สกู๊ปพิเศษ : เชียร์ฟุตบอลทีมชาติไทย กับภารกิจ ลุ้นตั๋วโอลิมปิก

สกู๊ปพิเศษ : เชียร์ฟุตบอลทีมชาติไทย กับภารกิจ ลุ้นตั๋วโอลิมปิก

สกู๊ปพิเศษ : เชียร์ฟุตบอลทีมชาติไทย กับภารกิจ ลุ้นตั๋วโอลิมปิก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เหลืออีกเพียงแค่ 2 วันเท่านั้นขุนพลช้างศึกทีมชาติไทยชุดยู 23 ก็จะลงสนามนัดแรกเจอกับ “ซาอุดิอาระเบีย” ในฟุตบอลยู 23 ชิงแชมป์เอเชีย ที่จะคัดเอาเพียงแค่ 3 ทีมในโควตาเอเชียไปแข่งในโอลิมปิก รอบสุดท้ายที่ประเทศบราซิลในกลางปีนี้

ต้องยอมรับว่าการเตรียมตัวของทีมชุดนี้ที่มี “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือผู้เรียกศรัทธาของฟุตบอลไทยกลับมามีความพร้อมมากกว่าหลายๆชุดในอดีต แม้ว่าจะมีกรอบของเวลาเตรียมทีมอย่างจริงจังแค่ 1 เดือน

ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนเรียกนักเตะเก็บตัวฝึกซ้อม การวางระเบียบที่ให้อิสระนักเตะภายใต้กรอบของโค้ช หลักการและวิทยาศาสตร์การกีฬาที่ถูกนำมาใช้

จนถึงการบินไปประเทศกาตาร์ที่เป็นประเทศเจ้าภาพก่อนลงสนามนัดแรกถึง 10 วันเพื่อไปเตรียมตัว ให้นักเตะปรับตัว และเกมอุ่นเครื่องที่เลือก “เยเมน” มาเป็นคู่ซ้อมก่อนที่เราจะเอาชนะไปได้ 1-0 เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา


แน่นอนว่ามาถึงรอบนี้ไม่ง่าย เพราะเป็นรอบสุดท้ายที่จะคัดทีมจากโซนเอเชียไปเล่นในโอลิมปิกแล้ว แต่ละทีมคือ “ระดับเอเชีย” ไม่ใช่ระดับ “ภูมิภาค”

ดังนั้นรอบแรกที่อยู่กลุ่มบี การเจอ “ซาอุดิอาระเบีย”, “ญี่ปุ่น” และ “เกาหลีเหนือ” ล้วนเป็นของแข็งทั้งสิ้น

แม้โอกาสจะมีไม่มากแต่เชื่อว่าแฟนบอลชาวสยามประเทศก็แอบลุ้นลึกๆเหมือนกันว่าทีมชาติไทยที่ถูกจัดว่าเป็นม้ามืดของรายการจะสร้างเซอร์ไพรส์ได้ หรืออย่างน้อยๆก็ผ่านรอบแบ่งกลุ่มไปได้

อย่างไรก็ตามถ้าทีมชาติไทยชุดนี้สามารถสร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโอลิมปิก รอบสุดท้าย เชื่อว่าความยิ่งใหญ่จะไม่ต่างจากการได้ไปเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายเลยทีเดียว

ซึ่งจริงๆแล้วในอดีตขุนพลนักเตะสยามประเทศเคยผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโอลิมปิก รอบสุดท้ายมาแล้วถึง 2 ครั้ง แต่ต้องย้อนไปเกือบ 50 ปีที่แล้ว


ครั้งแรกคือโอลิมปิกในปี 1956 ที่เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ครั้งนั้นมีตัวแทนจากเอเชียถึง 5 ทีมคือ “ญี่ปุ่น” “อินเดีย” “เวียดนามใต้” “อินโดนีเซีย” และ “ไทย”

โดยเป็นการแข่งแบบแพ้คัดออก ทีมชุดนั้นมีนักเตะระดับตำนานอย่าง “สำเริง ไชยยงค์” “เกษม ใบคำ” และ “สุกิจ จิตรานุเคราะห์” แต่น่าเสียดายที่รอบแรกเราถูกจับฉลากเจอ “สหราชอาณาจักร” ที่ได้เปรียบเรื่องของรูปร่างและเป็นเจ้าตำรับฟุตบอลยุคใหม่ เลยแพ้ไป 0-9

ขณะที่ครั้งที่ 2 เป็นโอลิมปิกในปี 1968 ที่ประเทศเม็กซิโก ทีมชุดนั้นมีโค้ชจอมฟิตอย่าง “ชัชชัย พหลแพทย์” สมัยเป็นนักเตะรวมทั้งนักเตะระดับตำนาน

ไม่ว่าจะเป็น “อุดมศิลป์ สอนบุตรนาค” “นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์” “สราวุธ ประทีปากรชัย” “สนอง ไชยยงค์” หรือ “เกรียงศักดิ์ วิมลเศรษฐ์” โดยเป็นการแข่งขันแบบแบ่งกลุ่ม

แต่น่าเสียที่เราเราแพ้รวด แพ้ “บัลแกเรีย” 0-7 แพ้ “กัวเตมาลา” 1-4 และ แพ้ “เช็กโกสโลวาเกีย” 0-8 ซึ่ง “อุดมศิลป์ สอนบุตรนาค” กลายเป็นนักเตะประวัติศาสตร์ที่เป็นคนไทยคนแรกและคนเดียวที่ทำประตูในโอลิมปิกรอบสุดท้ายได้

มาถึงยุคนี้ในฐานะทีมเบอร์ 1 ของภูมิภาคอาเซียนแบบเบ็ดเสร็จ ทำให้แฟนบอลทีมชาติไทยทุกคนกล้าฝันที่จะเห็นทีมชาติไทยสร้างเซอร์ไพรส์ให้ได้อีกครั้ง



เพราะขนาดเอเชี่ยนเกมส์ครั้งล่าสุดที่ประเทศเกาหลีใต้ เรายังสามารถคว้าอันดับ 4 มาได้เลย

หรือฟุตบอลหญิงของเราไปบอลโลกเรียบร้อยแล้วและยังสามารถเก็บชัยชนะนัดประวัติศาสตร์เหนือ “ไอเวอรี่ โคสต์” ได้อีก

สุดท้ายถึงความเป็นจริงอาจจะดูยากลำบากแต่คำว่า “เซอร์ไพรส์” สามารถเกิดขึ้นได้ทุกยุคทุกสมัย ในฐานะแฟนบอลอย่างเราๆท่านก็ขอเชียร์ทีมชาติชุดนี้เต็มที่

บางทีไม่แน่เราอาจจะได้เห็นเพลงชาติไทยบรรเลงในสนามฟุตบอลของประเทศมหาอำนาจลูกหนังอย่างบราซิล แค่คิด....ก็ขนลุกซู่แล้วครับ!!

ภาพจาก : Thailand National Team Gallery

<< ประมวลภาพ การซ้อมของทีมชาติไทย >>

 

อัลบั้มภาพ 64 ภาพ

อัลบั้มภาพ 64 ภาพ ของ สกู๊ปพิเศษ : เชียร์ฟุตบอลทีมชาติไทย กับภารกิจ ลุ้นตั๋วโอลิมปิก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook