เศรษฐีทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด

เศรษฐีทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด

เศรษฐีทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ช่วงนี้นอกจากกีฬาโอลิมปิกที่เป็นกระแสหลักของมวลมนุษยชาติแล้ว เรื่องของวงการฟุตบอลก็น่าติดตามไม่แพ้กัน เพราะเป็นช่วงเปิดตลาดซื้อขายก่อนที่ฤดูกาลใหม่จะเริ่มต้นขึ้นในกลางเดือนหน้า

ถ้านับวันกันก็หลังจบกีฬาโอลิมปิกแบบพอดิบพอดีเลย ทำให้ข่าวคราวของการซื้อขายนักเตะในลีกใหญ่ลีกเล็กมีกันมากแบบอุ่นหนาฝาคั่ง รวมทั้งบิ๊กดีลที่เกิดขึ้นไปแล้ว หรือกำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่กี่วันข้างหน้า

สำหรับทีมที่เป็นพระเอกของตลาดซื้อขายนักเตะในช่วงเปิดตลาดหนนี้คงหนีไม่พ้นเศรษฐีใหญ่จากแดนน้ำหอมคือ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า เปแอสเช ที่ทุ่มซื้อนักเตะระดับบิ๊กเนมไปถึงสามคนแล้วมี เอเซเกล ลาเวซซี่ จากนาโปลี, ติอาโก้ ซิลวา และ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช จาก เอซี มิลาน

ถ้านับมูลค่าของเงินที่จ่ายไปในตลาดก็เกือบจะถึง 100 ล้านยูโรแล้ว จึงถือว่าเป็นทีมที่ทุ่มเงินซื้อนักเตะมากที่สุดในยุโรปชั่วโมงนี้ ทำให้เกิดคำถามว่า ลีกเอิงในฤดูกาลที่จะถึงนี้จะเป็นอีกลีกที่มีการผูกขาดการเป็นแชมป์เพียงทีมเดียวหรือไม่ ซึ่งหลายๆ คนก็มองว่าน่าเกลียด เพราะข้อได้เปรียบมีมากกว่าทีมอื่นๆ

ส่วนทีมต่อมาที่ซื้อนักเตะค่าตัวแพงเหมือนกัน แต่มาแบบเงียบๆ ก็คือ "สิงห์บลูส์พันล้าน" เชลซี จากพรีเมียร์ ที่ตอนนี้ได้ตัวของ เอด็อง อาซาร์ กับออสการ์ นักเตะดาวรุ่งจากบราซิล ซึ่งถ้าใครยังไม่เคยเห็นฟอร์มหรือฝีเท้าของออสการ์ให้ดูจากทีมบราซิลชุดโอลิมปิกครั้งนี้ได้เลย

โดยเงินที่เชลซีจ่ายไปกับนักเตะทั้งสองคนนี้รวมกันเกินหลัก 50 ล้านยูโรเข้าไปแล้ว ถือว่าเป็นทีมอันดับสองที่ใช้เงินในตลาดซื้อขายหนนี้ ดูแล้วเพื่อนเศรษฐีร่วมลีกหลายทีมยังไม่ค่อยขยับตัวซักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็น แมนฯ ซิตี้, แมนฯ ยูไนเต็ด หรือ สเปอร์ส

ดูข่าวเรื่องการซื้อขายบิ๊กดีลของทีมใหญ่ก็สงสารทีมเล็กๆ หรือทีมที่มีกำลังขนาดกลาง มีงบประมาณจำกัดในการทำทีมซื้อตัวนักเตะว่าจะไปสู้ทีมใหญ่ที่ใช้เงินเป็นแผนการของความสำเร็จได้หรือ เนื่องจากตัวผู้เล่นก็ต่างกัน ความสามารถของโค้ชฟุตบอลที่ค่าตัวแพงก็ต่างกัน

จนกรณีนี้อาจจะทำให้เป็นการเหลื่อมล้ำแบบน่าเกลียดในวงการฟุตบอลจากการที่ทีมเล็ก ทีมขนาดกลาง ถึงเล่นให้ตายก็ไม่มีทางได้ลุ้นแชมป์ หรือลืมตาอ้าปากจริงๆ ไม่นับกรณีบางทีมที่มีจุดเด่นเรื่องเยาวชนที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว หรือมาอยู่ในจุดพีกพอดีที่ได้เห็นอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่บ่อยของทีมในยุโรป ถ้าตอนนี้ก็นึกถึงทีมเดียวคือ ดอร์ทมุนด์ ที่หักเสือใต้เป็นแชมป์บุนเดสลีกาถึงสองสมัยแล้ว

อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าฟุตบอลสมัยนี้เป็นเรื่องของทุนนิยมไปหมดแล้ว ใครมีเงินมากกว่า กำลังทรัพย์มากกว่า ก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นความสำเร็จได้ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงต่างๆ ที่ผ่านมาในรอบสิบปีถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงว่าใครใหญ่ของวงการฟุตบอลเลยทีเดียว

เมื่อก่อนถ้าจำกันได้หลายคนบอกว่าเงินซื้อความสำเร็จที่ยั่งยืนไม่ได้เหมือนกับแบล็คเบิร์นในช่วงปี 1994 หรือ ลีดส์ ยูไนเต็ด ในช่วงปี 2000 ที่ล้มเหลวแบบไม่เป็นท่า

แต่วงการฟุตบอลยุคนี้ใครๆ ก็อยากมีเงินเพื่อจะได้เพิ่มศักยภาพความสามารถของตัวเอง และสูตรสำเร็จในเรื่องเงินซื้อความสำเร็จได้ก็ถูกพิสูจน์เรื่อยๆ ว่ามันคือเรื่องจริงจากตัวอย่างเช่น นโยบายกาลาคติกอสของ เรอัล มาดริด, โรมัน อบราโมวิช ของ เชลซี หรือ "เรือใบสีฟ้า" แมนฯ ซิตี้ ที่มีเจ้าของเป็นชาวตะวันออกกลางอย่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ดังนั้น การใช้เงินซื้อความสำเร็จกำลังจะเป็นสิ่งที่ทุกคนในวงการฟุตบอลนำเอามาเป็นตัวอย่าง ซึ่งฟุตบอลยุคใหม่หรือต่อจากนี้ต้องมาดูว่าการใช้เงินจะเพิ่มสูงขึ้นเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ การทุ่มเงินของสโมสรใหญ่เพื่อซื้อนักเตะสโมสรเล็กๆ เป็นสิ่งที่ยอมรับกันได้ ทำกันทั่วไปแล้ว

เพราะเศรษฐีทำอะไรก็ไม่น่าเกลียดครับ

เรื่องโดย "หมอเมา"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook