ผลบอล : สิงห์บลูดุบุกขย้ำไก่ 4-2

 

ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม 2555

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2 - 4 เชลซี

สนาม : ไวท์ฮาร์ท เลน 

ผู้ตัดสิน : ไมค์ ดีน 

 

 

"ไก่เดือยทอง" ของ กุนซือ อันเดร วิลลาช-โบอาช คว้าชัยชนะมาติดต่อกัน 4 นัดรวดแล้ว บุกชนะ เร้ดดิ้ง 3-1 , เปิดบ้านเฉือน ควีนส์ปาร์ค 2-1, บุกชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-2 และเปิดรังชนะ แอสตัน วิลล่า 2-0 ทางฝั่ง โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ กุนซือ "สิงห์บลูส์" อดีตมือขวา โบอาช ที่เข้ามายึดตำแหน่งกุนซือต่อตั้งแต่ปลายซีซั่นที่แล้ว พกตำแหน่งจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก บุกมาเยือนทีมของเจ้านายเก่า 

เริ่มเกมเป็นทาง สเปอร์ส ได้เขี่ยลูกเริ่มเล่นก่อน บุกจากขวาไปซ้าย เกมดำเนินมาถึงนาทีที่ 4 เจ้าบ้าน สเปอร์ส มาได้โอกาสลุ้นประตูก่อนอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ลูกฟรีคิกบริเวณกลางสนาม กิลฟี่ ซิกูร์ดส์สัน หยอดบอลมาที่หน้าประตูให้ วิลเลียม กัลลาส วิ่งมาวอลเลย์ยิงแบบไร้ตัวประกบ แต่ กัลลาส กับเตะวืดไปเสียเอง บอลจึงหลุดออกหลังไป

นาที 10 เชลซี มาได้โอกาสลุ้นบ้าง จากจังหวะที่ ออสการ์ เก็บตกบอลได้ตรงบริเวณหัวกะโหลกหน้าเขตโทษ ก่อนยิงเรียดด้วยขวา แต่บอลหลุดออกเสาไปนิดเดียว

นาที 17 เชลซี มาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 เมื่อได้ลูกเตะมุมทางฝั่งซ้าย เอแดน อาซาร์ เปิดบอลโด่งมาถึงเสาสอง วิลเลียม กัลลาส โหม่งสกัดไม่ดี กลายเป็นโหม่งตั้งให้ แกรี่ เคฮิลล์ วิ่งมาวอลเลย์เต็มเหนี่ยว บอลแฉลบกองหลัง สเปอร์ส นิดนึง ก่อนพุ่งแสกหน้า แบร็ด ฟรีเดล เสียบใต้คานเข้าประตูไปอย่างสวยงาม

นาที 20 สเปอร์ส เกือบได้ประตูตีเสมอทันควัน เมื่อ เจอร์เมน เดโฟ เลี้ยงบอลจากกลางสนามขึ้นมาก่อนสับไกยิงหน้ากรอบเขตโทษ ปีเตอร์ เช็ก ต้องออกแรงปัด คลินท์ เดมพ์ซี่ย์ วิ่งเข้ามาจะตามซ้ำ เเต่ แอชลี่ย์ โคล ก็มาช่วยเตะเคลียร์ทิ้งออกหลังได้ทัน

นาที 30 สเปอร์ส พลาดได้ประตูตีเสมออีกครั้ง เมื่อ อารอน เลนน่อน พาบอลขึ้นมาทางฝั่งขวาเข้ามาในเขตโทษ ก่อนเปิดมาที่หน้าประตู แกรี่ เคฮิลล์ โหม่งเคลียร์ไม่ขาด บอลมาตกที่ กิลฟี่ ซิกูร์ดสัน จับหนึ่งจังหวะก่อนซัดด้วยขวา แต่บอลเฉียวเสาออกหลังไปนิดเดียว

นาที 39 เชลซี เกือบได้ลูกที่สอง เมื่อ รามิเรส พาบอลมาถึงกรอบเขตโทษ ก่อนไหลให้ ฆวน มาต้า วิ่งมายิงด้วยซ้ายข้างถนัด แบร็ด ฟรีเดล พุ่งเซฟได้ในจังหวะแรก บอลมาเข้าทาง ฆวน มาต้า อีกครั้งได้ยิงซ้ำอีกที แต่คราวนี้ยิงไม่ดี บอลโด่งข้ามคานออกหลังไปเยอะ

หลังจากนั้น ทั้งสองทีมไม่สามารถทำอะไรเพิ่มเติมได้ จบครึ่งแรก เชลซี บุกนำ สเปอร์ส 1-0

เริ่มเกมในครึ่งหลัง ได้เเค่ 2 นาที สเปอร์ส มาได้ประตูตามตีเสมออย่างรวดเร็ว จากจังหวะที่ได้ฟรีคิก ทอม ฮัดเดิลสตัน เปิดยาวไปที่เสาสอง ยาน แฟร์ทองเก้น ตวัดเข้ากลางให้ วิลเลียม กัลลาส โหม่งคนเดียวจ่อๆ เข้าประตูไป ให้ สเปอร์ส ตามตีเสมอเป็น 1-1

เกมดำเนินมาถึง นาที 54 เจ้าบ้าน สเปอร์ส ได้ประตูพลิกเเซงนำเป็น 2-1  เมื่อ อารอน เลนน่อน ได้บอลเลี้ยงจี้เข้ากรอบเขตโทษ ก่อนจ่ายบอลให้ เจอร์เมน เดโฟ ตวัดยิงตามน้ำด้วยขวา ส่งบอลตุงตาข่าย

เเต่แล้วในนาทีที่ 66 เชลซี ก็ตีเสมอได้สำเร็จ จากจังหวะที่ ออสการ์ เปิดบอลจากริมสนามฝั่งขวามาที่หน้าประตู วิลเลียม กัลลาส เคลียร์บอลไปเข้าทางปืนของ ฆวน มาต้า วิ่งมากดยิงด้วยซ้ายบอลเสียบโคนเสาเข้าประตูไป เชลซี ตามมาเป็น 2-2

ถัดมาอีก 3 นาที เชลซี พลิกแซงนำ 3-2 อย่างรวดเร็ว เมื่อ เอแดน อาซาร์ จ่ายบอลทะลุช่องให้กับ ฆวน มาต้า หลุดเดี่ยวเข้าไปในเขตโทษก่อนยิงผ่านมือ แบร็ด ฟรีเดล เข้าไปตุงตาข่าย

นาที 74 เชลซี มาได้ลุ้นอีกครั้ง จากจังหวะพลาดของ วิลเลียม กัลลาส ทำให้ ฆวน มาต้า หลุดเข้าไปยิง เเต่ แบร็ด ฟรีเดล ยังออกมารับไว้ได้

นาที 86 เชลซี เกือบได้ประตูเพิ่ม เมื่อ มาต้า จ่ายทะลุช่องให้ เฟร์นานโด ตอร์เรส หลุดไปในเขตโทษทางซ้ายก่อนปั่นไซด์โป้ง แต่บอลโค้งไม่พอ หลุดออกเสาสองไปนิดเดียว

ช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 1 เชลซี ได้เฮอีกครั้ง เมื่อ ฆวน มาต้า ใช้ความขยันวิ่งไปฉกบอลจาก ไคล์ วอล์คเกอร์ ด้านฝั่งซ้าย ก่อนลากเข้ามาเปิดให้ ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ เเปจ่อๆ เข้าไป เชลซี หนีห่าง สเปอร์ส เป็น 4-2

หลังจากนั้น ทั้งสองทีมไม่สามารถทำอะไรกันได้เพิ่มเติม จบเกม เชลซี บุกไปชนะ สเปอร์ส 4-2 เก็บเพิ่มสามคะแนน นำจ่าฝูงต่อไปแบบสบายๆ

 

รายชื่อนักเตะของทั้ง 2 ทีม

สเปอร์ส : ระบบ 4-2-3-1 แบร็ด ฟรีเดล (ผู้รักษาประตู) - ไคล์ วอล์คเกอร์, วิลเลียม กัลลาส, สตีเว่น คอลเกอร์, ยาน แฟร์ทองเก้น - ซานโดร, ทอม ฮัดเดิลสตัน (เจค ลิเวอร์มอร์ น.66) - อารอน เลนน่อน, คลินท์ เดมพ์ซี่ย์ (เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ น.73), กิลฟี่ ซิกูร์ดส์สัน - เจอร์เมน เดโฟ

-----------------------------------------------------------

เชลซี : ระบบ 4-2-3-1 ปีเตอร์ เช็ก (ผู้รักษาประตู) - บรานิสลาฟ อิวาโนวิช, แกรี่ เคฮิลล์, ดาวิด ลุยซ์, แอชลี่ย์ โคล - จอห์น โอบี มิเกล, รามิเรส - ฆวน มาต้า, ออสการ์ (ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ น.82), เอแดน อาซาร์ (แฟร้งค์ แลมพาร์ด น.89) - เฟร์นานโด ตอร์เรส