ฝันสีทองของเจอร์ราร์ด

ฝันสีทองของเจอร์ราร์ด

ฝันสีทองของเจอร์ราร์ด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สตีเว่น เจอร์ราร์ด เคยนำลิเวอร์พูลชูถ้วยแชมป์เอฟเอคัพและยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกมาแล้วในฐานะกัปตันทีม และยังเคยคว้าแชมป์เอฟเอคัพกับหงส์แดงอีกหนึ่งสมัย, แชมป์ลีกคัพอีกสองสมัย และแชมป์ยูฟ่าคัพอีกหนึ่งสมัยด้วย

แต่สิ่งหนึ่งที่เขายังไปไม่ถึงฝั่งฝัน นอกจากการคว้าแชมป์ลีกแล้ว นั่นคือการได้ชื่นชมความสำเร็จในสนามเวมบลีย์นั่นเอง

มิดฟิลด์วัย 31 ปียิงจุดโทษให้ลิเวอร์พูลบุกไปพิชิตแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0 ในรอบรองชนะเลิศนัดแรกของศึกคาร์ลิ่งคัพฤดูกาลนี้ ทำให้หงส์อยู่ห่างจากสังเวียนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้อีกแค่ 90 นาทีของการลงเตะนัดที่สองที่แอนฟิลด์เท่านั้น

“การได้ชูถ้วยแชมป์ที่เวมบลีย์มีความหมายมากสำหรับผม มันจะเป็นฝันที่เป็นจริง” เจอร์ราร์ดบอก

“ถ้าผมได้นำทีมลงเตะที่เวมบลีย์แต่เราแพ้ ผมก็คงจะจดจำมันในแบบที่ไม่น่าอภิรมย์นัก การได้ไปเวมบลีย์คือเป้าหมาย ส่วนฝันของผมคือการคว้าแชมป์ที่นั่น”

ลิเวอร์พูลลงเตะที่เวมบลีย์ครั้งหลังสุดในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพปี 1996 ซึ่งหงส์แดงชุดที่ได้รับฉายาว่าสไปซ์บอยที่สวมสูทอาร์มานี่สีครีมในระหว่างพิธีการก่อนเกม พ่ายแพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-1 จากประตูชัยของเอริก คันโตน่า

หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่เคยได้ลงเตะที่สนามแห่งนี้อีกเลย จนกระทั่งถูกปิดในปี 2000 และกลับมาเปิดใช้ในฐานะนิวเวมบลีย์ในปี 2007

หลังจากเฉือนชนะแมนฯ ซิตี้ได้ในลีกคัพรอบตัดเชือก ลิเวอร์พูลก็ฟอร์มสะดุดอีกครั้ง เมื่อทำได้แค่เสมอกับสโต๊ค 0-0 ในบ้าน และออกไปพ่ายโบลตันแบบหมดฟอร์ม 1-3 ในเกมล่าสุด จนเคนนี่ เดลกลิช ผู้จัดการทีม ถึงกับปรี๊ดแตกออกโรงจวกผลงานของลูกทีมชุดใหญ่

ตอนนี้ความหวังที่ลิเวอร์พูลจะทำอันดับให้ติดท็อปโฟร์ดูจะยากยิ่งขึ้นไปอีก และถึงแม้เจอร์ราร์ดจะยืนยันว่าการได้กลับไปเตะในถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกอีกครั้งยังเป็นเป้าหมายสำคัญของทีมอยู่ แต่การคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยในประเทศมาครองก็สำคัญไม่แพ้กัน

“ผมเข้าใจดีถึงความจำเป็นของสโมสรในเรื่องการเงิน ผมเข้าใจดีว่าการจบในอันดับท็อปโฟร์มีความหมายมาก ตอนออกสตาร์ตฤดูกาลมันอาจจะเป็นเป้าหมายหลักของเรา แต่ในฐานะนักเตะแล้วผมไม่อยากพูดกับใครต่อใครหรอกว่าผมจบอันดับท็อปโฟร์มาแล้วตั้งสี่ห้าครั้ง”

“ผมอยากมองย้อนกลับมาแล้วได้พูดว่าผมได้แชมป์คาร์ลิ่งคัพสาม, สี่ หรือห้าสมัยมากกว่า”

“สิ่งหนึ่งที่ผมพยายามไม่ทำคือจมอยู่กับสิ่งที่ผ่านไปแล้วมากเกินไป มันสำคัญที่เราต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดของเราในเกมกับโบลตันให้ทันก่อนลงเตะนัดที่สองกับแมนฯ ซิตี้ เราได้รับรู้ข้อผิดพลาดของเราแล้ว ผู้จัดการทีมวิจารณ์เราต่อหน้า”

“เคนนี่พูดกับเราในห้องแต่งตัวหลังจบเกมและอีกครั้งในเช้าวันจันทร์ก่อนการซ้อม เขาไม่ได้โมโห เขาแค่บอกว่าอะไรเป็นอะไร เขาบอกเราทั้งในแบบตัวต่อตัวและในฐานะทีมว่าเขารับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น และผมในฐานะกัปตันทีมก็มีหน้าที่จะต้องทำให้มันดีขึ้น"

ถึงตอนนี้คงได้รู้กันไปแล้วว่าเจอร์ราร์ดและลิเวอร์พูลจะบรรลุเป้าหมายแรกในการได้ผ่านไปเตะที่เวมบลีย์หรือไม่ การรอคอยที่ยาวนาน 16 ปี ของหงส์แดงที่จะได้ลงเล่นที่เมกกะลูกหนังแห่งนี้จะสิ้นสุดลงหรือยัง

ส่วนกัปตันทีมคนนี้จะได้พบกับฝันสีทองของเขาในการได้ชูถ้วยแชมป์ที่เวมบลีย์เมื่อไหร่

ก็คงต้องตามเอาใจช่วยเอาใจแช่งกันต่อไป

เรื่องโดย "เบบี้ แบร์"

<< แมนฯยูไนเต็ด 1-0 ลิเวอร์พูล เอฟเอคัพ รอบชิง 1996 >>

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook