ถอดรหัสลับฟุตบอลไทย

ถอดรหัสลับฟุตบอลไทย

ถอดรหัสลับฟุตบอลไทย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอล : ขึ้นหัวคอลัมน์ว่าถอดรหัสลับฟุตบอลไทย แต่อันที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่ความลับเท่าไหร่ แฟนบอลไทยที่ไม่ใช่ขาจรก็คงพอจะรู้แกวอยู่แล้วไม่มากก็น้อย ช่วงนี้การจะเสพข่าวกีฬาของแต่ละสื่อ ขอเตือนว่าต้องใช้ดุลยพินิจ และวิจารณญาณ อย่างมาก ผมว่ามันเริ่มออกแนว "ลับ ลวง พราง" ไปซะแล้ว

เพราะแต่ละข่าวที่ออกมา ช่างซับซ้อนซ่อนเงื่อน เต็มไปด้วยผลประโยชน์แอบแฝง มีการใช้สื่อในมือออกข่าวสร้างภาพลักษณ์และปกปิดความผิดให้แก่พรรคพวกของตัวเอง พร้อมทั้งคอยดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามให้ตกเป็นผู้ร้าย ซึ่งการกระทำเหล่านี้หาประโยชน์อันใดมิได้เลยต่อประชาชนส่วนใหญ่ แถมทำให้ชาวบ้านชาวเมืองที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่หรือเสพสื่อเพียงข้างเดียวอาจเกิดความเข้าใจผิดไปจากข้อเท็จจริง

ทุกวันนี้คุณผู้อ่านทุกท่านทราบกันอยู่ใช่ไหมครับว่าโลกกลม ผมว่าใครๆ ก็รู้กันหมดแล้วว่าโลกกลม แต่มีคนบางจำพวกยังคิดว่าโลกแบน แค่ตัวเองคิดยังไม่พอ ยังพยายามจะยัดเยียดให้ผู้อื่นคิดเหมือนตนเองด้วยว่าโลกแบน

แต่คนพวกนี้คงลืมไปว่าทุกวันนี้มันเป็นยุคโซเชี่ยล เน็ตเวิร์ค ข้อมูลข่าวสารมันไว สามารถตรวจสอบหาความถูกต้องได้ไม่ยาก ใครโกหกอะไรแป๊บเดียวก็อาจถูกนักสืบไซเบอร์ลากไส้มาแฉจนเสียผู้เสียคนในเวลาเพียงไม่นาน มีตัวอย่างให้เห็นกันมาก็มาก

อดีตจนถึงปัจจุบันพวกเราเคยถูกปลูกฝังความคิดที่ว่า หากภาครัฐหรือการเมืองเข้าไปแทรกแซงสมาคมกีฬา จะถูกองค์กรต่างชาติสั่งแบนไม่ให้เข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ เรื่องนี้ขอตอบว่าจริงแค่บางส่วน เพราะในธรรมนูญของฟีฟ่ามีการกำหนดไว้เพื่อป้องกันการแซงชั่นจากฝ่ายการเมือง

แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะสมาคมกีฬาอะไร หรือแม้แต่ต่างประเทศก็มีนักการเมืองเกี่ยวข้องทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่นประธานสหพันธ์ฟุตบอลของอิตาลี (FICG) อย่างนายจิอันคาร์โล อาเบเต้ ก็สังกัดพรรคเดโมแครตคริสเตียน

คนดังที่เคยเป็นข่าวฟ้องร้องกับคุณวรวีร์ มะกูดี เมื่อปีที่แล้วอย่าง ลอร์ด ทรีสแมน อดีตประธานสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ก็เป็นนักการเมืองสังกัดพรรคแรงงาน แม้แต่ "บังยี" เองก็เป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย แถมมีตำแหน่งผู้แทนการค้าไทยในรัฐบาลชุดปัจจุบันอีกด้วย ดังนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่าสมาคมไหนๆ ก็มีการเมืองมาเกี่ยวข้องแน่นอน

ที่สำคัญฟีฟ่าจะไม่สั่งแบนประเทศใดๆ เพียงแค่เพราะไม่ปฏิบัติตามธรรมนูญฟีฟ่า เนื่องจากแต่ละประเทศมีสิ่งที่เรียกว่ากฏหมายที่มาจากรัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจสูงสุดที่ภายนอกไม่มีสิทธิ์ล่วงล้ำเป็นอันขาด

ประเทศที่เคยถูกฟีฟ่าแบนในกรณีประมาณนี้ ตั้งแต่ที่ผมเกิดมาเท่าที่จำได้มีเพียงชาติเดียวเท่านั้นคือ อิรัก สาเหตุเกิดจากรัฐบาลของอิรักไปสั่งยุบสมาคม เนื่องจากมีปัญหาทุจริตภายใน และจัดตั้งกรรมการบริหารขึ้นมาใหม่เองโดยไม่ได้รับการรับรองจากฟีฟ่า ดังนั้นฟีฟ่าก็ต้องสั่งเบรกเอาไว้ก่อนเป็นเวลา 2 ปี

เนื่องจากสมาคมใหม่ของอิรักในตอนนั้นจัดขึ้นมาอย่างไม่ถูกต้องตามหลักสากล แต่ว่าปัจจุบัน อิรัก ก็กลับมาร่วมสังฆกรรมกับฟีฟ่าได้เหมือนเดิมแล้ว ทั้งที่เป็นสมาคมเดิมที่เคยถูกสั่งแบนนั่นแหละ

ดังนั้นขอสรุปตรงนี้เลยว่า กรณีที่ฟีฟ่าจะแบนประเทศใดได้ก็ต่อเมื่อ สมาคมฯนั้นๆ ถูกยึดอำนาจโดยภาครัฐหรืออื่นๆ และทำการจัดตั้งกรรมการบริหารสมาคมฯขึ้นมาเอง คล้ายๆ กับการทำรัฐประหาร แต่หากมีการเลือกตั้งอย่างถูกต้องตามกติกา ไม่ว่าใครจะได้เป็นนายกฯสมาคม ฟีฟ่าไม่มีสิทธิอำนาจใดๆ ที่จะมาแบนสมาคมฯนั้นได้เลย

ย้อนกลับมาที่บ้านเรา เมื่อไม่กี่วันก่อนทางทีพีแอลได้กำหนดให้เกมระหว่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับ บีอีซี เทโร ศาสน แข่งกันในวันพฤหัสบดี ที่ 16 พ.ค. ในเวลา 19.00 น. ซึ่งโปรแกรมเตะนัดนี้อันตรายมากต่อทีม "ปราสาทสายฟ้า" รวมถึงวงการฟุตบอลไทย เนื่องจาก บุรีรัมย์ฯ เพิ่งลงเตะกับ บุนยอดกอร์ ในศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อวันอังคารที่ 14 ซึ่งแข่งจบไปในเวลาประมาณ 20.00 น.

ตามกฎของฟีฟ่ากำหนดให้แต่ละทีมต้องได้พักอย่างน้อย 48 ชม. ถึงจะลงแข่งขันนัดต่อไปได้ แต่หากยึดตามโปรแกรมของทางทีพีแอล บุรีรัมย์ จะได้พักเพียง 47 ชม. เท่านั้น ซึ่งถือว่าละเมิดกฎของฟีฟ่าชัดเจน ไม่อยากคิดในแง่ร้ายว่ามีลับลมคมในกันหรือเปล่า แต่ถ้าจะเอาชัวร์ เกมคู่นี้ต้องเลื่อนไปเตะในเวลา 20.00 น. จึงจะปลอดภัย เพราะหากฝืนเตะในเวลาเดิมอาจทำให้ทีม บุรีรัมย์ฯ ถูกลงโทษตัดสิทธิออกจากการแข่งขัน ACL ทันที หรือไม่เช่นนั้นสโมสรตัวแทนของไทยอาจถูกแบนในฤดูกาลหน้าก็เป็นได้

ปิดท้ายด้วยเรื่องที่กำลังเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ ที่มีสื่อกีฬายักษ์ใหญ่ค่ายหนึ่งออกมาประกาศว่าจะไม่ขอร่วมงานกับสมาคมฟุตบอลฯหากนายกฯไม่ใช่ "บังยี" คือถ้าจบแค่ตรงนี้ก็ยังดูหล่อ เพราะกล้าแสดงตัวว่าเลือกข้างชัดเจน แต่ดันทิ้งท้ายไว้ว่าหากเป็นสมาคมชุดเดิม ก็จะมีส่วนแบ่งลิขสิทธิ์ไทยพรีเมียร์ลีก ให้กับทีมต่างๆ และคณะกรรมการผู้ตัดสินเป็นจำนวนเงินเท่านั้นเท่านี้

ต่อให้เป็นคนที่ไม่รู้ประสีประสาแค่ไหนอ่านแค่นี้ก็สะดุ้งแล้วว่ามันเหมือนกับการจับเอาฟุตบอลไทยเป็นตัวประกัน แล้วให้สโมสรสมาชิกที่มีสิทธิ์ไม่ว่าจะ 184 เสียง หรือ 72 เสียงก็ตาม ลองชั่งใจดูว่าจะเลือก "บังยี" หรือ "บิ๊กกร๊อง" โดยมีผลประโยชน์มาเป็นตัวล่อใจ ว่าแต่หากไม่เลือก "บังยี" คุณก็จะไม่ได้เงินก้อนนี้นะ

ผมขอออกตัวก่อนนะว่าไม่ได้สนับสนุน "บังยี" หรือ "บิ๊กกร๊อง" หรือแม้แต่คุณพินิจ งามพริ้ง เป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วย ขอแค่ใครก็ได้ที่เข้ามาทำงานจริงๆ ไม่ใช่เพื่อกอบโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋าพวกพ้องของตนเอง

แต่ถึงตอนนี้ผมชักไม่มั่นใจแล้วว่า ปัญหาที่แท้จริงของวงการฟุตบอลไทยเราเป็นเพราะตัวบุคคล หรือเป็นเพราะพวกที่อยู่เบื้องหลังคนเหล่านี้กันแน่

หากเป็นอย่างหลัง ต่อให้ใครมาเป็นนายกสมาคมฯ วงการฟุตบอลไทยก็ยังน่าสงสารและถูกปู้ยี่ปู้ยำต่อไปอยู่ดี ช่างน่าอนาถใจเหลือเกิน...

เรื่องโดย "one man show"

เครดิตภาพ - http://www.smmonline.net/

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook