โหมโรง ศึกยูโร 2012 (ตอนที่ 1)

โหมโรง ศึกยูโร 2012 (ตอนที่ 1)

โหมโรง ศึกยูโร 2012 (ตอนที่ 1)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอลลีกยุโรป ผ่านพ้นไปอย่างสมบูรณ์แบบ แม้จะยังเหลือเกมสแปนิช โคปาเดลเรย์ นัดชิงชนะเลิศ ระหว่าง บาร์เซโลน่า กับ แอธเลติก บิลเบา อีก 1 คู่ ในวันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคมนี้ แต่จากนี้ไป เรื่องราวของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2012 ก็จะเข้ามาแทนที่แบบเต็มรูปแบบกันซะที

โดยเฉพาะในคอลัมน์ "ซอยสามัคคี" ที่เนื้อหาส่วนใหญ่ จะเริ่มพุ่งไปที่ศึกยูโร 2012 แบบเต็ม ๆ ยกเว้นบางวัน ที่มีเรื่องอื่นซึ่งน่าสนใจเข้ามา ก็อาจจะมีสลับไปบ้าง แต่ว่า เรื่องที่ผมบอกว่าสำคัญ จนสามารถเบียดเรื่องราวของบอลยูโร ตกขอบไป ก็จะต้องเป็นเรื่องที่ "ใหญ่" และ "น่าสนใจ" จริง ๆ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องน้อง ๆ เรื่อง “ขุนศึก” เลยละครับ

เมื่อผมบอกว่า จากวันนี้เป็นต้นไป จะเริ่มเขียนถึงเรื่องราวของศึกยูโร 2012 เพราะฉะนั้น ก็ต้องขอเริ่มด้วยการวิเคราะห์วิจารณ์ พินิจพิจารณากันถึงความหวังของแต่ละชาติ ที่เข้าร่วมชิงชัยกันในศึกหนนี้ โดยขอไล่กันไปทีละกลุ่มเลยก็แล้วกัน และจะไล่ไปจนกระทั่งว่า สุดท้ายแล้ว ชาติใด จะก้าวไปเป็นแชมป์

กลุ่มเอ : โปแลนด์ , กรีซ , รัสเซีย และ สาธารณรัฐเช็ก

ทีมเจ้าภาพร่วม "โปแลนด์" หลังจากหมดยุครุ่งเรืองในช่วงทศวรรษ 1970 ต่อเนื่องถึงต้นทศวรรษ 1980 แล้ว พวกเขา ยังห่างไกลจากความสำเร็จในระดับเมเจอร์มาก เอาแค่ ได้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายของฟุตบอลโลก หรือ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ยังแทบนับครั้งได้ แต่สำหรับการเป็นเจ้าภาพบอลยุโรปหนนี้ พวกเขาถือว่าโชคดีมาก ที่จับสลากมาอยู่ในสายที่ไม่แข็งจนเกินไปนัก

ทีมของกุนซือ ฟรานซิสเซ็ค สมูด้า มีจุดเด่นอยู่ที่ 2 ผู้เล่นในแนวรุกจากดอร์ทมุนด์อย่าง ยาคุบ บลาสซิวคอฟสกี้ กับ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่ฟอร์มกำลังพุ่งปรู้ดปร้าด ดูแล้ว พวกเขามีโอกาสที่จะผ่านเข้ารอบน็อกเอาท์ไปได้ไม่น้อยเหมือนกัน

ส่วนอีก 3 คู่แข่งร่วมสายนั้น ถือว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกันอย่างยิ่ง โดยทีมหมีขาว “รัสเซีย” ของ ดิ๊ก แอทโวคาท กุนซือชาวดัตช์ ที่นำทัพมาโดยนักเตะอย่าง พาเวล โปรเกร็บเนียค , โรมัน พาฟลูเลนโก้ และ อังเดร อาร์ชาวิน ดูจะมีภาษีกว่า สาธารณรัฐเช็ก ของมิชาล บิเล็ค ที่ผสมผสานกันมาระหว่างนักเตะรุ่นเก๋าอย่าง โทมัส โรซิชกี้ , มิลาน บารอส กับพวกรุ่นหนุ่ม ๆ ยุคใหม่อยู่เล็กน้อย

ในขณะที่ กรีซ ของเฟอร์นันโด ซานโต้ส กุนซือชาวโปรตุเกส คงจะลำบากสักนิด เนื่องจากปัญหาภายในประเทศที่รุมเร้า น่าจะมีผลบั่นทอนสภาพจิตใจขุนพลในทีมพอสมควร 

บทสรุปของกลุ่มเอ เชื่อว่า โปแลนด์ น่าจะผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้ ในฐานะแชมป์ของกลุ่ม โดยมีทีมหมีขาว "รัสเซีย" ที่จะตามเข้ารอบไปในฐานะรองแชมป์กลุ่ม

กลุ่มบี : เนเธอร์แลนด์ , เดนมาร์ก , เยอรมนี และ โปรตุเกส

นี่คือกรุ๊ปออฟเดธ หรือ กลุ่มแห่งความตาย ที่มีหวังใส่กันมันหยดติ๋ง ๆ ไปเลย เนื่องเพราะว่า มาตรฐานของทั้ง 4 ทีมถือว่า ใกล้เคียงกันมาก อดีตแชมป์ยูโร 1992 "ทีมแดนโคนม" เดนมาร์ก ของอาจจะดูว่า อ่อนที่สุด เมื่อเทียบกับคู่ต่อสู้ทั้ง 3 ทีม

แต่การผสมผสานระหว่างขุนพลรุ่นใหม่ บวกกับตัวเก๋า ๆ อย่าง เดนนิส รอมเมดาห์ล , นิคลาส เบนด์เนอร์ , คริสเตียน โพลเซ่น และ แดนนี่ แอ็กเกอร์ ที่ประสบการณ์กับการเล่นในลีกระดับท็อปของยุโรปถือว่าไม่ธรรมดา อาจจะทำให้ เดนมาร์ก แม้โอกาสลุ้นเข้ารอบอาจจะมีไม่มาก แต่คู่ต่อสู้อีก 3 ทีมร่วมกลุ่ม กว่าจะผ่านพวกเขาไปได้ ก็คงแทบอาเจียนเหมือนกัน

อดีตแชมป์ 3 สมัยอย่าง "อินทรีเหล็ก" เยอรมนี ของโยอาคิม เลิฟ น่าจะเป็นทีมที่ คว้าแชมป์กลุ่มนี้ได้ เนื่องเพราะแกนหลักในทีมที่โยกี้ เลิฟ ใช้สูตร "บาเยิร์น บล็อค" คือการนำเอาตัวหลักจากทีมเสือใต้ "บาเยิร์น มิวนิค" ติดเข้ามาถึง 7 คน บวกกับขุนพลคนอื่น ๆ ซึ่งแทบจะยกชุดมาจากศึกเวิลด์คัพ 2010 ที่ผ่านมา

ไม่ว่าจะเป็น บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ , โทมัส มุลเลอร์ , โทนี่ โครส , ฟิลลิป ลาห์ม  , มาริโอ โกเมซ , ลูคัส โพดอลสกี้ , มาริโอ เกิตเซ่ , เมซุต โอซิล , ซามี่ เคห์ดิร่า หรือ อังเดร ชูร์เร่ บวกกับการโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ชนะรวดในรอบคัดเลือก และยังอุ่นเครื่องสวย ๆ ด้วยการเชือดทีมอย่าง เนเธอร์แลนด์ และ บราซิล มาแล้ว ยังไงพวกเขาก็ดีพอที่จะจบรอบแรกด้วยการอยู่เหนือทีมร่วมกลุ่มอีก 3 ทีมแน่ ๆ

ทีมแดนกังหันลม "เนเธอร์แลนด์" ของเบิร์ต ฟาน มาร์ไวก์ ซึ่งยังคงเต็มไปด้วยผู้เล่นชุดแกร่งที่เกือบซิวแชมป์โลกได้เมื่อปี 2010 นำโดย เวสลีย์ สไนจ์เดอร์ , อาร์เย็น ร็อบเบน , มาร์ค ฟาน บอมเมล , ราฟาเอล ฟาน เดอ ฟาร์ท และหัวหอกฟอร์มแรง เจ้าของรางวัลรองเท้าทองคำของศึกพรีเมียร์ลีกอย่าง โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ดูแล้ว พวกเขายังดีพอที่จะเป็นรองแชมป์กลุ่มได้

ส่วน โปรตุเกส ของกุนซือเปาโล เบนโต้ ที่แม้จะมี คริสติอาโน่ โรนัลโด้ นำทัพมาด้วย แต่ปัญหาของพวกเขา เวลาเล่นบอลทัวร์นาเมนท์ ก็คือความคงเส้นคงวา ที่ยังไม่แน่นอนพอ บวกกับการฝากความหวังเอาไว้ที่ โรนัลโด้ เพียงคนเดียว ทำให้พวกเขามักจะไปไม่รอด เมื่อถึงช่วงสำคัญ

บทสรุปของกลุ่มบี เยอรมนี จะเป็นแชมป์กลุ่ม โดยมีทีมแดนกังหันลม ตามเข้ารอบไป

เฮียนอส

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook