เบื้องหลังโต๊ะเล็กหูหนวกชายไทย : "รองแชมป์โลก" ที่บางคนต้องใช้โอกาสทั้งชีวิตแลกมา..
แม้จะทำได้เพียงแค่ตำแหน่ง "รองแชมป์โลก" หลังพ่าย อิหร่าน ไปในรอบชิงชนะเลิศ 3-8 เมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 28 พ.ย. ที่ผ่านมา ณ สนามนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ
ทำให้ "ทีมฟุตซอลคนหูหนวกชายไทย" ต้องอกหัก เป็นได้แค่ "พระรอง" อีกครั้ง หลังจากเคยเข้าชิงชนะเลิศมาแล้ว ในการแข่งขันชิงแชมป์โลกครั้งที่ 2 ปี 2007 ที่ประเทศบัลแกเรีย แต่ก็พ่ายให้กับ ยูเครน ไป 2-3 แบบน่าเสียดาย
กับทัวร์นาเม้นต์ เวิลด์ คัพ ครั้งที่ 4 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพนี้ แม้จะต้องอกหักเป็นครั้งที่สอง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตลอดทุกนัดที่ผ่านมา ทีมชาติไทยของเรา "ฟอร์มแจ่ม" เล่นได้ใจแฟนๆทุกนัด
จนมาถึงรอบชิงชนะเลิศ ที่เราก็ต้องยอมรับเช่นกันว่า ทีมชาติอิหร่าน แข็งแกร่งกว่าเรา สมศักดิ์ศรีแชมป์เก่าและป้องกันตำแหน่งแชมป์โลกไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม
วันนี้ Sport Sanook มีข้อมูลเบื้องลึก เกี่ยวกับขุนพลนักฟุตซอลทีมชาติไทยชุดนี้มาฝากกัน ลองอ่านดูครับแล้วพวกคุณจะ "รักและภาคภูมิใจ" พวกเขาทุกคน ในฐานะเพื่อนร่วมชาติแน่นอนครับ
---------------------------------------------------------------------------
ผลงานของ "ทีมฟุตซอลคนหูหนวกชายทีมชาติไทย" ในฟุตซอลโลก ครั้งที่ 4 รอบแรก เสมอ อิตาลี 6-6/ ชนะ อุซเบกิสถาน 14-4 / ชนะ บราซิล 6-1 / เสมอ ฮอลแลนด์ 1-1 / รอบรองชนะเลิศ ชนะ รัสเซีย 3-2 / รอบชิงชนะเลิศ แพ้ อิหร่าน 3-8
ทีมฟุตซอลคนหูหนวกไทยส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันครั้งแรกในฟุตซอลโลกปี 2007 ที่ประเทศ บัลแกเรีย เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน โดยครั้งแรกที่ส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขัน ไทยเราคว้า "รองแชมป์" หลังพ่าย ยูเครน ในนัดชิงฯ ซึ่งทัวร์นาเมนต์นั้น "อโนทัย สาธิยมาศ" คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยม
หลังจากนั้นปี 2011 ที่ประเทศสวีเดน เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ไทยเราจบด้วยการคว้าอันดับ 9 หลังเอาชนะบราซิลในรอบจัดอันดับ
ก่อนจะเป็นทีมชุดนี้ พวกเขามีการรวมตัวกันมาตั้งแต่ก่อนปี 2007 ด้วยการเป็นทีมฟุตบอลคนหูหนวกทีมชาติไทย วิธีการเล่นใช้รูปแบบการเล่นแบบเข้าใจจนแข็งแกร่ง หลายคนบอกว่าพวกเขาเล่นคล้ายกับ ดรีมทีม ชุดรุ่งเรือง ความสามารถสอดผสานกันได้อย่างลงตัว
ขณะเดียวกัน ทีมมีเรื่องราวน่าสนใจมากมาย "อนุสรณ์ พิมพ์งา" คนหนุ่มไฟแรงจากภูเก็ต ที่เคยให้สัญญากับตัวเองเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วว่า จะพาทีมชาติไทยชุดนี้ไปให้ถึงเวทีระดับโลกด้วยตำแหน่งที่คนไทยยอมรับ ในเเง่ของผลงานและส่วนสำคัญสุดคือความสามารถของนักกีฬาเหล่านี้ว่าพัฒนาได้ รวมไปถึงการสร้างทางเลือกอาชีพกีฬาให้กับพวกเขาเหล่านี้
ส่วน "เบอร์ 10-อโนทัย สาธิยมาศ" ตัวเก่งของทีม วัย 39 ปี เขาได้รับการยอมรับจากโลกของฟุตบอลและฟุตซอลคนหูหนวกว่าเป็น "โรนัลโด้แห่งโลกไร้การได้ยิน" อดีตที่ผ่านมาเคยเล่นฟุตซอลไทยลีกให้กับสโมสรลีโอบางซื่อ และเคยทำงานที่บริษัทบางกอกกล๊าส
แต่ปัจจุบันผันตัวเองไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด จ.พระนครศรีอยุธยา ทำงานโรงงาน อโนทัย มีแฟนที่แต่งงานกันแล้ว แม้ว่าเธอจะไร้การได้ยิน แต่ทั้งคู่ก็มีลูกด้วยกันและทุกอย่างครบปกติอย่างที่เขาคาดหวัง ทุกวันนี้จึงมุ่งหน้าทำงานอย่างเต็มที่เพื่อลูก สำหรับฟุตซอลโลกครั้งนี้ เขาอยากคว้าแชมป์โลกให้ได้สักครั้งเพื่อแฟนบอลไทยและลูกวัย 7 ขวบของเขา
"เบอร์ 5-ปฏิพน สิงห์แก้ว" ดาวเตะไร้เสียงวัย 36 ปี จากประจวบคีรีขันธ์ คือนักเตะที่เล่นได้ทุกตำแหน่ง อยู่กับทีมมาตั้งแต่ชุดแรก ก่อนหน้านี้เคยเล่นฟุตบอลระดับถ้วยพระราชทาน ค. ให้กับหัวหิน และฟุตซอลลีกให้ลีโอบีจี
อดีตที่น่าสนใจ เขาเคยมีอาชีพขายไอศครีม แต่ถ้ามีเวลาว่าง รองเท้าที่พกติดรถมักถูกนำมาใช้เสมอ ฟุตบอลทำให้ชีวิต ของ "ต่อ" ปฏิพน เปลี่ยน จนเข้าได้เข้าเรียนที่ มรภ.สวนดุสิต และพัฒนาชีวิตเรื่อยมา
"เบอร์ 11-เกียรตินันท์ สำราญประภัสสร" แม้ว่าจะโดนใบแดง ในเกมที่พบกับ ฮอลแลนด์ แต่โปรไฟล์ของเขาก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะเคยผ่านการเล่นฟุตบอลอาชีพระดับดิวิชั่น 2 ให้กับ สมุทรปราการ เอฟซี
"เบอร์ 7-จำลอง บ่อนา" เด็กหนุ่มชาวดอยร้อยเปอร์เซ็นต์จากเชียงราย แล้วขยับตัวเองไปเรียนที่โสตฯเชียงใหม่ ที่กลายเป็นเพชรเม็ดงามจากรายการชิงแชมป์ปทท.ในฟุตบอลคนหูหนวก ถูกดึงเข้ามาสู่ทีมชาติพร้อมกับการผงาดสู่เส้นทางนักฟุตซอลอาชีพกับ ลีโอบีจี
"เบอร์ 9-นเรศ นุ่มภักดี" ดาวซัลโวของทีมชาติไทย เกิดที่จ.เพชรบูรณ์ พ่อแม่แยกทางตั้งแต่ยังเล็ก ต้องอาศัยอยู่กับยายแบบยากลำบาก ก่อนที่จะเดินทางไปหาอนาคตตัวเองที่โรงเรียนโสตฯจ.ตาก และเริ่มเรียนรู้ฟุตบอลที่นั่น กับ อ.ผจญ จนพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทุกวันนี้ดาวยิงเท้าหนักทำงานโรงงานเกี่ยวกับพวกน็อตสกรูที่ฉะเชิงเทราเลี้ยงชีพตัวเอง
"ชนินันท์ แย้มขวัญยืน" ล่ามภาษามือจากจ.ตรังที่อยู่กับทีมมาตั้งแต่ตั้งไข่จนถึงปัจจุบัน ปี 2547 คือจุดเริ่มของสาวร่างเล็กรายนี้ วันนี้เธอภูมิใจที่เป็นส่วนเล็กๆที่ทำให้คนหูหนวกทำฝันอันยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ
อีกหนึ่งคนที่ต้องพูดถึง แรงจูงใจของนักฟุตซอลไทย คือ "บิ๊กป๋อม-อดิศักดิ์ เบ็ญจศิริวรรณ" ผู้บุกเบิกความคลั่งไคล้ให้คนไทยได้รู้จักกีฬาชนิดนี้ เขาคือแบคอัพชั้นดีของทีมฟุตซอลไทยทุกชุด
วันนี้ทายาทของเขา "ธัชพัทธ์ เบ็ญจศิริวรรณ" เด็กหนุ่มวัย 25 ปี ที่ก่อนหน้านี้ตามติดพ่อมาที่สนามซ้อม เดินตามฝันอันยิ่งใหญ่ของพ่อ ด้วยการเข้ามาเป็น ผจก.ทีมฟุตซอลคนหูหนวกทีมชาติไทย และอยากเห็นทีมฟุตซอลไทยประสบความสำเร็จทุกชุด
แม้ว่าฝีเท้าของพวกเขาจะฉกาจฉกรรจ์แค่ไหน? แต่ชีวิตปกติของหลายคนต้องทำงาน บางบริษัทอนุญาตให้มาเก็บตัวแข่งขัน บางบริษัทไม่อนุมัติ จึงทำให้เขาเหล่านี้ลาออกจากการทำงาน มาเติมฝันที่ต้องการมาทั้งชีวิต นั่นคือ "ฟุตบอล หรือ ฟุตซอล" ที่เขารัก
เครดิตเนื้อหาจากเฟสบุ๊ก Monchai Sukkho
อัลบั้มภาพ 64 ภาพ