Same Same But…….

Same Same But…….

Same Same But…….
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ขอใช้คำคลาสสิกของไทยที่ไม่ค่อยหยาบเท่าไหร่แต่น่ารักดีเหมือนกันว่า “กระแดะ” ในการขึ้นหัวเรื่องในวันนี้

ว่ากันตามเชิงคำนี้มันน่าจะชัดเจนดี กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ ครั้งที่  185 ระหว่าง “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน ดวลกับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่กูดิสัน พาร์ค และผลออกมาก็คือ ลิเวอร์พูล บุกไปชนะ 2-0

เกมที่สนามแห่งนี้จบลงด้วยสกอร์ดังกล่าวมา 4 ปีซ้อน เพียงแต่ว่ามันจะสลับฝั่งยังไงก็แล้วแต่สถานการณ์ความเป็นไปของแต่ละทีม

ก่อนเกมถือว่าน่าสนใจ เพราะครั้งสุดท้ายในการคุมทัพ “หงส์แดง”ยุคแรกของ เคนนี่ ดัลกลิช เกิดขึ้นที่สนามแห่งนี้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ในเกมเอฟเอ คัพ รอบ 5 นัดรีเพลย์ ปี 1991

นำ 4 ทีแต่โดนตีเสมอ 4 หน มันทำให้ ดัลกลิช ทนไม่ไหว กลับไปนอนคุยกับเมียแล้วเลือกที่จะ”ลาออก”ในอีก 2 วันต่อมา

พร้อมกับการล่มสลายอย่างเป็นทางการของทีมจากเมอร์ซี่ย์ไซด์ พร้อมกับสร้างขั้วอำนาจใหม่บนถนนลูกหนังเมืองผู้ดี

ผมโชคดีที่ได้เห็นเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ แบบสด ๆ ตั้งแต่ยุค 80 ทั้งการอยากดูและถูกจับให้ดู ประมาณยัดเยียดนั่นแหละว่า เกมลูกหนังมันสนุกกว่าการ์ตูนเป็นไหน ๆ

เมอร์ซี่ย์ไซด์แรก ในการได้ชมคือไฮไลต์ทางช่อง 5 ช่วงเย็นวันเสาร์ ได้เห็น แกรม ชาร์ป ที่เมื่อก่อนแปลภาษาเรียกกันว่า “กราเอ็ม ชาร์ป” พลิกบอลหนี อลัน แฮนเซ่น กับ มาร์ค ลอว์เรนสัน สองเซ็นเตอร์สุดหินของหงส์แดง ก่อนจะเอี้ยวตัววอลเล่ย์ผ่านมือ บรู๊ซ กร๊อบเบลลาร์ เข้าไปตุงตาข่าย

นั่นคือเกมฟุตบอลลีกปี 1985 ที่แอนฟิลด์ ก่อนจะส่งให้ เอฟเวอร์ตัน เป็นแชมป์ในบั้นปลาย

ได้เห็นเกมถ่ายทอดสดคู่นี้เป็นครั้งแรกก็คือ “เมอร์ซี่ย์ไซด์ ไฟนอล” เอฟเอ คัพ ปี 1986 ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะตามหลังมาเคี้ยวทอฟฟี่สุดมันส์ 3-1

บอกตามตรงว่า สนุกมาก

นับจากวันนั้นมา เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ ไม่เคยห่างจากตัวของผม เมื่อมีหรือว่าไม่มีโอกาส ผมก็จะสร้างโอกาสให้ตัวเอง หาชมเกมระหว่างคู่ปรับคู่นี้ตลอด

ไม่ว่าจะวีดีโอ เรื่อยมาจนถึงซีดี และเป็นวีซีดีในปัจจุบัน เชื่อเหลือเกินว่า หลายคนคงได้เคยชม “Liverpool beating the Blue” หรือว่าจะได้ชม “I’m blue not Red”

ได้เห็นความคลาสสิกของทั้งสองทีมในยุค 80 จากนั้นได้เห็นความตกต่ำถึงของทั้งสองในยุค 90 เรื่อยมาจนก่อนถึงมิลเลนเนียม

มาถึงยุคมิลเลนเนียมมาจนถึงวันนี้กว่า 10 ปี สถานการณ์การต่อสู้ยังเป็นเหมือนเดิม

ลิเวอร์พูล ต่อเกมรุกเข้าใส่ ขณะที่ เอฟเวอร์ตัน งัดลูกหนักมาสู้ พร้อมกับมีพลังพิเศษอยู่เสมอเมื่อเจอกับคู่ปรับข้ามฝั่งสแตนลี่ย์ พาร์ค

เฉกเช่นเดียวกันกับเวอร์ชั่นล่าสุดที่กูดิสัน พาร์ค เมื่อวันวาน แค่นาทีที่ 23 แจ๊ค ร็อดเวลล์ พุ่งเข้าเสียบ หลุยส์ ซัวเรซ ในจังหวะ 50-50 แล้วยกขาคาไว้เล็กน้อย

น่าเสียดายที่มันเกิดขึ้น”ต่อหน้า”ผู้ตัดสิน มาร์ติน แอ๊ตกินสัน ทำให้ควักใบแดงไล่ออกไปทันที

จากนั้น ก็เป็นการย้ำภาพเดิม “หงส์แดง” เดินเครื่องบุกก่อนจะชนะ แต่มันก็มีดราม่ามาเหมือนกัน

เดิร์ค เคาท์ ยิงจุดโทษไปโดน ทิม ฮาวเวิร์ด โชว์ซูเปอร์เซฟ ด้วยการพุ่งไปปัดออกหลังไปได้

เคนนี่ ดัลกลิช ไม่รอจนถึงนาทีที่ 75 เหมือนอย่างเคย ๆ แก้ตั้งแต่ผ่านมานาทีที่ 67 ด้วยการส่ง สตีเว่น เจอร์ราร์ด กับ เคร็ก เบลลามี่ ลงแทน ชาร์ลี อดัม กับ สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง ที่เล่นเมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้หนแรกอย่างน่าผิดหวัง

ฟิล เนวิลล์ ถูกส่งลงมาแทน ลีออน ออสแมน แต่ เนวิลล์ผู้น้อง ดันตบกบาล ออสแมน ซะแรงจนเจ้าตัวต้องหันไปมองแบบค้อน ๆ ว่า “ทำไมถึงตบแรงขนาดนี้ฟะ”

แอนดี้ คาร์โรลล์ ที่ถูกมองว่าซื้อมา “บังแดด” อย่างเดียว ปลดล็อกด้วยการพังประตูแรกในเมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้ ตั้งแต่เกมแรก เช่นเดียวกับ หลุยส์ ซัวเรซ ที่มีปัญหาในเกมที่แล้ว แต่ก็มาพังประตูหมูหกได้สำเร็จ เป็นสกอร์แรกในนัดแรกของเกมสายเลือดนี้ด้วยเช่นกัน

สุดท้าย เคนนี่ ดัลกลิช ก็ยังไม่แพ้ เอฟเวอร์ตัน 23 ปีซ้อน และมักจะมีอะไรให้พูดถึงเวลาเจอกับทอฟฟี่เมน
         
ทุกอย่างดีหมด และเหมือนเดิมหมดทุกอย่างยกเว้นเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ ทั้งสองทีมไม่ใช่อภิมหาทีมท็อปแห่งประเทศอีกแล้ว
           
ไม่ต้องแค่สองทีมหรอก
           
ทีมเดียวเอาให้รอดก่อน...ก็ยังยากเลย!

เรื่องโดย "บี แหลมสิงห์"

คอลัมน์ may i come in please นสพ.กีฬาฮอตสกอร์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook