อาลัยแด่ แกรี่ สปีด ผู้จากไปจากเกมลูกหนังแบบไม่มีวันกลับ

อาลัยแด่ แกรี่ สปีด ผู้จากไปจากเกมลูกหนังแบบไม่มีวันกลับ

อาลัยแด่ แกรี่ สปีด ผู้จากไปจากเกมลูกหนังแบบไม่มีวันกลับ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ข่าวใหญ่เมื่อวานนี้ที่ทำเอาหลายๆ คนช็อกไปตามๆ กันก็คืออดีตกองกลางทีมชาติเวลส์ แกรี่ สปีด วัย 42 ปี ได้เสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย อดีตนักเตะของลีดส์ ยูไนเต็ด สร้างสถิติไว้ในศึกพรีเมียร์ชิพ อังกฤษหลายอย่างเลยทีเดียวเรามาติดตาดูประวัติของกองกลางรายนี้ที่เราจะไม่ ได้เห็นเค้าอีกแล้ว

ลีดส์ ยูไนเต็ด (1988-1996) 248 นัด 39 ประตู

แกรี่ แอนดรูว์ สปีด คือชื่อเต็มของอดีตแกรี่ สปีด ที่เราๆ รู้จักกัน สปีดเป็นนักเตะฝึกหัดของทีมลีดส์ ยูไนเต็ด และเริ่มต้นเป็นนักเตะอาชีพกับ “ยูงทอง” ในปี 1988 จากนั้นเจ้าตัวก็ได้ประเดิมสนามเกมแรกด้วยวัย 19 ปี

จาก นั้นเจ้าตัวก็ได้พาทีมยูงทองคว้าแชมป์ลีกหรือดิวิชั่น 1 เดิมของอังกฤษ โดยลีดส์ ในยุคนั้นมีนักเตะอย่างกอร์ดอน สตรัคคั่น, แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์ และเดวิด แบ็ตตี้ ร่วมทั้งยังร่วมทีมคว้าแชมป์ ลีกคัพในปี 2006 ด้วยการชนะผ่านแอสตัน วิลล่าในรอบชิงชนะเลิศ

เอฟเวอร์ตัน (1996-1998) 58 นัด 15 ประตู

ใน ปี 1996 เจ้าตัวก็ได้ย้ายออกจากทีมที่ตัวเองเริ่มต้นอาชีพค้าแช้งมาเล่นให้กับ “ท๊อฟฟี่ เมน” เอฟเวอร์ตัน โดยได้ประเดิมเกมแรกในนัดที่ทีมของเขาพบกับนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด และเจ้าตัวก็เป็นนักเตะที่มีความเป็นผู้นำสูง

จนทำให้ฮาวเวิร์ด เคนดอล ผู้จัดการทีมเอฟเวอร์ตัน ในตอนนั้นได้มอบปลอกแขนกัปตันทีมให้เขาพาลูกทีมสู้ศึกในฤดูกาล 1997-98 แต่หลังจากนั้นก็ได้ย้ายออกจากทีมอีกครั้งโดยที่เจ้าตัวไม่ยอมเผยถึงสาเหตุ ที่ต้องย้ายออกจากทีม

นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด (1998-2004) 121 นัด 14 ประตู

ถึงแม้ว่าจะได้เป็นกัปตันของอฟเวอร์ตัน แต่เจ้าตัวก็ได้ย้ายมาร่วมทีมนิวคาสเซิ่ลในปี 1998 ด้วยค่าตัว 5.5 ล้านปอนด์ สปีดร่วมมือกับอลัน เชียร์เรอร์ พา “สาลิกาดง” เข้าชิงเอฟเอคัพถึงสองปีซ้อนในปี 1998 และ1999 พบกับอาร์เซน่อล และแมนฯยูไนเต็ด ตามลำดับ แต่ก็ต้องผิดหวังได้รับเพียงแค่เหรียญรองแชมป์เท่านั้น

มา ถึงในฤดูกาล2002-2003 สปีด พาทีมเล่นยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีกและทีมของเขาเคยสร้างปาฎิหารย์ในรอบแบ่งกลุ่ม 32 ทีม หลังจากที่ลงเล่นไปสามนัดแรกทีมของเขาไร้คะแนน และกลับมาคว้าชัยในสามเกมสุดท้ายทำให้ผ่านเข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มรอบสอง

แต่ก็ต้องผิดหวังกระเด็นตกรอบในรอบแบ่งกลุ่ม 16 ทีมนี้หลังจากที่ต้องพบกับบาร์เซโลน่า, อินเตอร์ มิลาน และไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น

โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส (2004-2008) 121 นัด 14 ประตู

ปี 2004 หลังจากที่ผ่านช่วงพีกของอาชีพค้าแข้งกับนิวคาสเซิ่ล อดีตกองกลางของลีดส์ฯ ก็ได้ย้ายทีมอีกครั้งโดยย้ายไปร่วมทีม “เดอะ ทร็อตเตอร์” โบลตัน วันเดอร์เรอร์สด้วยค่าตัว 750,000 ปอนด์ โดย ที่สปีดเป็นนักเตะคนแรกที่ลงสนามในศึกพรีเมียร์ชิพครบ 500 นัด นับตั้งแต่เปลี่ยนมาจากดิวิชั่น 1 โดยเกมนั้นเจ้าตัวก็ได้ฉลองชัยร่วมกับทีมในนัดที่ถล่มเวสต์แฮม 4-0 ในเดือนธันวาคม 2006

ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2007 สปีดก็ได้เริ่มงานโค้ชกับโบลตัน หลังจากที่แซม อัลลาไดซ์ ได้เห็นแววของอดีตกองกลางทีมชาติเวลส์ และได้เป็นผู้เล่นและโค้ชของทีม

หลังจากที่อัลลาไดซ์ ได้ออกไปจากโบลตัน ในเดือนตุลาคมสปีดก็ต้องยุติบทบาทโค้ชของทีม และกลับมาเป็นเพียงผู้เล่นอย่างเดียว  โดยแซมมี่ ลีผู้จัดการทีมคนต่อมา ได้เผยว่าต้องการให้เจ้าตัวมีสมาธิกับเกมการแข่งขันเท่านั้น

ในปี 2007 เจ้าตัวก็ได้สร้างสถิติขึ้นมาอีกครั้งหลังจากเป็นนักเตะที่ยิงประตูได้ในศึกพรีเมียร์ลีก ทุกซีซั่นเหมือนกับไรอัน กิ๊กส์ เพื่อนร่วมชาติของเขา

เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (2008-2010) 37 นัด 6 ประตู

มา ถึงช่วงบั้นปลายอาชีพค้าแข้งของอดีตกองกลางนิวคาสเซิ่ลรายนี้แล้วหลังจาก ย้ายมาจากโบลตัน ด้วยค่าตัว 250,000 ปอนด์ สปีดได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอกับทีมดาบคู่ ในฤดูกาลแรก แต่ฤดูกาลต่อมา(2008-2009)เจ้าตัวก็ต้องพบกับปัญหาอาการบาดเจ็บทำให้ได้ลง สนามไม่มากนัก

และ ในปี 2010เจ้าตัวก็ทนกับสังขารของตัวเองไม่ไหวด้วยวัยถึง 41 ปี ทำให้ประกาศแขวนสตั๊ดกับทีมดาบคู่ แต่ยังคงทำงานกับทีมต่อไปด้วยการเป็นโค้ชของทีม แม้ว่าจะมีรายชื่อสำรองกับทีมในเกมลีกคัพ นัดพบกับฮาร์ทลี่พูล

ทีมชาติเวลส์(1990-2004) 85 นัด 7 ประตู

สปีดติดทีมชาติเวลส์ ตั้งแต่สมัยชุดยู 21 โดยลงเล่นไป 3 นัด จากนั้นเจ้าตัวก็ได้เป็นตัวกลักของทีมชาติ และรับใช้ทีมมังกรแดง ด้วยการลงเล่นไป 85 นัด ยิง 7 ประตู โดยมีสถิติติดทีมชาติเป็นอันดับที่สอง รองจาก เนวิลล์ เซาธ์ฮอลล์ และยังเป็น 1 ใน 6 นักเตะเวลส์ที่เป็นนักเตะที่มีชื่อเสียงของวงการลูกหนัง

โดยที่เขาได้รีไทร์ตัวเองจากทีมชาติในปี 2004 หลังจากที่พ่ายแพ้ต่อโปแลนด์ ในศึกฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก หลังจากที่ลงรับใช้ทีมชาติในเกมแรกนัดอุ่นเครื่องนัดพบชนะคอสตาริก้า 1-0 ที่นิเนี่ยน พาร์ค

หลังจากที่รีไทร์จากทีมชาติ มาร์ก ฮิวจ์ และร็อบบี้ ซาเวจ เพื่อนร่วมชาติก็ได้ทำนายว่าสปีด จะเป็นนายใหญ่ของทีมมังกรแดง

บทบาทผู้จัดการทีม

ใน ฤดูกาล 2010-2011 หลังจากที่ผ่านไปเพียงแค่สามเกมแรกเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ก็ได้ปลดเควิน แบล็คเวลล์ ออกจากสโมสร และได้แต่งสปีด เป็นกุนซือใหม่ของทีม สมัยคุมทีมดาบคู่นั้นเจ้าตัวเคยโดนปรับ 2000 ปอนด์และถูกแบนห้ามคุมทีม 1 นัด หลังจากประพฤติตัวไม่เหมาะสม

ต่อมาถึงเดือนธันวาคม 2010 สปีดถูกสมาคมฟุตบอลของเวลส์ทาบทามไปเป็นกุนซือของทีมชาติบ้านเกิดตัวเอง และต้นสังกัดอย่างเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ก็ไม่ได้ปิดกั้นโอกาสของเจ้าตัว และได้รับการแต่งตั้งในวันที่ 14 ธันวาคม 2010 แทนที่จอห์น โตแช็ค ที่ก้าวลงจากตำแหน่งไปก่อนหน้านั้น

แกมแรกของเขากับเวลส์คือการพาทีมเล่นในศึกเนชั่นคัพ พบกับไอร์แลนด์ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2011 และประเดิมด้วยการพ่ายแพ้ไป 0-3

ส่วน เกมอย่างเป็นทางการก็คือการพาทีมลงแข่งในยูโร 2012 ด้วยการลงเล่นในบ้านและแพ้ต่อทีมชาติอังกฤษ 0-2 ในเดือนสิงหาคม 2011 และทำให้อันดับในฟีฟ่าแรงกิ้งนั้นตกไปอยู่ในอันดับที่ 117 ของโลก แต่จากนัดต่อมาก็เปิดบ้านชนะมอนเตเนโกร 2-1 และไปเยือนทีมชาติอังกฤษก็พ่ายแค่ 0-1 จากนั้นก็เปิดบ้านชนะสวิตเซอร์แลนด์ 2-0 และปิดท้ายศึกยูโร รอบคัดเลือกด้วยการบุกไปชนะบัลแกเรีย 1-0 แมตช์สุดท้ายที่สปีดผากผลงานไว้ก็คือเปิดบ้านถล่มนอร์เวย์ 4-1

เกียรติประวัติของแกรี่ สปีด

ลีดส์ ยูไนเต็ด
ดิวิชั่น 1 (เดิม) 1991-1992
เอฟเอ คอมมูนิตี้ ชิลด์ 1992
ดิวิชั่น 2 (เดิม) 1989-1990

รวมทั้งได้รับเครื่องราชอิสราภรณ์ชั้นเอ็มบีอี จากสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ

และ ทั้งหมดนี้คือข้อมูลของชายที่มีชื่อว่าแกรี่ แอนดรูว์ สปีด ซึ่งเราจะไม่ได้เห็นเขาอีกแล้วในเกมลูกหนัง

ขอร่วมไว้อาลัยแด่ชายคนนี้จะไปสู่สุคติด้วยดีด้วยเถอะ

<<  Gary Speed Official Tribute and Goals >>

<< คลิกเพื่อชมภาพใหญ่ >>

อัลบั้มภาพ 19 ภาพ

อัลบั้มภาพ 19 ภาพ ของ อาลัยแด่ แกรี่ สปีด ผู้จากไปจากเกมลูกหนังแบบไม่มีวันกลับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook