เมื่อ‘แดง’ไม่‘เดือด’!

เมื่อ‘แดง’ไม่‘เดือด’!

เมื่อ‘แดง’ไม่‘เดือด’!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กระแส “แดงเดือด” ไฟต์แรกของปีนี้ ในบ้านเราอาจจะเงียบไปพอสมควร

เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองของเราตอนนี้มันน่าสนุกที่ไหน

แถมเกมที่สนามแอนฟิลด์ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ลงดวลกับคู่ปรับตลอดกาล “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ครั้งที่ 183

ก็เล่นออกมาไม่ได้สนุก หรือว่าเป็นเกมที่ดีอย่างที่คาดกันไว้

ความแปลกใจเริ่มต้นตั้งแต่ต้นเกม โดยเฉพาะในฝั่งม้านั่งสำรองของผู้มาเยือน

ยูไนเต็ด มาแปลกด้วยการดร็อป เวย์น รูนี่ย์, ฮาเวียร์ เฮอร์นานเดซ, อันแดร์สัน และนานี่ เป็นแค่ตัวสำรอง

ส่ง แดนนี่ เวลเบ๊ค ยืนหน้าเป้าตัวเดียวแล้วให้ ไรอัน กิ๊กส์ ลงมาเล่นหน้าต่ำ

วางให้ ฟิล โจนส์ ขึ้นมาเล่นมิดฟิลด์ ประสานกับ ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์, ปาร์ค จี ซอง และแอชลี่ย์ ยัง

แค่เห็นผังการเล่นอย่าว่าแต่กองเชียร์เลยครับ ผมว่า นักเตะเองมันก็คงจะงงเหมือนกัน

ขณะที่ฝั่งของเจ้าบ้าน สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีมลิเวอร์พูล ลงตัวจริงนัดแรกของฤดูกาล และเป็นหนแรกในรอบ 7 เดือน ที่สำคัญนัดดังกล่าวนั้นเป็นการเล่นกับ ยูไนเต็ด อีกด้วย

ที่เหลือก็ไม่แปลก สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง ได้เล่นด้านซ้าย, เดิร์ค เคาท์ อยู่ขวา โดยมี หลุยส์ ซัวเรซ ยืนหน้าเป้าซึ่งตามทรงแล้วดีกว่า แอนดี้ คาร์โรลล์ เพราะเกมนี้ถ้าคิดจะโยนเข้าไปเล่นรับรองว่าโดนแผงหลังผีที่ไม่ว่าใครก็ได้ลงมาเล่น รับกินหมดแน่

เคนนี่ ดัลกลิช แสดงให้เห็นแล้วว่า ลูคัส เลว่า กับ ชาร์ลี อดัม หากไม่เจ็บป่วยตายซะก่อน จะต้องเล่นร่วมกันแน่ทั้งซีซั่นนี้ เพราะต้องดีเลย์เกมคู่แข่งหนึ่งคน และเปิดเกมหนึ่งคน

เพียงแต่ว่า เจอร์ราร์ด ยังคงเป็นเหมือนเดิมอย่างที่เขาเคยเป็น

เขามักจะให้บอลแรงหรือไม่ก็เผื่อมากเกินไป เพียงแต่ความพิเศษความเป็นเจอร์ราร์ด ทำให้เมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่เจ็บ

การันตีตัวจริงแน่นอน    

เมื่อ ลิเวอร์พูล ต้องปรับจูนการเล่น บวกกับ แมนฯยูไนเต็ด ที่จัดทัพแปลก ๆ ลงสนาม เกมจึงเริ่มต้นอย่างช้า ๆ และเดินไปอย่างเอื่อย ๆ

ใครที่ดูอยู่ก็คงจะเมื่อยดีไม่หยอก

รายละเอียดเกมคงไม่ต้องมาพูดกันมาก โอกาสแรกของ ยูไนเต็ด มาก่อนในนาทีที่ 15 ส่วน ลิเวอร์พูล กว่าจะมาต้องรอถึงนาทีที่ 34

แทบจะไม่มีการปะทะหนักดุเดือดเหมือนกับที่ผ่านมาแม้แต่นิดเดียว


ไม่เกี่ยวกับสกอร์ 0-0 เมื่อจบครึ่งแรก แต่มันเป็นเกมแดงเดือดที่มีครึ่งแรกที่แย่ที่สุดในรอบหลายปีเลยก็ว่าได้

กระทั่ง ลิเวอร์พูล กล้าเล่นมากขึ้น โดยเฉพาะ อดัม ที่เด่นมากในเกมนี้ และสุดท้ายไม่ว่าจะจ่ายบอลพลาด ตัดบอลโฉ่งฉ่าง แต่ความพิเศษยังเกิดขึ้นเสมอกับคนชื่อ เจอร์ราร์ด

ปั่นยิงฟรีคิกทะลุกำแพงที่ ไรอัน กิ๊กส์ ดันทะลึ่งหมุนตัวหนี เสียบมุมเข้าไป เป็นประตูให้ ลิเวอร์พูล สตาร์ตนำ 1-0 และเป็นประตูแรกนับตั้งแต่เดือนมกราคมของ เจอร์ราร์ด อีกด้วย

มันเหมือนปลุกเสือหลับให้ตื่นขึ้นมา เซอร์อเล็กซ์ ที่กำลังจะแก้เกมก่อนเสียประตู ก็ต้องเร่งส่ง เวย์น รูนี่ย์ กับ นานี่ ลงสนาม ต่อด้วยทิ้งไพ่ใบสุดท้ายส่ง ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ ชิชาริโต้ ลงแทน ฟิล โจนส์ ใน 14 นาทีสุดท้าย

4 นาทีจากนั้น ชิชาริโต้ ก็มาพังประตูได้เป็นโอกาสที่ชัดเจนที่สุดแค่หนเดียวของยูไนเต็ดก็ว่าได้
         
สุดท้ายแฟนบอลลิเวอร์พูล ก็ต้องเสียดายโดยเฉพาะนาทีสุดท้ายทอดยาวไปถึงทดเจ็บนาทีที่ 3 เนื่องจากมีโอกาสอีกถึง 3-4 ครั้งแต่ก็ทำไม่ได้ จึงต้องแบ่งแต้มกันไป
           
สิ่งที่เราได้เห็นก็คือ “แท็กติก” อย่างที่บอกไปว่า นี่คือตัวแปรสำคัญที่สุดในเกมนี้
           
เราไม่ได้เห็นการพลิกเกมด้วยตัวนักเตะเอง แต่ทุกคนเล่นไปตามแท็กติกตามรูปแบบที่ถูกกำหนดมาทั้งหมด
           
โดยเฉพาะ แมนฯยูไนเต็ด พวกเขาสับสนอย่างชัดเจน และสับสนตลอดทั้งเกมด้วยซ้ำ ไม่เหมือนกับทีมที่ทรงพลังในช่วงต้นซีซั่น เพราะเปลี่ยนนักเตะมากจนเกินไป

อีกส่วนก็คือ ผลพวงจากเกมทีมชาติ ทำให้เกมขาดรสชาติ ไม่มีรสไม่มีชาติ(No Car No Nations) ของแท้

ที่สำคัญการประเมินคู่แข่งของทั้ง ดัลกลิช และเซอร์อเล็กซ์ ต่างผิดไปทั้งคู่ ซึ่งคงไม่ต้องอธิบายอีกว่า ใครประเมินใครมากหรือน้อยจนเกินไป ยังผลให้ศึกบิ๊กแมตช์เรด ไฟต์ หรือบิ๊กแมทช์ซูเปอร์ไฟต์.....
           
กลายเป็นศึกเปลืองคนไฟไปซะฉิบ!!!

เรื่องโดย"บี แหลมสิงห์"

คอลัมน์ may i come in please นสพ.กีฬาฮอตสกอร์

<< คลิกเพื่อชมภาพใหญ่ >>

อัลบั้มภาพ 16 ภาพ

อัลบั้มภาพ 16 ภาพ ของ เมื่อ‘แดง’ไม่‘เดือด’!

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook