“เห้อ...”

“เห้อ...”

“เห้อ...”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอล : "เห้อ..." เชื่อว่าท่านผู้อ่านทุกท่านต้องเคยมีอาการแบบนี้กันแน่นอน มันคือสภาวะที่คนเราอยู่ในสถานะเซ็งสุดขีด นอย หงอย เศร้า รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก อยากลุกขึ้นไปโพสต์สเตตัสในเฟสบุ๊คเพื่อบอกให้คนทั้งโลกรับรู้ว่า "เห็นเงียบๆ หวยแ..กเพียบนะครับ" อันนี้คงไม่เกี่ยว

เอาเป็นว่าเราต้องเคยผ่านช่วงเวลาน่าเบื่อแบบนี้มากันทุกคน ยามที่อะไรก็ไม่เป็นใจสักอย่าง บางครั้งแค่อยากจะเดินขึ้นรถเมล์สาย 8 ที่ยืนรอมาครึ่งชั่วโมงทั้งที่ ไอ้รถคันเก่าเจ้ากรรมก็ดันวิ่งเร็ว แรง ทะลุนรก เลยป้ายไปเสียนี่ ไอ้เราก็เลยต้อง "เห้อ...." ไปตามระเบียบ

เคยลองถามตัวเองบ้างไหมครับว่าตั้งแต่เกิดมาท่านเคยอยู่ในภาวะนี้มากี่ครั้งแล้ว หลายท่านคงแอบคิดในใจว่า "ถามแบบนี้ แล้วตูจะจำได้ไหมล่ะ ไม่ได้เขียนไดอารี่ไว้" โอเคไม่เป็นไรครับเพราะผู้เขียนก็จำจำนวนครั้งของตัวเองไม่ได้เช่นกัน

แต่ตอนนี้เชื่อว่ามีบุคคลคนหนึ่งที่กำลังอยู่ในภาวะนี้มาอย่างน้อยเกิน 3 ครั้งแน่นอน เขาคนนั้นคือ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือมาดดุของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่แยกเขี้ยวคำรามใส่กรรมการได้น่ากลัวที่สุดในโลกคนนั้น สาเหตุที่ผู้เขียนกล้าฟันธงว่า คล็อปป์ ผู้นี้กำลังอยู่ในสภาวะ "เห้อ..." ก็เพราะเจ้าตัวต้องเผชิญกับสถานการณ์การสูญเสียผู้เล่นตัวหลัก นี่มีโอกาสกลายเป็นลูกบุญธรรมในอนาคตไปแล้วถึง 2 คนและตอนนี้ก็กำลังจะเสียคนที่สามไปอย่างไม่มีทางเลือก

แบบนี้ถ้าไม่ให้ "เห้อ..." ก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว เพราะกว่าที่ คล็อปป์ จะสามารถสร้างทีม "เสือเหลือง" ให้กลับมาผงาดในเวทีบุนเดสลีกา ได้ขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ณ ตอนนั้นทีมเพิ่งรอดจากสภาวะการถังแตกมาหมาดๆ ไม่มีทรัพยากรดีๆให้ใช้ แล้วยังไม่มีเงินไปซื้อใหม่เสียอีก แต่แล้วชายร่างใหญ่คนนี้ก็สามารถปั้นดินให้เป็นดาว เนรมิตให้ ดอร์ทมุนด์ กลายเป็นทีมที่ต่อบอลบุกได้เร้าใจขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อโดยใช้ผู้เล่นดาวรุ่งและนักเตะโนเนมที่ชื่ออ่านยากๆทั้งหลาย

และภายในเวลาเพียง 3 ปี คล็อปป์ ก็ทำให้ ดอร์ทมุนด์ เวอร์ชั่น 2011 นี้คว้าแชมป์บุนเดสลีกา ได้สำเร็จอย่างภาคภูมิ แต่แล้วก็เป็นไปตามสัจจธรรมของโลกนี้ เพราะเมื่อใดที่อารยธรรมอันเจริญรุ่งเรืองมาถึงจุดสูงสุด มันจะค่อยๆเสื่อมโทรมและถดถอยลงไปทุกครั้ง เพราะหลังจากที่จัดการซิวดับเบิ้ลแชมป์ในปีต่อมาได้สำเร็จ คล็อปป์ ก็ต้องตกอยู่ในสภาวะ "เห้อ..." เป็นครั้งแรกเนื่องจาก ชินจิ คางาวะ นักเตะจากดินแดนหนังเอวีได้โบกมือไม้ขอย้ายสำมะโนครัวไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของป๋าเฟอร์กี้ โดยไม่ยอมอยู่ต่อยอดความสำเร็จกับต้นสังกัดที่สร้างตนมา

แม้จะสูญเสียผู้เล่นตัวสำคัญไปแต่ คล็อปป์ แค่ยักไหล่พลางยืดอกสู้กับฤดูกาลใหม่ต่อไป พร้อมหันกลับไปแลบลิ้นใส่ คางาวะ 2 ทีและพูดอย่างเย้ยหยันว่า "เชิญย้ายไปนั่งให้ตูดชาได้เลย ตูมี เกิทเซ่ เว้ย วะฮ่าๆๆๆ!" จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงปลายของฤดูกาล 2012-2013 มาริโอ เกิทเซ่ ที่กำลังโชว์ฟอร์มได้ร้อนแรงพร้อมเตรียมแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวก็แอบเจรจาลับพร้อมตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ บาเยิร์น โดยที่ คล็อปป์ ได้แต่ยืนงงเพราะ พี่เสือ ใช้หมัดน็อคโดยการฉีกสัญญากองกลางร่างอวบให้สิ้นเรื่องไปเลย หมดโอกาสแก้ตัวทันทีสำหรับ ดอร์ทมุนด์ นั่นคือ "เห้อ..." ครั้งที่สองของ คล็อปป์

จนมาถึงฤดูกาลล่าสุด คล็อปป์ ยักไหล่อีกครั้งพร้อมใช้เงินที่ได้จากการขาย เกิทเซ่ อย่างไม่เต็มใจมาซื้อผู้เล่นหน้าใหม่เสริมทีม ผู้เขียนต้องยอมรับว่า คล็อปป์ เป็นผู้จัดการทีมคนหนึ่งที่ตาแหลมมาก ซื้อเพราะรู้ว่ามีประโยชน์ใช้งานได้จริงไม่อิงตาม FM ณ ตอนนั้นแฟนบอลของทีม "เสือเหลือง" คงกล้าพูดได้เต็มปากว่าลืม เกิทเซ่ ไปแล้วเพราะขุมกำลังที่มีก็โหดเข้าขั้นเช่นกัน

แต่แล้ว โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ กองหน้าดาวซัลโวสูงสุดของทีมเมื่อฤดูกาลก่อนกลับก่อการกบฎเป็นรายล่าสุด โดยการปฏิเสธต่อสัญญาใหม่ในขณะที่สัญญาปัจจุบันกำลังจะหมดลงในซัมเมอร์หน้า ถึงตอนนั้น ดอร์ทมุนด์ ต้องถูกมัดมือชกให้ยอมปล่อยตัวดาวยิงเลือดโปลิชออกไปสถานเดียว เพราะถ้าหากดื้อดึงเก็บเอาไว้ยันมกราคมก็จะไม่ได้เงินค่าตัวแม้แต่บาทเดียว ส่วน เลวานดอฟสกี้ ก็จะเดินสยายปีกไปเริงร่ากับทีมดังสักทีม (ดังในที่นี้คือดังกว่า ดอร์ทมุนด์)

แต่จนแล้วจนรอด คล็อปป์ ก็ยังคงดื้อดึงไม่ยอมปล่อยตัว เลวานดอฟสกี้ ออกไปจนตลาดปิดเพราะอาจมีความหวังเล็กๆว่าหากผลงานของทีมดีเกินคาดก็อาจช่วยเปลี่ยนใจให้กองหน้าผู้ทะเยอทะยานคนนี้กลับตัวกลับใจมาหารักเก่าก็เป็นได้ แต่เมื่อเวลาล่วงมาจนใกล้ปีใหม่เข้าไปทุกที นายเลวานดอฟสกี้ ก็ยังคงยืนยันหนักแน่นว่า "ย้าย" แน่ๆ ตัดความหวังของ คล็อปป์ ชายผู้สร้างเขามาอย่างไม่ใยดี

ถึงตอนนี้ผู้เขียนกล้าฟันธงเลยว่า คล็อปป์ จะต้อง "เห้อ..." เป็นครั้งที่ 3 แล้วแน่นอน และจากนี้ไปก็กำลังเตรียมตัวเตรียมใจกับการ "เห้อ..." เป็นครั้งที่ 4, 5 และ 6 ตามมาอีกในทุกๆปีแน่นอน เพราะตอนนี้ทีมของ คล็อปป์ กลายเป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ผู้เล่นฝีเท้าชั้นยอดเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น มาร์โค รอยส์, อิลคาย กุนโดกัน และ เนเว่น ซูโบติช ทั้งหมดที่กล่าวมาโดนพวก "ทีมใหญ่" หมายหัวไว้หมดแล้ว และเชื่อว่ามีโอกาสน้อยมากที่ คล็อปป์ จะเก็บรักษาใครไว้ได้สักคน

จากเรื่องราวชีวิตรันทดของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ทำให้ผู้เขียนพลันหวนนึกถึงชายอีกคนที่ประสบชะตาเดียวกันมาหนักหนาสาหัสกว่าเสียอีก ซึ่งคงไม่มีใครอีกแล้วนอกจาก อาร์แซน เวนเกอร์ ชายผู้มีนโยบายปั้นนักฟุตบอลให้เป็นสินค้าโอทอปส่งออกนอก(ทีม) ทุกปี ถ้า คล็อปป์ บอกว่าตัวเอง "เห้อ..." มาเยอะกว่าใคร เขาคงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่หากจะวัดประสบกาณ์ความสูญเสียกับ เวนเกอร์

จากเหตุการณ์การมีชะตากรรมร่วมกันของชาย 2 คนนี้ทำให้ผู้เขียนพลันสงสัยขึ้นมาทันทีว่า จะเป็นไปได้ไหมหาก คล็อปป์ จะตระหนักเช่นกันว่าควรไปขอคำปรึกษากับ เวนเกอร์ ว่าควรรับมือกับสภาวะ "เห้อ..." นี้ยังไงให้ได้นานหลายปีขนาดนี้

คล็อปป์ : คุณเวนเกอร์ ครับ ผมถามจริง คุณทำได้ยังไง?

เวนเกอร์ : ตอนแรกผมก็ไม่รู้เหมือนกับคุณตอนนี้นี่แหละ ผมเพิ่งจะค้นพบวิธีเมื่อไม่นานมานี้

คล็อปป์ : แล้วคุณทำยังไง!?

เวนเกอร์ : ผมไม่รู้ ผมซื้อ โอซิล

คล็อปป์ : แต่บนโลกนี้มีแค่คนเดียวนะ

เวนเกอร์ : งั้นผมขอแสดงความเสียใจด้วยครับ

คล็อปป์ : เห้อ.........

ธนันต์ อยู่ในศิล 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook