 2 ทีม ที่ยิงระเบิดกันทั้งคู่ในซีซั่นนี้

สังเวียนนี้ "อาร์วีพี" คว้าชัยเหนือศูนย์หน้าที่สาวก "เดอะ ค็อป" ให้ฉายาว่า "คิง หลุยส์" เมื่อสามารถซัดประตูเบิกร่องให้กับทีมได้ในช่วงครึ่งเวลาแรก เพิ่มยอดประตูรวมให้กับตนเองเป็น 17 ลูก นำโด่งดาวซัลโวแต่เพียงผู้เดียว

ต้องแบ่งความดีความชอบกึ่งหนึ่งไปให้กับ ปาทริซ เอวร่า ที่ปาดบอลเรียดเข้ากลางได้ถูกจุดเหมาะเหมง โดยที่ ฟาน เพอร์ซี่ มีหน้าที่แค่เกร็งข้อเท้าซ้ายคุมลูกบอลเปลี่ยนทิศทางให้เข้ากรอบอย่างที่ใจต้องการเท่านั้นเอง

ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ ประตูนี้ เป็นประตูที่ 6 จาก 7 เกมล่าสุด ที่ "อาร์วีพี" ทะลวงตาข่ายใส่ ลิเวอร์พูล ได้ หากนับรวมกับสมัยสวมยูนิฟอร์ม อาร์เซน่อล

ในขณะที่เกม 45 นาทีแรก "ผีแดง" เปิดเกมไล่ต้อนอยู่ฝ่ายเดียว หลุยส์ ซัวเรซ โดดเดี่ยวเดียวดาย ถูกตัดออกจากเกม, สตีเว่น เจอร์ราร์ด เงียบฉี่, โจ อัลเลน ก่อความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ไมเคิ่ล คาร์ริค ผนึก ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ คุมเกมแดนกลางได้อยู่หมัด เพราะตลอดครึ่งแรก ลิเวอร์พูล ได้ลุ้นจะแจ้ง จากลูกยิงช่วงท้ายของ ซัวเรซ ครั้งเดียวเท่านั้น ทุกอย่างดูเข้าทางและเป็นใจ แต่ก็ยังไม่สามารถบวกสกอร์เพิ่มได้

จนกระทั่งที่ ลิเวอร์พูล ภายใต้มันสมองของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือหนุ่มร้อนวิชา ปรับแต่งแก้ไขส่วนที่ศึกหลอ เสี่ยงถอดกองกลางตัวรับอย่าง ลูคัส เลวา ที่มีใบเหลืองติดตัวออก พร้อมกับส่ง แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ กองหน้าตัวใหม่ ที่เพิ่งย้ายมาจาก เชลซี ลงมาล่าตาข่ายในครึ่งหลัง

"หงส์แดง" ยกระดับเกมการเล่นขึ้นมาบดบี้ขยี้แหลก เฉิดฉาย ไฉไล ดูดีมีอนาคต สเตอร์ริดจ์ วูบวาบ เพิ่มงานให้แนวรับ แมนฯ ยูฯ อีกทั้งช่วยให้ ซัวเรซ มีพื้นที่ในการเล่นมากขึ้นกว่าเดิม

โชคดีที่กองทัพ "ปีศาจ" สามารถบวกสกอร์เพิ่มเป็น 2-0 ได้ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ จากลูกฟรีคิกที่ ฟาน เพอร์ซี่ เปิดโค้งไปเสาสองให้ เอวร่า โหม่งไปแฉลบหัว เนมานย่า วิดิช เปลี่ยนทางเข้าประตูไป

ประตูนี้ต้องย้ำอีกครั้งชัดๆ ว่าเป็นเครดิตของ วิดิช นะฮะคุณผู้ชม

แต่เลือดนักสู้สายพันธ์ "หงส์" ยังไม่ย่อท้อ สเตอร์ริดจ์ มายิงประตูตีไข่ไล่มาเป็น 1-2 ให้แฟนๆ มีความหวังถึงขั้นมีลุ้นแชมป์ จนกองหน้าเลือดผู้ดี เจ้าของค่าตัว 12 ล้านปอนด์ กลายเป็นขวัญใจวัยโจ๋คนใหม่ในบัดนาว

โมเมนตัมหมุนเวียนเปลี่ยนทิศ ลำแสงแห่งความหวังส่องสว่างอยู่ที่ปลายอุโมงค์ ภาพแชมป์ยุโรป 5 สมัยล่องลอยมาเติมพลัง และพวกเราจะไม่มีวันเดินเดียวดาย .....

เชื่อได้เลยว่าหมู่มวลสาวก "ผีแดง" เริ่มมีอาการหายใจไม่ทั่วท้อง หัวใจเต้นรัวผิดจังหวะ เพราะถ้า ลิเวอร์พูล ซัดเปรี้ยงตีเสมอได้เมื่อไหร่เท่านั้นแหละพ่อคุณเอ้ย มีหวังโดนล้อยันลูกบวชแน่ หากไม่สามารถคว้าชัยได้ด้วยสกอร์ที่นำก่อนถึง 2 ลูก

โล่งใจไปเปราะที่สกอร์หยุดลงแค่นั้น

ยังไงก็ยกเครดิตให้ลูกทีม "บีร็อด" ด้วยละกันที่สู้ไม่มีถอย จนทำให้เกมสนุนสูสี กลายเป็นศึกแดงเดือดที่สมบูรณ์แบบอีกเกมหนึ่ง

สุดท้ายแล้ว 3 แต้มยังอยู่ในมืออย่างสะอาดไสไร้ข้อพิพาท แม้ผู้พิพากษาในสนามเกมนี้จะมีชื่อว่า ฮาเวิร์ด เว็บบ์ สิงห์เชิ๊ตดำมือ 1 แห่งเกาะอังกฤษ ที่แฟนบอลบางทีมเกลียดยิ่งกว่าขี้ซะอีก

หากจะมีประเด็นปัญหาที่จะต้องพูดถึง ต้องบอกว่าเป็นเหตุการณ์ที่ทัพ "อสูรแดง" เป็นฝ่ายเสียประโยชน์ถึงจะถูก ไม่มีการเป่าเข้าข้างอย่างที่หลายคนหวาดหวั่น

เหตุการณ์ที่ แดนนี่ เวลเบ็ค กองหน้าก้านยาว ได้จังหวะควบบอลหนีตัวประกบ แต่กลับโดน มาร์ติน สเคอร์เทล เหนี่ยวล้มก่อนที่จะพาตัวหลุดเดี่ยวเข้าเขตโทษ ที่จริงแล้วต้องเป็นใบแดง

แต่พอจะเข้าใจหัวอกจารย์ เว็บบ์ ที่คงพยายามลดดีกรีข้อพิพาท จากการโดนข้อหาเป็นผู้เล่นคนที่ 12 ของ แมนฯ ยูฯ ให้ลดลง จึงแจกแค่ใบเตือนให้กับแนวรับเลือดสโลวัก

ส่วนอีกเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นใบเหลืองที่ 2 ของ เกล็น จอห์นสัน ในจังหวะอิรุงตุงนัง พัวพันกันไปมา ก่อนจะคว้าขาของ อันโตนิโอ วาเลนเซีย ล้มกลิ้ง ก็ให้มันจบไป ไม่ต้องไปเรียกร้องขอความยุติธรรมให้เสียเวลา

เพราะถึงยังไง แมนฯ ยูฯ จะชนะใครก็ได้ โตแล้ว !!

เรื่องโดย "จ่าตุ๊"

อัลบั้มภาพ 49 ภาพ

อัลบั้มภาพ 49 ภาพ ของ แมนฯ ยูฯ ชนะใครก็ได้ (โตแล้ว)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook