ครบรอบ 22 ปีกับ "กังฟูคิกในตำนาน"
เมื่อวานนี้ในวันพุธอันสุดแสนธรรมดา เชื่อหรือไม่ครับว่านี่คือวันที่ครบรอบ 22 ปีเหตุการณ์ "กังฟูคิก" ของ เอริค คันโตน่า ที่สาวกรุ่นเก่าไม่เคยลืมเลือน
อันที่จริงผมเคยเขียนถึงเรื่องนี้ไปแล้ว ทว่าในฐานะที่เหตุการณ์ดังกล่าวอุตส่าห์หวนมาบรรจบอีกครั้ง มันก็อดไม่ได้ครับที่จะ "ไม่เขียนถึง"
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 25 ม.ค. 1995 ในเกมระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด และ คริสตัล พาเลซ วันนั้นคือวันที่ "สาวกพรีเมียร์ลีก" ทั้งหลายไม่มีวันลืมเลือน
ขณะที่เกมยังคงเจ๊ากันอยู่ 0-0 และเริ่มครึ่งหลังไปได้เพียง 3 นาที เอริค คันโตน่า ดาวเตะอารมณ์ศิลปินก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดด้วยการไล่หวด "ริชาร์ด ชอว์" เซนเตอร์คู่แข่งจนโดนไล่ออกจากสนามทันที
ว่ากันว่าคู่นี้ปะทะคารมกันตั้งแต่ช่วงพักครึ่งในห้องแต่งตัว จนสุดท้าย คันโตน่า ทนไม่ไหวระเบิดอารมณ์ใส่ ชอว์ ออกมา
ทว่าสิ่งที่ผู้คนทั่วโลกต่างจดจำ และกลายเป็นไฮไลท์ของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในเวลาต่อมา กลับไม่ใช่การจงใจไล่หวด ชอว์ ให้ลงไปนอนร้องขอความเจ็บปวด หรือสกอร์ในเกมดังกล่าว
หากแต่เป็นช็อตต่อไปที่ว่ากันว่าเป็น "โมเมนต์" ประจำทศวรรษในเวลาต่อมา
หลังโดนไล่ออก คันโตน่า ตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่มีใครนึกถึง
ด้วยการกระโดดถีบ "แม็ทธิว ซิมม่อนส์" แฟนบอลฮาร์ดคอร์ของเจ้าถิ่นชนิดเต็มเบ้าอกแบบไม่ลังเล!
"ผมไม่เคยเสียใจนะที่กระทำเช่นนั้น" เอริค คันโตน่า กล่าวในวันนั้น
ขณะที่ "ก็องโต้" กำลังเดินออกจากสนามหลังถูกไล่ออก ซิมม่อนส์ หนึ่งในแฟนบอลของผู้มาเยือนกลับแสดงความสะใจอย่างออกนอกหน้าพร้อมกับตะโกนใส่ยอดหัวหอก "ปีศาจแดง" ว่า "ไปตายให้หนอน****" ที่บ้านเกิดฝรั่งเศสซะ"
นั่นจึงนำมาสู่ "ช็อตโมเม้นต์" อันสุดคลาสสิกตลอดกาลของโลกในเวลาต่อมา
ครับ จากวันนั้นสู่วันนี้เหตุการณ์ดังกล่าวล่วงเลยมากว่า 22 ปีแล้ว แม้นี่จะถือเป็นการกระทำสุดคลาสสิกที่ในปัจจุบันยังคงมีผู้เข้าไปดูย้อนความหลังทาง youtube กันแบบล้นหลาม
ทว่ากับตัวของ คันโตน่า เอง เจ้าตัวก็ยอมรับว่า นับตั้งแต่กระทำเหตุการณ์อื้อฉาวดังกล่าว ตนเองก็ไม่เคยเปิด หรือคลิ๊กเข้าไปดูอีกเลย
"ผมไม่เคยย้อนกลับไปดูมัน มันไม่ได้สลักสำคัญอะไร" เดอะ คิง แห่ง โอลด์ แทรฟฟอร์ด ท้าวความหลัง "แต่คิดขำๆนะ นั่นคือเรื่องดราม่า และผมก็ไม่ต่างอะไรกับนักแสดง แม้ผมจะทำในสิ่งที่หลายคนต้องทึ่ง แต่กับตัวผมเอง ผมไม่ได้อินกับมันเท่าไหร่"
"ถึงผมจะกระโดดถีบยอดอกแฟนบอล แต่ผมไม่ได้จริงจังกับเหตุการณ์นั้นเลย โลกนี้คือการแสดง และทุกอย่างก็เป็นไปตามบท ณ ตอนนั้นก็เท่านั้น"
เรียกได้ว่า อินดี้จริงๆสำหรับยอดสตาร์ และขวัญใจแฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ด ผู้นี้ แม้การกระทำดังกล่าวจะถูกมองว่า ป่าเถื่อนไปหน่อย ทว่ามีหรือที่คนอย่าง คันโตน่า นั้นจะใส่ใจ
"ก็องโต้" ได้ยืนยันว่าชีวิตนี้ตนเองเกิดมาเพื่อเป็นนักฟุตบอล มิใช่บุคคลตัวอย่าง ดังนั้นตนเองก็มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้ที่หัวใจของตนเองต้องการ!
"ผมไม่คิดว่าผมต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ผมทำเพียงเพราะว่าผมเป็นใคร ผมก็แค่นักฟุตบอล และเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น"
"ผมไม่แคร์กับเสียงวิจารณ์หรอก ผมไม่ใช่บุคคลต้นแบบ ผมก็แค่ทำในสิ่งที่ใจผมนั้นเรียกร้องและต้องการ ถึงตรงนี้ถ้ามีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมจำเป็นต้องถีบแฟนบอลอีกครั้งผมก็จะทำ"
สุดท้ายนี้ เมื่อถูกถามว่าเสียใจหรือไม่กับเหตุการณ์ดังกล่าว เจ้าตัวก็ยิ้มก่อนจะตอบว่า
"เสียใจเหรอ!?? ให้ตายสิ ผมซัดเขาเบาเกินไป บางทีผมควรต่อยเขาเข้าใบหน้าด้วยท่วงทำนองที่หนักหน่วงกว่านี้"
เรียกได้ว่าไม่มีแม้แต่แววตาที่จะแสดงความเสียใจที่จะเผยออกมา แต่ก็นี่แหละครับ คือตัวตนและความเป็นตัวของตัวเองของ "ก็องโต้" ที่ทำให้คนรักเขายันจนกระทั่งปัจจุบัน
และเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถทำเหตุการณ์อัน "อุกอาจ" เช่นนี้ได้
เพราะหากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าตัวหรือเป็น "โจอี้ บาร์ตัน", "ดิเอโก้ คอสต้า" ที่กระโดดถีบยอดอกแฟนบอลแบบนี้บ้าง
ป่านนี้คงโดนตราหน้าว่า "ไอ้เถื่อน" ไปแล้ว! ฮาาา