ในวันที่ "เสมอแต่เหมือนชนะ?" และ "หัวใจ" สำคัญไม่น้อยกว่าฝีเท้า!

ในวันที่ "เสมอแต่เหมือนชนะ?" และ "หัวใจ" สำคัญไม่น้อยกว่าฝีเท้า!

ในวันที่ "เสมอแต่เหมือนชนะ?" และ "หัวใจ" สำคัญไม่น้อยกว่าฝีเท้า!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ถึงผลการแข่งขันจะทำได้แค่เสมอ แต่การแสดงออกถึงหัวจิตหัวใจนักสู้ ต้องเรียกว่า "ชนะใจ" กองเชียร์ทั้งประเทศ สำหรับ "ทีมชาติไทย" ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา

รูปเกมโดยรวม ถ้าเป็นหนังสักเรื่อง จะเรียกว่า "คนละม้วน" คงไม่ผิดนัก ระหว่างครึ่งแรกกับครึ่งหลัง

ช่วง 45 นาทีแรก "ขุนพลสิงโตแห่งเมโสโปเตเมีย" ทำได้ดีกว่า "ขุนพลช้างศึก" อย่างชัดเจน ทั้งการครองบอล การสร้างโอกาสทำประตู แม้จะจบครึ่งแรกด้วยการนำแค่ลูกเดียว แต่ "ทรงบอล" ดูดีกว่าเราไม่น้อย สมศักดิ์ศรีตำแหน่งทีมวางของกลุ่ม

อีกแง่นึง ถ้าว่ากันตามตรง เป็นทัพช้างศึกของเราเอง ที่ออกอาการ "เกร็ง" อย่างเห็นได้ชัด แนวรับสกัดบอลไม่เด็ดขาด กองกลางจ่ายบอลพลาดหลายจังหวะ และหัวหอกอย่าง "ธีรศิลป์ แดงดา" โดดเดี่ยวเกินไป แค่พลิกบอลให้เพื่อนเล่นยังแทบทำไม่ได้

ช่วงแห่งความ "พีก" กลับกลายเป็นครึ่งเวลาหลัง ซึ่งต้องชมมันสมองในการแก้เกมของเฮดโค้ช "ซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง" ที่คิดเร็วทำเร็ว และที่สำคัญ "ถูกจุด" ที่สุด

เริ่มตั้งแต่ "ประทุม ชูทอง" เซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่สรีระเล็กที่สุดในทีม แต่มีความเร็วและแข็งแกร่ง ได้รับโอกาสลงมาแทน "สุทธินันท์ พุกหอม" ที่ครึ่งแรกดูโฉ่งฉ่างไปหน่อย จนเกือบพลาดทำให้ทีมเสียประตู เดชะบุญที่จังหวะนั้นเป็นอิรักที่ไม่คมเองทั้งๆที่ได้หลุดเข้าเขตโทษ

ไหนจะ "ธนา ชะนะบุตร" และ "ศราวุฒิ มาสุข" สองแนวรุกตัวจี๊ด ที่ลงมา "เปลี่ยนเกม" จากหน้ามือเป็นหลังมือโดยแท้

เป็น 45 นาทีหลังนี้ ที่ทีมชาติไทยเริ่มประสานงานกัน "ได้ดีขึ้นตามลำดับ" แม้จะพลาดเสียประตูที่สองเร็วตั้งแต่ช่วงต้นครึ่งหลัง จากการเสียบอลหน้าเขตโทษของ "สารัช อยู่เย็น" แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีปัญหาใดๆต่อ "กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์" ที่วันนี้พิสูจน์แล้วว่าฉายา "กวินทร์บินได้" ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

ทัพช้างศึกค่อยๆนวดแนวรับอิรักเรื่อยๆ จนกระทั่งมาได้ประตู "ปลุกใจ" ก่อนเข้าสู่ช่วง 10 นาทีสุดท้าย และเป็น "กัปตันอุ้ม-ธีราทร บุญมาทัน" สังหารลูกจุดโทษเข้าไปตุงตาข่าย

อีกไม่กี่นาทีต่อมา หัวหมากได้ "บ้าคลั่ง" ยกกำลังสิบกว่าเดิม การเข้าทำที่เป็น "เอกลักษณ์" ของทีมชาติไทยยุคใหม่ ได้สำแดงฤทธิ์อีกครั้ง ด้วยการต่อบอลขึ้นเกมมาทางซ้าย ก่อนจะเป็น "มงคล ทศไกร" ปีกขวาจอมขยันเข้ามาชาร์จบอลที่หลุดมาโล่งๆหน้าประตูเข้าไป

วินาทีนั้น ราชมังคลากีฬาสถานเข้าขั้นอลหม่าน ไม่รู้ใครเป็นใครแล้วครับ เสียงแหกปากร้องลั่นของฝูงชนกว่า 5 หมื่นคน มันทำให้ทุกสิ่งที่อยู่รอบกายผมสั่นสะเทือนไปหมดก็ว่าได้!

แหม่ ถ้าไม่เข้าข้างตัวเอง เมื่อดึงสติกลับมาหลังจากเฮจนเจ็บคอ ผมเชื่อว่าแฟนบอลเกินครึ่งประเทศ น่าจะมองถึง "ชัยชนะ" ด้วยซ้ำ กับรูปเกมที่เริ่มเข้าที่เข้าทาง โมเมนตั้มที่เริ่มมาฝั่งเราเต็มๆ และช่วงเวลาที่เหลืออยู่ตั้งเกือบๆสิบนาที ไหนจะยังไม่รวมทดเวลาบาดเจ็บอีก

อย่างไรก็ดี อย่างที่ทราบๆกันว่า สุดท้ายแล้ว ผลจบลงด้วยการเสมอ 2-2 แบบน่าเสียดายแต่สุดระทึกใจ

"โธ่ 'จารย์! ฟรีคิกลูกนั้น ถ้า "เจ้าอุ้ม" ได้โยนโค้งๆย้อยๆเข้าไปลุ้น แล้วจับพลัดจับผลูเข้าทางแข้งช้างศึกซัดตุงตาข่าย!!.. มาซาอากิคุง! คุณรู้มั้ยว่าจะทำให้คนไทยเกือบ 70 ล้านคนมีความสุขขนาดไหน?! (เกมจบ แต่งานมโนยังไม่จบ ฮ่าๆ)"

ไหนๆก็เอ่ยถึง "มาซาอากิ โทมะ" เชิ้ตดำชาวญี่ปุ่นและทีมงานแล้ว ตรงนี้ขอยกให้เป็นหน้าที่ของแฟนบอลไทยวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ในเกมนี้ละกันนะครับ เพราะเท่าที่เห็นในโลกโซเชี่ยล พี่แกโดน "จัดหนัก" จนผมคงไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ฮึ่มมม!!

ถือเป็นอีกหนึ่งนัดที่ให้บทเรียนลูกหนังกับทีมชาติไทยยุคความหวังใหม่หลายอย่าง นัดนี้ทำให้เห็นว่า "เรายังไม่นิ่ง" เมื่อต้องเจอความกดดันจากคู่แข่งที่ชื่อชั้นเหนือกว่า

แต่นัดนี้ก็ทำให้เห็นว่า "เราไม่ถอดใจ" แม้จะถูกนำสองลูก ก็ยังเดินหน้าบุกด้วยความอดทน เล่นตามแท็กติกที่โค้ชมอบหมายสุดพลัง ตราบใดที่เสียงนกหวีดจบเกมยังไม่ดัง

และนัดนี้ทำให้เราเห็นว่า "ศรัทธาแฟนบอลไทยสุดยอด" เสียงเชียร์อาจจะแผ่วลงไปบ้างตอนถูกนำห่าง 2-0 แต่เมื่อนักเตะในสนามแสดงให้เห็นว่า "ยังสู้" กองเชียร์ก็พร้อมจะสู้ไปกับคุณเช่นกัน ด้วยเสียงกระหึ่มกึกก้องตลอดช่วงครึ่งหลัง

ขอสดุดีผลงาน "ทีมชาติไทย" ทั้งนักเตะและทีมงานสต๊าฟฟ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน ที่มอบความสุข "อีกครั้ง" ให้กับคนไทย

"ฟุตบอล" เป็นกีฬาที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ถึงแม้ทีมโถ 3 จะชื่อชั้นอ่อนกว่าทีมโถ 1 แต่เมื่อลงสนามไปแล้ว มี 11 คนเท่ากัน เท้า 22 ข้างเท่ากัน ก็ใช่ว่าจะต้องพ่ายแพ้เสมอไป ไม่มีตรรกะใดๆที่จะทำให้รู้ผลการแข่งขันล่วงหน้าได้ 100%

และวันนี้ทีมชาติไทยก็ได้พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งครับว่า "ความแกร่งของหัวใจ" สำคัญไม่แพ้ "ความเก่งของฝีเท้า" จริงๆ

 

เรื่องโดย "น้องเพชร"

***ผ่านไปแล้วครึ่งทางของรอบนี้ เรายังเหลืออีก 3 เกมให้ลุยกันต่อ เริ่มจากวันที่ 13 ต.ค. ออกไปเยือนเวียดนาม, 12 พ.ย. เปิดบ้านรับไต้หวัน และปิดท้าย 24 มี.ค. ปีหน้า ด้วยการออกไปเยือนอิรัก (แต่เตะที่กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน)

ส่วน 1 แต้มที่ได้มาวันนี้ แม้จะได้มาอย่างยากลำบาก แต่ถือว่า "มีค่า" เหลือเกิน สำหรับการชี้ชะตาเข้ารอบต่อไป ส่วนจะมีค่าขนาดไหน ขออนุญาติยกยอดไปฝอยในบทความหน้าครับ***

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook