สิงโตคำราม หรือ อัซซูรี่ ???
คู่สุดท้ายในรอบ 8 ทีม คืนนี้คู่คี่สูสีกันอย่างยิ่ง ทั้งคู่ต่างต้องเจอเกมยากและอึดอัดอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นเรื่องยากที่จะฟันธงลงไปได้ว่าทีมไหนจะเข้าไปเจอกับเยอรมันที่อัดกรีซจนตัวงอ
สิงโตคำรามชนะ...
แน่นอนว่าความอึดอัดเกิดขึ้นแน่ เมื่ออังกฤษเดินทางมาถึงรอบ 8 ทีมด้วยการดวลกับอิตาลี สิงโตคำรามผ่านเข้ามาสู่รอบนี้ด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม ซึ่งนั่นทำให้ขวัญและกำลังใจของนักเตะพุ่งสูงขึ้นถึงขีดสุด
อาจจะไม่มีความประทับใจอะไรมากมายในเกมรอบแรก ทว่าแผนการเล่นที่เน้นผลการแข่งขันด้วยการรับเป็นหลักเอาให้เหนียวไว้ก่อนของรอย ฮอดจ์สัน น่าจะรับมือกับอิตาลีได้
รอย ฮอดจ์สัน เคลียร์ทุกอย่างชัดเจนตั้งแต่นัดแรกที่เจอกับฝรั่งเศส โดยหัวใจในเกมรับอยู่ที่คู่ขวัญคู่ใหม่ จอห์น เทอร์รี่กับโจลีออน เลสค็อตต์
แม้ว่าปัญหาของทั้งคู่จะอยู่ที่ความเร็ว แต่ในเมื่ออังกฤษรับลึกอยู่แล้ว คงเป็นเรื่องยากที่กองหน้าคู่แข่งจะมีพื้นที่ให้เทอร์รี่กับเลสค็อตต์ ต้องวิ่งจัดการ ในขณะเดียวกันทั้งอันโตนิโอ คาสซาโน่ และอันโตนิโอ ดิ นาตาเล่ ก็ไม่ใช่กองหน้าประเภทจี๊ดจ๊าด
ความเหนียวแน่นของเทอร์รี่กับเลสค็อตต์ เมื่อผสมผสานกับสตีเว่น เจอร์ราร์ด กับ สก็อตต์ ปาร์คเกอร์ ที่ยืนอยู่หน้าแนวรับ ส่งผลให้เห็นแล้วว่าสิงโตคำรามยังไม่เพลี่ยงพล้ำให้กับใคร
นอกจากนี้ทั้งเจอร์ราร์ดและปาร์คเกอร์ คงช่วยกันปิดทางสร้างสรรค์เกมของอันเดรีย ปีร์โล่ ให้ยักย้ายถ่ายเทบอลให้กับบรรดากองหน้ายากมากขึ้น
เมื่อเจอร์ราร์ดกับปาร์คเกอร์ ช่วยกันลดความกดดันให้กับทีม นั่นจะเป็นหน้าที่ของแอชลีย์ ยัง และธีโอ วัลค็อตต์ (ถ้าได้ลงสนาม) ต่อไป กับการเข้าโจมตีด้วยเกมสวนกลับที่ต้องใช้ความเร็วเข้าจัดการ รวมทั้งการโฉบขึ้นมาเติมของเกล็น จอห์นสันกับแอชลีย์ โคล เกมแบบนี้มันก็เหมือนกับเกมของอิตาลีที่เราเคยเห็นประจำนั่นแหละ
การเปิดบอลที่แม่นยำของสตีเว่น เจอร์ราร์ด จากทั้ง 3 นัดในรอบแรก มีความหมายและมีความสำคัญอย่างยิ่ง สิงโตคำรามต้องการคนที่วางบอลแบบนั้นเพื่อโอกาสของตัวเอง จะไปคาดหวังเรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะการต่อบอลกันเข้าทำจากจังหวะโอเพ่นเพลย์ คงยากหน่อย
ถ้าหากเจอร์ราร์ดวางบอลได้แม่นเหมือนที่ผ่านมา เข้าสู่พื้นที่แนวรับของอิตาลีที่ไม่มีจอร์โจ้ คิเอลลินี่ ประจำการอยู่ ดูเหมือนจะเป็นช่องทางที่ดี
การขาดกองหลังตัวหลักจากยูเวนตุสไป เชื่อได้เลยว่าต้องมีผลกับอิตาลีไม่มากก็น้อย และพื้นที่ตรงนั้นเวย์น รูนี่ย์ จะต้องทำให้ได้น้ำได้เนื้อมากที่สุด
และถ้าหากว่าการจัดระเบียบวินัยในการเล่นรวมทั้งสปิริตที่ยังเต็มเปี่ยมได้ดี มันก็มีความคาดหวังขึ้นมา นอกจากนี้จังหวะจะโคนในการเปลี่ยนตัวสำรองของรอย ฮอดจ์สัน ยังคงทำได้ดี อย่างในนัดเจอสวีเดน เปลี่ยนธีโอ วัลค็อตต์ ลงไปป่วนแนวรับจนได้เรื่อง
งานนี้ถ้ามีการตัดสินกันด้วยการดวลจุดโทษ ทั้งอิตาลีและอังกฤษก็ไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกันสักเท่าไหร่ อังกฤษหวังในความมั่นใจและความสดของโจ ฮาร์ท ในขณะที่อิตาลีมีประสบการณ์ที่ล้นปรี่ของจิอันลุยจิ บุฟฟ่อน
ไม่แปลกใจอะไรที่เกมนี้เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสของสิงโตคำราม แต่ในความหนักหน่วงตรงนั้นมันก็มีความหวังที่จะเป็นผู้ชนะได้ด้วย
อิตาลีชนะ...
อังกฤษไม่เคยเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในทัวร์นาเมนต์หลักมา 16 ปีแล้ว และภาพโดยรวมก็ยังเชื่อได้ว่าการรอคอยยังคงไม่จบลงในทัวร์นาเมนต์นี้
การเป็นแชมป์กลุ่มในรอบแรก ดูเหมือนสิงโตคำรามจะได้รับการหนุน ได้รับการเชิดชูจากสื่อจนเกินจริงไปหน่อย ในความเป็นจริงคู่แข่งอาจจะยังไม่มีความเด็ดขาดพอก็เป็นได้ เมื่อรวมเรื่องของโชคเข้าไปทำให้ดูดีขึ้นมา
ฝรั่งเศสครองบอลบุกแทบจะตลอดเวลาในนัดแรก แต่ประสิทธิภาพในการจบสกอร์ด้อยเอง ทำให้อังกฤษมีแต้มอย่างที่ต้องการ ก่อนที่จะมีความดุดันเพิ่มขึ้นมาหน่อยในนัดเจอสวีเดน ด้วยฟอร์มที่วูบวาบของธีโอ วัลค็อตต์ ทำให้แนวรับของสวีเดนปั่นป่วน
นอกจากนี้ความผิดพลาดของผู้รักษาประตูยูเครน และจังหวะบอลข้ามเส้นหรือเปล่า อังกฤษได้รับประโยชน์จากความผิดพลาดตรงนี้แบบเต็มๆ
แม้ว่าเวย์น รูนี่ย์ จะกลับมาลงสนามได้แล้ว และมีสกอร์ติดตัวอีกด้วย แต่ที่เห็นกันชัดเจน สนิมยังคงเกาะอยู่เยอะ จังหวะต่างๆยังคงต้องปรับทิศทางกันต่อไป ในขณะที่แอชลีย์ ยัง ยังคงสร้างสรรค์ผลงานได้น้อยกว่าที่คิดไว้ เจมส์ มิลเนอร์ก็เป็นแค่ผึ้งงานคนหนึ่งแทนที่จะทำเกมริมเส้น
สก็อตต์ ปาร์คเกอร์เหนื่อยล้าแทบขาดใจในทุกนัดที่ลงเล่น เพราะต้องไล่บอลตลอดทั้งเกม แม้ว่าอังกฤษจะได้รับคำชมในเรื่องของเกมรับ แต่ความเป็นปึกแผ่นในเกมรับกับการพลาดโอกาสเองของคู่แข่งมันคนละเรื่องกัน
เรื่องของโชคดีที่มีมาตลอด อังกฤษยังคงหวังว่าจะเกิดต่อเนื่องในนัดเจออิตาลีด้วย แต่ต้องไม่ลืมว่าทีมของเซซาเร่ ปรันเดลลี่ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งแท็กติกคนหนึ่ง ผ่านศึกใหญ่มาโชกโชน เจอสเปน แชมป์เก่าและเต็งแชมป์ในครั้งนี้ก็ยังมีแต้มได้ด้วยสกอร์ 1-1
เจอกับโครเอเชียที่สร้างความประทับใจให้ใครต่อใคร อิตาลีก็ไม่แพ้ ก่อนจะจัดการไอร์แลนด์ในนัดสุดท้ายของรอบแรก อิตาลีมีเกมรับรวมทั้งเกมโต้กลับที่เป็นธรรมชาติมากกว่าอังกฤษค่อนข้างมาก ทั้งคาสซาโน่,ปีร์โล่และดิ นาตาเล่ สร้างความ
ประทับใจให้เห็นกันมาแล้ว
เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าสิงโตคำรามจะผ่านเข้ามาถึงรอบนี้ แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้รับการคาดหวังเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด และอิตาลีน่าจะพิสูจน์ให้เห็นว่าการจะก้าวข้ามพวกเขาไปนั้นมันยากเกินกว่าที่อังกฤษจะทำได้
จุดอันตรายของอิตาลี...
การผ่านบอลของปีร์โล่...
การสร้างสรรค์และการเปิดบอลของอันเดรีย ปีร์โล่ ยังคงยอดเยี่ยม มีนักเตะไม่มากนักที่สามารถทำแบบนั้นกับสเปนได้ ความนิ่ง ความแน่นอน เป็นเรื่องของความสง่าผ่าเผยของปีร์โล่ที่พร้อมจะใช้บอลและความสามารถที่มีอยู่ทำร้ายคู่แข่งด้วยเกมที่ดูง่ายๆ แต่คนอื่นทำไม่ได้
จังหวะของคาสซาโน่...
จอห์น เทอร์รี่กับโจลีออน เลสค็อตต์ เจอของแสลงแน่นอนกับนักเตะที่เทคนิคดีพุ่งเข้าหาพร้อมบอลที่ติดเท้า งานนี้เหนื่อยใจแน่นอนสำหรับแนวรับของสิงโตคำราม
ซูเปอร์มาริโอ...
จังหวะยิงของมาริโอ บาโลเตลลี่ ถ้าเข้าฟอร์มขึ้นมาใครก็เอาอยู่ได้ยาก เกมสำคัญๆ บาโลเตลลี่มักจะโผล่หน้าขึ้นมาเป็นคนปิดสกอร์ให้กับทีมได้
จุดอ่อนของอิตาลี...
ไม่มีคิเอลลินี่...
การขาดหายไปของจอร์โจ้ คิเอลลินี่ ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ของอิตาลี เพราะนี่คือตัวหลัก เป็นคีย์แมนคนสำคัญในเกมรับของทีม เป็นไปได้อีกว่าปรันเดลลี่ จะใช้บริการของดานิเอเล่ เด รอสซี่ และนั่นต้องแลกด้วยเกมแดนกลางที่อ่อนลงไป
ขาดความเร็ว...
อิตาลีไม่ใช่พวกที่มีฝีเท้าจี๊ดจ๊าด โดยเฉพาะเฟเดริโก้ บัลซาเร็ตติ แบ็กซ้ายของทีม ไม่ว่าธีโอ วัลค็อตต์, แอชลีย์ ยัง หรือ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่ถูกส่งลงไปจัดการสามารถสร้างปัญหาได้ทั้งสิ้น อาจจะได้เห็นการดึงเสื้อกันจนขาดก็ได้
ซูเปอร์มาริโอ...
เป็นนักเตะที่คาดเดาเรื่องของความคิด จิตใจ และพฤติกรรมยากที่สุดในโลก ไม่รู้ว่าอารมณ์แกจะเปลี่ยนไปเมื่อไหร่ ถ้าโดนนักเตะสิงโตคำรามซึ่งคุ้นกันดีอยู่แล้วสะกิดโดนจุดอ่อนพร้อมที่จะเป็นเรื่องเป็นราวทันที งานนี้อาจจะต้องนั่งสำรองก็ได้
เรื่องโดย"ดามัน"