"สาวมะกัน" อดีตราชินีที่หวนคืนสู่บัลลังก์

"สาวมะกัน" อดีตราชินีที่หวนคืนสู่บัลลังก์

"สาวมะกัน" อดีตราชินีที่หวนคืนสู่บัลลังก์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลังจากขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดมากว่าขวบเดือนเต็ม ในที่สุดฟุตบอลโลกหญิง 2015 บนแผ่นดินแคนาดาก็รูดม่านปิดฉากลงอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้วนะครับเมื่อวันวานที่ผ่านมา

และทีมแข้งสาวแม่เนื้ออ่อนที่ได้ขึ้นครองบัลลังแชมป์ในครั้งนี้ก็คือ สหรัฐอเมริกา

นับเป็นการหวนคืนสู่บัลลังก์แชมป์ของอดีตราชินีฟุตบอลโลกหญิงอย่างแข้งสาวแม่เนื้ออ่อนแดนลุงแซมอีกครั้งก็ว่าได้ หลังจากย้อนหลังกลับไปในยุคทศวรรษที่ 90 นั้น สหรัฐอเมริกาสามารถผงาดขึ้นครองแชมป์ฟุตบอลโลกหญิงได้ถึง 2 สมัยในปี 1991 และ 1999

แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา แข้งสาวแม่เนื้ออ่อนแดนลุงแซมที่เคยเป็นราชินีในฟุตบอลโลกหญิงนั้น กลับถูกทาบรัศมีจากยอดทีมอันเกรียงไกร ไม่ว่าจะเป็น เยอรมัน หรือ ญี่ปุ่น ที่ต่างผลัดกันกระชากบัลลังก์แชมป์พร้อมตำแหน่งราชินีฟุตบอลโลกหญิงไปครอบครอง จนแข้งสาวแม่เนื้ออ่อนแดนลุงแซมหายหน้าหายตาไปจากบัลลังก์แชมป์และตำแหน่งราชินีฟุตบอลโลกหญิงเป็นเวลานานกว่า 16 ปี

ฉะนั้น จากการที่ในอดีต สหรัฐอเมริกา เคยประสบความสำเร็จอย่างมากในฟุตบอลโลกหญิงมาก่อน แต่ต้องร้างลาตำแหน่งแชมป์ไปนานเกือบ 2 ทศวรรษ การได้แชมป์ฟุตบอลโลกหญิง 2015 ในครั้งนี้ จึงเป็นการหวนคืนสู่บัลลังก์แชมป์ของอดีตราชินีฟุตบอลโลกหญิงอย่างแข้งสาวแม่เนื้ออ่อนแดนลุงแซมอย่างปฏิเสธไม่ได้

และเป็นการหวนคืนอย่างงดงามด้วย

ทั้งการที่เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถครอบครองตำแหน่งแชมป์ฟุตบอลโลกหญิงได้ถึง 3 ครั้ง

รวมถึงการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ ที่แข้งสาวแม่เนื้ออ่อนแดนลุงแซมสามารถถล่มเอาชนะคู่ปรับตัวฉกาจและเป็น “แชมป์เก่า” จากฟุตบอลโลกหญิงครั้งก่อนอย่าง ญี่ปุ่น ไปได้แบบถล่มทลาย 5-2

โดยรูปเกมที่ออกมาต้องบอกเลยว่าเป็นแมทช์ที่พลพรรคแข้งสาวแดนลุงแซมนั้นเล่นได้ดีที่สุดในทัวร์นาเมนท์ โดยเฉพาะเกมรุกในลูก “เซ็ตเพลย์” ที่สามารถเปลี่ยนเป็นสกอร์ในเกมนี้ได้ถึง 4 จาก 5 ประตูที่ทำได้

คนที่น่าชื่นชมอย่างยิ่งคือ จิล เอลลิส กุนซือของทีม ที่วางแผนในการเล่นลูก “เซ็ตเพลย์” เพื่อใช้เป็นอาวุธหมัดเด็ดพิฆาตคู่ต่อกรอย่าง ญี่ปุ่น มาเป็นอย่างดี เพราะถ้าหากไม่มีการซ้อมหรือตระเตรียมการมา เชื่อเหลือเกินว่าคงไม่ประสบผลสำเร็จเช่นนี้

ทว่า ที่ต้องชื่นชมสุดๆเห็นจะเป็น คาร์ลีย์ ลอยด์ แข้งสาวหมายเลข 10 วัย 32 ปี เจ้าของปลอกแขนกัปตันทีม ที่เกมนี้ต้องบอกว่าเธอคือสิ่งมหัศจรรย์สำหรับแข้งสาวแม่เนื้ออ่อนแดนลุงแซมอย่างแท้จริง

เมื่อ ลอยด์ ระเบิดฟอร์มสุดยอด สามารถทำประตูที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์นัดชิงชะเลิศฟุตบอลโลกหญิงได้สำเร็จโดยใช้เวลาเพียงแค่ 3 นาที

ซึ่งประตูออกนำในนาทีที่ 3 ของ ลอยด์ นั้นถือว่าเป็นประตูสำคัญที่สร้างจุดเปลี่ยนสำคัญให้กับเกมก็ว่าได้ เนื่องจากมันทำให้แข้งสาว “นาเดะชิโกะ” ต้องตกเป็นฝ่ายตามหลังอย่างรวดเร็ว ซึ่งก่อนหน้านี้นับตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มเป็นต้นมาแข้งสาวแม่เนื้ออ่อนจากแดนซามูไรไม่เคยพลาดท่าเสียทีตกเป็นฝ่ายตามหลังทีมใดมาก่อนเลย

ด้วยเหตุนี้จึงอาจจะทำให้ระบบทีมของ “นาเดะชิโกะ” ปั่นป่วนและเกิดความผิดพลาดในการเล่นจนทำให้ถูกทะลวงประตูตามมาอีกง่ายๆหลายประตู โดยเฉพาะจาก ลอยด์ ที่ทำเพิ่มได้อีก 2 ประตูในนาทีที่ 5 และ 16 จนสามารถกด  “แฮททริค” แรกในประวัติศาสตร์ของนัดชิงชนะเลิศได้สำเร็จ

เมื่อบวกกับประตูของ ลอเรน ฮอลิเดย์ อีกหนึ่งประตูในนาทีที่ 14 ก็ช่วยให้แข้งสาวแม่เนื้ออ่อนจากแดนลุงแซมออกนำถึง 4-0 ตั้งแต่ 16 นาทีแรก ก่อนจะปิดฉากเอาชนะไปอย่างสวยงาม 5-2

ด้วยฟอร์มที่ยอดเยี่ยมของ คาร์ลีย์ ลอยด์ ก็ทำให้เธอสามารถผงาดคว้ารางวัล “โกลเดน บอล” หรือผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนท์ไปครอบครองได้ด้วย รวมถึงยังเกือบจะได้รางวัล “โกลเดนบูท” หรือ ดาวซัลโวของทัวร์นาเมนท์ไปครอบครองด้วย หลังจากซัดไป 6 ประตูเท่ากับ เซเลีย ซาซิช ดาวยิงของเยอรมัน รวมทั้งมีจำนวนแอสซิสต์หรือผ่านให้เพื่อนทำประตุได้เท่ากัน หากแต่ ลอยด์ นั้นลงเล่นด้วยจำนวนนัดที่มากกว่าจึงต้องได้ตำแหน่งรองดาวซัลโวไป

ครับ จากการสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกที่เถลิงแชมป์ฟุตบอลโลกหญิงได้ถึง 3 สมัย รวมทั้งผลงานในนัดชิงชนะเลิศที่สามารถเอาชนะยอดทีมอย่าง ญี่ปุ่น คู่แข่งคู่ประชันในวงการฟุตบอลหญิงได้อย่างสวยงาม และนักเตะภายในทีมก็สามารถสร้างประวัติศาสตร์ต่างๆให้เกิดขึ้นมากมาย รวมทั้งได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนท์ไปครอบครองด้วย จึงทำให้อดีตราชินีของฟุตบอลโลกหญิงอย่าง สหรัฐอเมริกา ได้หวนกลับคืนสู่บัลลังก์อย่างงดงามอีกครั้ง

สิ้นสุด 16 ปีที่ต้องรอคอยมาเสียที

Boom

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook