เปิดใจนักเลงลูกหนัง ‘ซลาตัน' ผู้ยอมหักไม่ยอมงอ

เปิดใจนักเลงลูกหนัง ‘ซลาตัน' ผู้ยอมหักไม่ยอมงอ

เปิดใจนักเลงลูกหนัง ‘ซลาตัน' ผู้ยอมหักไม่ยอมงอ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอล : ซลาตัน อิบราฮิโมวิช คือหนึ่งในนักฟุตบอลที่มีพรสวรรค์ที่สุด เถียงเก่งที่สุด และเป็นคนที่เดาใจได้ยากที่สุดคนหนึ่งในยุคนี้ และนี่คือบางส่วนที่คัดมาจาก "I am Zlatan Ibrahimovic" หนังสือชีวประวัติของเจ้าตัวที่ได้เปิดเผยหลายแง่มุมในชีวิตที่เราไม่เคยรู้

ซลาตัน นั้นขึ้นชื่อในเรื่องของการพเนจร เพราะจนมาบัดนี้ในวัย 31 ปี เจ้าตัวย้ายทีมมาแล้ว 7 ครั้ง ได้ร่วมงานกับกุนซือมากมายหลายคน มีทั้งถูกชะตาบ้าง เกลียดขี้หน้ากันบ้าง ซึ่งกองหน้าทีมชาติสวีเดนรายนี้ได้บันทึกในชีวประวัติของตนเองไว้ด้วยว่าเทิดทูนกุนซือคนไหน และจงเกลีดยจงชังกุนซือคนไหนเข้ากระดูกดำบ้าง

*ส่วนต่อไปนี้ได้ถูกคัดลอกมาจากชีวประวัติของ อิบราฮิโมวิช

I : โชเซ่ มูรินโญ่


โชเซ่ มูรินโญ่ คือดาวดวงโตบนท้องฟ้า เขาเคยเป็นผู้จัดการทีมของผมที่ อินเตอร์ เขาเป็นคนดีใช้ได้ ครั้งแรกที่เขาพบกับ เฮเลน่า แฟนของผม เขากระซิบบอกเธอว่า "เฮเลน่า หน้าที่ของคุณมีอยู่อย่างเดียว ดูแลอาหารการกินของเขา ให้เขาได้พักผ่อน และทำให้เขามีความสุข" ชายคนนี้มักจะพูดสิ่งที่เขาต้องการจะพูดเสมอ ผมชอบเขามาก เขาเป็นเหมือนเป็นผู้นำของกองทัพ แต่เขาก็ใส่ใจคนอื่นเหมือนกัน ตอนที่อยู่ อินเตอร์ เขาส่งข้อความหาผมเกือบตลอดเวลา ถามว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ เขาตรงข้ามกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โดยสิ้นเชิง

ถ้า มูรินโญ่ เปิดไฟในห้อง กวาร์ดิโอล่า จะพยายามปิดม่านลงเสีย ผมคิดว่าเขาพยายามจะทำตัวให้เทียบเท่ากับ มูรินโญ่

มูรินโญ่ คือคนที่ผมยินดีจะตายแทนได้

ในระหว่างทำศึกยูโร 2008 มีคนบอกผมว่า มูรินโญ่ ว่าที่ผู้จัดการทีมของผมที่ อินเตอร์ จะโทรมาหาผมและตอนนั้นผมคิดว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ แต่เขาแค่อยากบอกผมว่า "มันคงจะดีถ้าเราได้ร่วมงานกัน ตอนนี้ผมใจจดใจจ่อกับการได้พบคุณ" ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ แต่เขาพูดเป็นภาษาอิตาเลียน ซึ่งผมไม่เข้าใจเลย เพราะเขาไม่เคยเป็นโค้ชในอิตาลีด้วยซ้ำไป แต่เขาพูดได้ดีกว่าผมเสียอีก เพราะความจริงแล้วเขาไปเรียนมาได้สามสัปดาห์แล้ว ในขณะที่ผมพูดไม่คล่องนัก เราจึงเปลี่ยนมาพูดภาษาอังกฤษกัน จากนั้นผมจึงรู้ว่าผู้ชายคนนี้ใส่ใจ

และหลังจบเกมที่เจอกับ สเปน ผมก็ได้รับข้อความจากเขาว่า "เล่นดีนะ" จากนั้นเขาก็ส่งคำแนะนำมาให้กับผม 2-3 ข้อที่ทำให้ผมต้องอึ้ง เพราะผมไม่เคยคาดคิดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อน โค้ชคนนั้นส่งข้อความมาให้ผมในช่วงที่ผมลงเล่นให้ สวีเดน อยู่ และเขาเองก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้เลย แต่เขาก็ยังเข้ามาช่วยเหลือ ทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งใจมาก

แต่แน่นอน ผมรู้ว่าเขาส่งข้อความพวกนั้นมาเพราะมีเหตุผลอย่างอื่น เขาต้องการความภักดีจากผม แต่ผมชอบเขาแบบที่เป็นคนตรงมากกว่า เขาทำงานหนักกว่าคนอื่นเป็นสองเท่า หายใจเข้าออกก็เป็นฟุตบอลตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ ผมไม่เคยเจอผู้จัดการทีมคนไหนที่รู้เรื่องของคู่ต่อสู้มากขนาดนี้ เขารู้แม้กระทั่งเบอร์รองเท้าของนายประตูมือสาม

จากนั้นผ่านไปอีกสักพักกว่าที่ผมจะได้เจอกับเขา เขาเป็นคนสง่า มีความมั่นใจ แต่ก็ยังทำให้ผมทึ่งอยู่ดี เขาดูตัวเล็กนิดเดียวท่ามกลางผู้เล่นในทีม แต่ผมรู้สึกได้ทันทีว่าทุกคนต่างตั้งใจฟังเขาโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

เขาไม่เคยยอมให้คนอื่นล้ำเส้น เขาจะเดินเข้าไปเปลี่ยนความคิดให้คนเหล่านั้นที่คิดว่าตนเองแตะต้องไม่ได้ เขายืนประสานสายตาคนพวกนั้นแม้ว่าจะสูงเทียมไหล่ แต่เขาไม่กลัวเลยพร้อมพูดออกมาตรงๆว่า "จากนี้ไป คุณต้องทำตามที่ผมสั่ง" ลองนึกภาพดูซิ จากนั้นทุกๆคนก็ตั้งใจฟังเขาตลอด ทุกคนต่างคิดตามคำพูดที่เขาเปล่งออกมา แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขากลัว มูรินโญ่ หรอกนะ เขาไม่ใช่ ฟาบิโอ คาเปลโล่ กุนซือปีศาจคนนั้น

มูรินโญ่ ใช้วิธีผูกสัมพันธ์กับผู้เล่นโดยการส่งข้อความหา รวมทั้งให้คำแนะนำเรื่องปัญหาในบ้าน ที่สำคัญเขาไม่ชอบตะคอก เขามักจะปลุกเร้าพวกเราก่อนการแข่งขันเริ่ม มันเหมือนได้ดูหนัง เป็นเกมแบบจิตวิทยา เขามักจะให้เราดูเทปแมตช์ที่เราเล่นไม่ดีพร้อมกับพูดออกมาว่า "น่าเศร้า หมดหวังจริงๆ คนในจอทีวีนั้นต้องไม่ใช่คุณ พวกเขาอาจเป็นญาติคุณ หรือตัวคุณในเวอร์ชั่นที่อ่อนกว่า" ส่วนพวกเราก็ผงกหัวรับด้วยความละอายใจ แถมเขายังพูดต่ออีกว่า "วันนี้ผมไม่อยากเห็นพวกคุณเป็นแบบนี้" แล้วพวกเราก็ตั้งใจเอาไว้ว่าไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่นอน "จงออกไปอย่างราชสีห์ที่หิวกระหาย" เขายังพูดต่อ

"ในศึกแรกพวกคุณจะต้องเป็นแบบนี้" เขาพูดพร้อมกับเอากำปั้นทุบลงที่มืออีกข้างที่แบออก "และในศึกครั้งที่สอง..." เขาหยิบตารางแผนการเล่นมาเตะส่งมันลอยข้ามห้องไปเลย จากนั้นอดรีนาลีนในตัวพวกเราก็สูบฉีด พวกเราลงสนามไปเหมือนกับสัตว์ป่าที่บ้าคลั่ง ผมรู้สึกได้ทันทีว่าชายคนนี้ทุ่มเททุกอย่างเพื่อทีม ดังนั้นผมจึงอยากตอบแทนทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเขาเช่นกัน ทุกคนต่างยินดีออกไปฆ่าคนให้เขา

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเซ็งเล็กน้อย เพราะไม่ว่าผมจะทำดีขนาดไหน เขาจะไม่มีวันยิ้มออกมาให้เห็นเลย ผมพยายามทำทุกอย่างให้น่าทึ่ง แต่สีหน้าของ มูรินโญ่ กลับเหมือนคนอารมณ์บูด มีครั้งหนึ่งเราลงเล่นกับ โบโลญญ่า และผมยิงได้หนึ่งประตู และเป็นประตูที่สวยงามมากจนสุดท้ายได้รับการโหวตให้เป็นประตูยอดเยี่ยมแห่งปี แต่ มูรินโญ่ ก็ยังยืนทำหน้าตายไม่สนใจ

ผมจึงคิดในใจว่าชายคนนั้นเป็นบ้าอะไร ถ้าเขาไม่ตอบสนองด้วยกริยาแบบนั้น เขาจะมีอันเป็นไปรึไง แต่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผมจึงตั้งใจจะทำให้เขายิ้มให้ได้ แล้วสุดท้ายมันก็เกิดขึ้น หลังจากที่เราได้สามแชมป์และผมเป็นดาวยิงสูงสุด

มูรินโญ่ ชายหน้าตายคนนั้น ชายผู้ไม่เคยหลับหูหลับตาหนี เขาเหมือนกับคนบ้า เขากระโดดไปกระโดดมาดีใจเหมือนเด็กประถม แล้วสุดท้ายผมก็ยิ้มออกมาพร้อมคิดในใจว่า "ในที่สุดผมก็ทำให้คุณยิ้มจนได้ หลังจากต้องพยายามทำอะไรตั้งมากมาย"

หลังจากนั้น อิบราฮิโมวิช ก็ย้ายไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า และแพ้ให้กับ อินเตอร์ มิลาน ของ มูรินโญ่ ในรอบรองชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2009-2010

II : เป๊ป กวาร์ดิโอล่า


กวาร์ดิโอล่า มองหน้าผมอย่างกับว่าทุกอย่างเป็นความผิดของผมทั้งหมด ผมจึงคิดในใจว่า "พอกันที ที่คือเกมสุดท้ายของฉัน" หลังจบเกมนั้น ผมก็รู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้อนรับสำหรับสโมสรนี้อีกต่อไป ผมรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีค่า เมื่อครั้งที่ผมนั่งอยู่ในห้องแต่งตัว กวาร์ดิโอล่า จ้องหน้าผมอย่างกับว่าผมเป็นตัวสร้างความรำคาญ คนแปลกหน้า ผมรู้สึกประสาท

เขาเหมือนเป็นกำแพงอิฐ เขาเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย และขณะอยู่ที่สโมสรนั้นวันแล้ววันเล่าผมเฝ้าภาวนาให้ตัวเองได้ออกไปจากที่นี่ ผมไม่เหมาะกับที่แห่งนี้ และเมื่อเราต้องออกไปเยือน บียาร์เรอัล เขาให้ผมลงเล่นแค่ห้านาที แล้วผมก็เดินตรงเข้าข้างในไปเลย แต่ไม่ใช่เพราะผมต้องนั่งสำรอง เรื่องนั้นผมรับได้ ถ้าตัวผู้จัดการทีมกล้าพอจะพูดว่า "คุณไม่ดีพอ ซลาตัน คุณสอบไม่ผ่าน"

 

แต่ กวาร์ดิโอล่า กลับไม่พูดอะไรเลย ไม่แม้แต่ส่งข้อความมา ตอนนั้นผมทนไม่ไหวแล้ว ร่างกายผมเริ่มรู้สึกสะท้านไปทั้งตัว ถ้าผมเป็น กวาร์ดิโอล่า ในตอนนั้น ผมคงกลัวมากแน่ๆ แต่ไม่ใช่เพราะผมพูดว่าหมัดผมหนัก ผมเคยผ่านเรื่องพวกนี้มาแล้ว และผมไม่เชื่อเรื่องการชกต่อย แม้ว่าผมจะเคยเฮดบัตต์ใส่คนอื่นไปบ้าง เมื่อใดที่ผมโกรธ รังสีอำมหิตจะเข้าปกคลุม และตอนนั้นคุณคงไม่อยากเข้าใกล้แน่นอน

ผมเข้าไปในห้องแต่งตัวหลังจบเกม แต่ผมก็ไม่ได้วางแผนจะอาละวาดอะไรเป็นจริงเป็นจัง ผมอารมณ์ไม่ดีพอจะยิ้มแย้มได้ และตอนนั้นเองศัตรูของผมก็ยืนอยู่ตรงนั้น กำลังเกาหัวตัวเอง ยาย่า ตูเร่ ก็ยืนอยู่ตรงนั้นกับอีกหลายคน มีกล่องเหล็กใบหนึ่งที่เราเอาไว้ใช้เก็บของวางอยู่ตรงนั้น ผมวิ่งไปเตะใส่กล่องใบนั้น ผมคิดว่ามันลอยไปไกลสักสามเมตรได้ แต่ผมยังไม่หยุดแค่นั้น ผมสบถด่าออกไปดังๆว่า "แกมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย!" และยิ่งกว่านั้นผมยังเติมเข้าไปอีกว่า "แกมันลูกไล่ มูรินโญ่ ไปลงนรกเลยไป!"

ตอนนั้นผมควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว แต่คุณคงคิดว่า กวาร์ดิโอล่า จะพูดอะไรโต้ตอบกลับมา แต่เขามันคนขี้ขลาด เขาแค่เดินไปหยิบกล่องเหล็กใบนั้นขึ้นมา เหมือนภารโรงตัวเล็กๆ แล้วก็เดินออกจากห้องไป และไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้อีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว

มันเหมือนเป็นเกมเงียบ สงครามประสาท เพราะผมคิดว่าตัวเองอายุ 28 แล้ว ผมยิงได้ 22 ประตูและแอสซิสต์อีก 15 ครั้ง แต่เหมือนตัวเองอยู่ลำพังคนเดียวที่ บาร์เซโลน่า ผมรู้สึกว่าคนอื่นทำเหมือนผมไม่มีตัวตน ผมควรนั่งเฉยๆแล้วปล่อยให้พวกเขาทำแบบนั้นหรือ ผมต้องทนต่อไปแล้วทำตัวให้ชินรึไง

อ้อ มีเรื่องหนึ่ง เมื่อผมย้ายไป บาร์เซโลน่า พวกเขาบอกว่าผมห้ามขึ้นเครื่องบินส่วนตัว ผมต้องขึ้นเครื่องธรรมดาร่วมกับคนอื่นๆเท่านั้น พวกเขาพูดว่า "ที่ บาร์เซโลน่า เราทำตัวติดดิน เราไม่ใช่ เรอัล มาดริด เราเดินทางด้วยเครื่องบินโดยสารธรรมดา" ฟังดูมีเหตุผลมาก

และยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ กวาร์ดิโอล่า เคยพูดไว้ "ฟังนะ เราจะไม่เดินทางไปสนามซ้อมด้วย เฟอร์รารี่ หรือ พอร์ช" ส่วนผมก็ได้แต่ผงกหัวรับ แต่คิดไว้ในใจเหมือนกันว่าสักวันจะถามเขาออกไปว่า "แล้วผมจะขับรถคันไหน มันไปหนักส่วนไหนของคุณหรือ" ในเวลาเดียวกัน ผมมีอีกความคิดว่า "นี่เขาพูดอะไรแบบคนธรรมดาทั่วไปไม่เป็นรึไง" ผมชอบรถยนต์ ผมรักความเร็ว มันคือความชอบส่วนตัวของผม และผมรู้สึกได้ว่าภายใต้คำพูดของเขามีบางอย่างแอบแฝงเป็นนัยอยู่ เช่น "อย่าคิดว่าตัวเองวิเศษวิโสกว่าคนอื่น"

แต่ผมก็ประทับใจ บาร์เซโลน่า เล็กน้อย ที่นั่นทำให้ผมนึกถึง อาแจ็กซ์ ตอนผมยังเป็นเด็ก ทำให้รู้สึกเหมือนกลับไปเรียนอีกครั้ง ไม่มีใครทำตัวเป็นซูเปอร์สตาร์เลย แปลกมาก ทั้ง เมสซี่ ชาบี อิเนียสต้า สามหน่อนี้ พวกเขาทำตัวเหมือนเด็กประถม ยอดนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลกยืนอยู่ต่อหน้าผมพร้อมกับก้มหัวโค้งคำนับ ผมไม่เข้าใจเลย เรื่องนี้มันน่าขันสิ้นดี

ทุกคนทำตามสิ่งที่ตัวเองถูกสั่งให้ทำ แต่ผมไม่เหมาะกับที่นี่ ไม่เลยสักนิดเดียว แต่ผมก็คิดซะว่าให้พยายามเก็บเกี่ยวความสุขจากทุกโอกาส อย่าไปตีค่าศักดิ์ศรีของพวกเขา ดังนั้นผมจึงเริ่มพยายามปรับตัว จนตัวเองเริ่มเป็นคนสุภาพ มันบ้าสิ้นดี ผมเริ่มพูดสิ่งที่คนอื่นต้องการให้พูด ทุกอย่างเริ่มเละเทะ ผมขับ ออดี้ ไปสโมสรพร้อมกับผงกหัวรับคำสั่ง ผมไม่กล้าจะตะคอกใส่เพื่อนร่วมทีมอีกต่อไป ผมเริ่มเบื่อ ผมเริ่มไม่ใช่ ซลาตัน คนเดิม

จากนั้น เมสซี่ ก็เริ่มชวนผมคุย ลิโอเนล เมสซี่ เป็นคนที่น่าทึ่งมาก เป็นคนที่ทำให้เราต้องอึ้ง แต่เขาบอกกับ กวาร์ดิโอล่า ว่า "ผมไม่อยากเล่นปีกขวาอีกแล้ว ผมอยากเล่นตรงกลาง" แต่ผมนี่แหละคือศูนย์หน้าตัวเป้า แล้ว กวาร์ดิโอล่า ก็ไม่ได้พูดถึงเลยแม้แต่นิดเดียว

จากนั้น กวาร์ดิโอล่า ก็สลัดผมทิ้ง นั่นคือเรื่องจริง เพื่อนของผมคนหนึ่งบอกว่า "ซลาตัน เหมือนกับว่า บาร์ซ่า ซื้อเฟอร์รารี่ มาขับ แต่พวกเขากลับทำให้มันกลายเป็นแค่ เฟียต" จากนั้นผมก็คิดว่า "ใช่ นั่นคือการมองเรื่องนี้ได้ถูกมุม" กวาร์ดิโอล่า ทำให้ผมกลายเป็นนักฟุตบอลธรรมดาคนหนึ่ง มันเลวร้ายมาก มันกลายเป็นผลเสียต่อทั้งทีม

เขาไม่กล่าวอรุณสวัสดิ์ด้วยซ้ำไป เขาพยายามจะไม่สบตากับผม ถ้าผมเดินเข้าห้องไป เขาก็จะเดินออกมา ผมเริ่มคิดในใจ "นี่มันเรื่องอะไรกัน ผมทำอะไรไปรึเปล่า ผิดตรงไหน หรือพูดอะไรไร้สาระออกไป" เรื่องพวกนี้เริ่มดังขึ้นในหัวผม ผมนอนไม่หลับเลยช่วงนั้น

ผมเริ่มคิดถึงเรื่องนี้ทันที ไม่ใช่เพราะผมอยากได้ความรักจาก กวาร์ดิโอล่า หรอกนะ ไม่ใช่เลย เขาอาจจะเกลียดผมมากอย่างที่ผมคาดไว้ก็ได้ ความเกลียดชังความอาฆาตเริ่มก่อตัวในใจผม ตอนนี้ผมเริ่มเสียสมาธิ เขาคิดว่าตัวเองสามารถเปลี่ยนผมได้ เพราะที่ บาร์ซ่า ทุกคนต้องเป็นเหมือน ชาบี อิเนียสต้า และ เมสซี่ แต่พวกเขาไม่ได้ผิดอะไรหรอกนะ ไม่เลย มันเยี่ยมด้วยซ้ำที่ได้อยู่ทีมเดียวกับพวกเขา เป็นเหล่าผู้เล่นที่ทำให้ผมมีไฟอีกครั้ง แต่ผมมาที่นี่พร้อมความเป็นตัวเอง แต่มันไม่มีที่ว่างให้คนแบบผม ไม่แม้แต่ในโลกใบเล็กของ กวาร์ดิโอล่า

จนเมื่อผมตระหนักว่าตัวเองอาจจะเป็นตัวสำรองในเกมกับ อัลเมเรีย ประโยคนั้นก็หวนกลับมาหาผมอีกครั้ง "ที่ บาร์เซโลน่า เราไม่ขับรถมาสนามซ้อมด้วย เฟอร์รารี่ หรือ พอร์ช" นี่มันไร้สาระสิ้นดี ผมจะขับรถคันไหนมันก็เรื่องของผม ถ้าอย่างน้อยผมจะได้ขับผ่านหน้าพวกปัญญาอ่อนไปบ้าง วันหนึ่งผมกระโดดลงมาจากเฟอร์รารี่ ของตัวเองหลังจากจอดมันเอาไว้ตรงหน้าประตูทางเข้าสนามซ้อม ผมตัดสินใจจะปักหลักสู้บ้าง มันคือเกมและผมรู้ว่าต้องเล่นยังไง ผมเคยเป็นนักสู้มาก่อน เรามักจะวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าทั้งแบบที่ชาญฉลาดและแบบที่สกปรก และผมก็เริ่มเตะตาเพื่อนร่วมทีม ผมอยากจะเห็นมุมมองที่เปลี่ยนไปของพวกเขา แต่ พระเจ้าช่วย มีแต่คนบอกให้ผมเลิกทำเรื่องนี้ซะ

แถวบ้านผมมีแก๊งค์ชื่อ โรเซนการ์ด พวกเขาคงอยากจะถล่มที่นี่ให้เละ และพวกเขาคงจะชอบแน่ๆ แต่มันคงไม่ใช่แผนการที่ฉลาดเท่าไหร่นักในสถานการณ์ตอนนี้ แต่ไม่ว่าช่วงเวลาใด ยามผมตื่น หรือไปสนามซ้อมแล้วต้องเจอกับ กวาร์ดิโอล่า ด้านมืดในตัวจะเข้าครอบงำผม ความเดือดดาลในหัวเริ่มก่อตัวอีกครั้ง

แล้วสุดท้ายมันก็เป็นเพราะ กวาร์ดิโอล่า อีกนั่นแหละ สโมสรจำใจต้องขายผมออกไปแบบส่งๆ เรื่องนี้มันบ้าสิ้นดี ผมยิง 22 ประตูและแอสซิสต์อีก 15 ครั้งให้ บาร์เซโลน่า ผมเสียมูลค่าจริงๆของตัวเองไป 70% มันจะเป็นความผิดของใครถ้าไม่ใช่ กวาร์ดิโอล่า คนขี้ขลาดคนนั้นพยายามจะทำลายผมให้แหลกเป็นชิ้น

ในช่วงปลายปี 2000 อิบราฮิมโมวิช ในวัยเพียง 19 ปี มีโอกาสได้เข้าพบ อาร์แซน เวนเกอร์ เพื่อเจรจาการย้ายทีมมาจาก มัลโม่

III. อาร์แซน เวนเกอร์

ผมเดินทางไปที่สนามซ้อมของ อาร์เซน่อล ใกล้กับ เซนต์ อัลแบนส์ ผมเห็นทั้ง ปาทริค วิเอร่า เธียร์รี่ อองรี และ เดนนิส เบิร์กแคมป์ มันคือเรื่องที่เจ๋งมากที่ผมจะได้เข้าพบ อาร์แซน เวนเกอร์ แต่ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กน้อยตอนก้าวเท้าเข้าออฟฟิศของเขา

ตัวผมสั่นเล็กน้อยพอถูกเขาจ้องมอง มันเหมือนกับว่าเขาพยายามจะมองให้ทะลุตัวผมออกไป หรือกำลังกะขนาดของตัวผมก็ไม่รู้ได้ เขาคือคนที่ทำแบบประเมินเชิงจิตวิทยาของผู้เล่นตัวเอง ว่าพวกเขามีสภาพอารมณ์ที่ปกติดีหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องที่ฉลาดมาก เขาคือยอดโค้ชอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรมากในครั้งแรกที่พบกัน

ผมแค่นั่งอยู่เงียบๆรู้สึกเขินอาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักผมเริ่มหมดความอดทน บางอย่างในตัว เวนเกอร์ ทำให้ผมหงุดหงิด เขาจะรีบลุกจากเก้าอี้ไปดูการซ้อมข้างนอกที่หน้าต่างบ่อยครั้ง มันเหมือนกับว่าเขาอยากทำให้ทุกอย่างอยู่ในสายตาของตัวเอง แล้วเขาก็ทำแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดเวลา

จากนั้นเขาก็พูดว่า "คุณจะมาลองทดสอบฝีเท้ากับเราก็ได้ ให้เราเห็นความสามารถของคุณ" แต่ไม่ว่าผมอยากจะทำตัวดีกับเขาแค่ไหน คำพูดของเขาเหมือนเป็นการยั่วผมให้ต้องสู้ ผมเลยบอกเขาไปว่า "เอารองเท้ามาให้ผมคู่หนึ่ง แล้วผมจะทดสอบตอนนี้เลย"

แต่ บอร์ก (แฮสซ์ บอร์ก ผู้อำนวยการกีฬามัลโม่) เข้ามาขัดจังหวะผมพร้อมกับพูดว่า "หยุดเดี๋ยวนี้ เราจะหารือเรื่องนี้กันทีหลัง แต่นายจะต้องไม่ลงทดสอบ ห้ามเด็ดขาด!" และแน่นอน ผมเข้าใจดีว่าเขาหมายถึงอะไร มันแปลว่า พวกเขาอาจจะสนใจเรา หรือไม่สนใจเรา การไปทดสอบฝีเท้าแบบนั้นทำให้เราดูด้อยค่าลง

ดังนั้นเราจึงปฏิเสธกลับไปว่า "พวกเราเสียใจด้วย คุณเวนเกอร์ แต่เราไม่สนใจข้อเสนอนี้" ซึ่งผมคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกแล้ว

แปลและเรียบเรียง : ธนันต์ อยู่ในศิล

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook