"คาเซมิโร่" : "สมอง พลัง เล่ห์เหลี่ยม" ส่วนผสมของแผงมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดในโลก

"คาเซมิโร่" : "สมอง พลัง เล่ห์เหลี่ยม" ส่วนผสมของแผงมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดในโลก

"คาเซมิโร่" : "สมอง พลัง เล่ห์เหลี่ยม" ส่วนผสมของแผงมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดในโลก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลังจากหมดยุคของ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, ชาบี เอร์นานเดซ และ อันเดรส อิเนียสต้า แผงกองกลางอัจฉริยะของบาร์เซโลน่า โลกฟุตบอลได้แต่เฝ้าถามว่าจะมี 3 กองกลางชุดไหนอีกบ้างที่จะสร้างความสำเร็จได้เช่นนั้น?

จนกระทั่งทุกคนก็มาพบคำตอบ เมื่อได้เห็นการทำงานร่วมกันของ ลูก้า โมดริช, โทนี่ โครส และมดงานอย่าง คาเซมิโร่ 3 มิดฟิลด์ของ เรอัล มาดริด ที่ร่วมกันบันดาลแชมป์ยุโรป 5 สมัย 

นี่คือเรื่องราวของคนแบกเปียโนประจำเรื่องนี้ ชายผู้ที่ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จ่ายเงิน 70 ล้านยูโร และค่าเหนื่อยอีก 20 ล้านยูโรต่อปี ในแบบที่นักเตะตัวรับบนโลกนี้ไม่เคยมีใครได้รับ 

ติดตามเรื่องราว สมอง พลัง และ เล่ห์เหลี่ยม ของ คาเซมิโร่ ที่นี่ กับ Main Stand

บราซิล

ก่อนจะกลายมาเป็น 1 ในมิดฟิลด์ตัวรับที่ดีที่สุดในโลก คาเซมิโร่ มีเรื่องราวการค้นหาตัวเองไม่ต่างจากนักเตะหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "นักเตะบราซิล" ล้วนต้องผ่านเส้นทางคล้ายๆกับเขาทั้งนั้น 

1การเติบโตมาจากครอบครัวยากจน ใช้ฟุตบอลเป็นทางรอดของชีวิต และแน่นอนว่าสำหรับนักเตะบราซิล ไม่มีใครไม่อยากเป็นกองหน้าหรืออย่างน้อยก็ผู้เล่นในเกมรุก เพราะประเทศนี้สร้างเหล่าตัวรุกที่เป็นไอคอนของโลกฟุตบอลมาหลายต่อหลายรุ่น จาก เปเล่ มาจนถึง โรนัลดินโญ่ และคาเซมิโร่เองก็อยากที่จะเริ่มต้นจากจุดนั้น 

คาเซมิโร่เกิดในเซาเปาโล เมืองใหญ่แห่งนี้มีเด็กๆที่อยากเป็นนักเตะอาชีพเหมือนกับเขามากมาย แต่ก่อนจะไปถึงเส้นทางนั้นได้ เขาจำเป็นจะต้องทดสอบเพื่อเข้าไปอยู่ในทีมอคาเดมีให้ได้เสียก่อน สำหรับสโมสรประจำเมืองอย่าง เซาเปาโล มีเด็กๆมาร่วมคัดตัวทุกรุ่น ทุกปี และจะมีคนผิดหวังมากกว่าคนที่สมหวังเสมอ

คาเซมิโร่มาคัดตัวกับทีมตั้งแต่อายุ 10 ขวบแต่ก็ไม่ผ่านสักที จนกระทั่งอายุ 12 ปี เขาก็เกิดปัญญาขึ้น เขาเรียนรู้จากความผิดพลาดครั้งแรกและถามตัวเองว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองมีเปอร์เซ็นต์ผ่านการคัดตัวมากที่สุด? .. และนั่นเองคือจุดเริ่มต้นการเป็นยอดกองกลางของเขา

"การทดสอบครั้งใหญ่ตอนผมอายุ 12 ขวบ ตอนนั้นมีเด็กมาคัดตัวทั้งหมด 300 คน .. ณ ตอนนั้นจะมีเพียง 50 คนที่ผ่านเข้ารอบคัดตัวรอบต่อไป" คาเซมิโร่ เริ่มเล่า

2"ตอนที่เล่นกับทีมท้องถิ่น ผมเป็นกองหน้ามาตลอดเพราะผมตัวใหญ่กว่าเด็กคนอื่นๆ ร่างกายผมแข็งแรงกว่า ผมก็เลยเป็นกองหน้ามาตลอด แต่พอถึงวันคัดตัว โค้ชถามผมว่า 'เอาล่ะ มีใครเป็นผู้รักษาประตู?' ปรากฏว่ามีเด็กยกมือแค่ 3 คนเท่านั้น แต่พอเขาถามว่า 'แล้วใครเล่นกองหน้า?' เด็ก 50 คนจะยกมือ ตามด้วยคำถามต่อไป 'ใครเล่นตำแหน่งหมายเลข 10?' ก็มีเด็กอีก 50 คนยกมือ .. แค่นี้ก็เป็นร้อยแล้ว" 

"ผมเห็นแบบนั้นผมก็เลยหดมือลง คิดไว้ในใจว่าจะเอาตำแหน่งไหนดี จนโค้ชไล่มาถึงมิดฟิลด์ตัวรับ ผมสังเกตเห็นว่ามีเด็กยกมือแค่ 8 คน ทีนี้ผมจึงช้าไม่ได้ ผมตอบไปว่า 'ใช่แล้วโค้ช ผมเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ'" เขาย้อนความ จากการยกมือเพราะคู่แข่งน้อย กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ให้เขาศึกษาวิธีการเล่นมิดฟิลด์ตัวรับ และเล่นในตำแหน่งนั้นมาตั้งแต่อายุ 12 ปี

ว่ากันว่าการให้โอกาสกับคนที่ไม่เคยได้รับมัน โอกาสนั้นจะถูกเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี คาเซมิโร่เองก็เป็นเช่นนั้น เขาเล่าว่าการได้มาอยู่ในทีมเยาวชนของเซาเปาโลเหมือนเป็นโลกใหม่ของเขาเลย เพราะเดิมทีสมัยยังเด็กมากๆ บ้านเขาอยู่ในสลัม พ่อของเขาเสียชีวิตก่อนบ้านจะโดนยึด และนั่นทำให้เขากับแม่ต้องย้ายที่นอนบ่อย ทว่าทั้งสองคนแม่ลูกก็สู้ร่วมกันมาตลอด จนกระทั่งวันที่เขาได้มาอยู่ในสโมสรแห่งนี้ที่ทำให้เขาเห็นความแตกต่าง และเขาจะไม่ยอมเสียสิ่งที่ตัวเองได้รับมาอย่างแน่นอน 

3"แค่มีห้องพักให้หลับนอน มีอาหารให้กิน มีห้องแอร์เย็นๆ มีทีวีให้ดู แค่นี้ก็มากกว่าสิ่งที่ผมเคยได้รับมาในชีวิตแล้ว" คาเซมิโร่ กล่าว

ความกระตือรือร้นของคาเซมิโร่มากเสียจนโรคร้ายยังต้องยอมแพ้ ตอนเขาอายุ 14 ปีเขาเคยถูกตรวจพบว่าเป็นโรคตับอักเสบ จากนั้นเขาก็ทรุดจนต้องติดเตียงและใช้ชีวิตปกติไม่ได้ถึง 3 เดือน แต่ก็เหมือนกับคำที่ว่า "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" คาเซมิโร่พูดกับตัวเองทุกวันว่าเขาจะต้องกลับมาทวงสิ่งที่ตัวเองคว้ามาให้ได้ เขาจะไม่ยอมแพ้โรคนี้ และสุดท้ายเขาก็ทำได้จริงๆ 

หลังผ่านการรักษาตัว 3 เดือน คาเซมิโร่กลับมาอย่างแข็งแกร่ง เขาขยับตัวเองให้เป็นนักเตะที่แบกอายุเล่นได้ตั้งแต่นั้นมา จนกระทั่งอายุ 18 ปี คาเซมิโร่ก็ทำสำเร็จด้วยการเซ็นสัญญาอาชีพกับเซาเปาโล และขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในท้ายที่สุด

ปรับเพื่อเท่าทันยุโรป

คาเซมิโร่ เล่นให้กับเซาเปาโล 3 ปีในทีมชุดใหญ่ ลงเล่นมากกว่า 100 นัด วิธีการเล่นของเขาเป็นเหมือนมิดฟิลด์ตัวรับสมัยใหม่ที่ไม่ใช่แค่มีไว้ตัดเกมเท่านั้น แต่การจ่ายบอลระยะสั้นๆหรือแม้กระทั่งบอลยาวก็ทำได้แม่นยำ เหนือสิ่งอื่นใดคือทักษะการเอาตัวรอดเมื่อบอลอยู่กับเท้า แม้จะไม่ใช่นักเตะเกมรุก แต่คาเซมิโร่ก็แทบจะไม่เสียบอลง่ายๆเลย 

ความยอดเยี่ยมดังกล่าวทำให้แมวมองของสโมสรในยุโรปหลายทีมได้ข่าวของเขาและมาดูฟอร์มถึงบราซิล ที่สุดแล้วในปี 2012 คาเซมิโร่ก็กลายเป็นสมาชิกของสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง เรอัล มาดริด 

คาเซมิโร่มาอยู่กับมาดริดในยุคที่ โชเซ่ มูรินโญ่ คุมทีม ซึ่งโอกาสจะได้ลงเล่นตอนนั้นมีไม่มากนัก เขาออกสตาร์ทกับทีมสำรอง เรอัล มาดริด กาสตีย่า และไม่ได้มีอะไรโดดเด่นมากมายนัก ก่อนที่จะถูกปล่อยไปเล่นให้กับ ปอร์โต้ ในโปรตุเกส เมื่อฤดูกาล 2014-15 ซึ่งช่วงที่อยู่โปรตุเกสเรียกได้ว่า คาเซมิโร่ได้สัมผัสเกมมากขึ้นและได้เรียนรู้อะไรมากมาย 

4"ตอนไปเล่นที่ปอร์โต้ผมได้รับประสบการณ์มากมาย ผมได้ลงเล่นเป็นตัวหลักของทีม และได้สัมผัสเกมอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญที่สุดคือการได้เรียนรู้เกี่ยวกับความพ่ายแพ้ มันทำให้ผมรู้เลยว่าสิ่งนี้แหละที่มีรสขมมากที่สุดในชีวิตนักฟุตบอล" 

"ผมพยายามอย่างมากที่จะทำตัวให้มีประโยชน์ ผมจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆในชีวิต ผมเรียนรู้วิธีการเป็นเบอร์ 6 ที่ดีจากที่นี่เลย" คาเซมิโร่ เริ่มเล่า 

"สำหรับผู้เล่นเบอร์ 6 เรามีเป้าหมายแตกต่างจากผู้เล่นตำแหน่งอื่นๆ หน้าที่หลักของเราคือการแย่งบอล ดังนั้น สิ่งแรกที่ผมจะต้องไปดูหลังจบเกมคือ จำนวนการแย่งบอลและตัดบอลคู่แข่งว่าทำได้เท่าไหร่"

"ผมกำหนดว่ามันคือเป้าหมายของผม นี่เปรียบเหมือนการยิงประตูหรือทำแอสซิสต์สำหรับผม ทุกคนอยากทำประตู อยากสร้างจังหวะสวยๆ แต่ความสุขของผมคือแย่งบอลกลับมา" 

5หลังหมดสัญญายืมตัวกับปอร์โต้ คาเซมิโร่ ก็ได้กลับมาอยู่กับมาดริดอีกครั้ง แต่ตอนนี้สโมสรมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆมากมาย โค้ชอย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ โดนปลดออกจากตำแหน่ง โดยมีมวยแทนอย่าง ราฟาเอล เบนิเตซ เข้ามาในเดือนมิถุนายน 2015 แต่เมื่อคุมทีมไปได้แค่ครึ่งซีซั่น เบนิเตซก็โดนปลด และเป็น ซีเนดีน ซีดาน เข้ามารับตำแหน่งแทน 

นี่ถือเป็นจุดเปลี่ยนของเขาเลยก็ว่าได้ คาเซมิโร่เคยทำงานกับซีดานมาก่อนสมัยที่เล่นในทีมกาสตีย่าที่มีซีดานเป็นโค้ช การเข้ามาของซีดานเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่คาเซมิโร่ได้รับการเห็นคุณค่ามากที่สุดในรอบหลายปีนับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีม 

ซีดานมองคาเซมิโร่ในฐานะคนสำคัญของทีม เขาจะเข้ามารับตำแหน่งผู้เล่นหมายเลข 6 ในระบบ 4-3-3 ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพคือ ซีดานต้องการนักเตะอย่าง โคลด มาเกเลเล่ นักเตะตัวรับที่ช่วยทำให้ทีมมาดริดในยุคที่ซีดานยังเป็นนักเตะกลายเป็นทีมที่สมบูรณ์แบบและคว้าแชมป์ยุโรป 

6"ซีดานเป็นคนจิตใจดีมาก เขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในของโลกฟุตบอล แต่เขาก็อ่อนน้อมถ่อมตน เขาแสดงออกกับนักเตะในทีมด้วยความใส่ใจ ซีดานบอกให้ผมเล่นเหมือนอย่างมาเกเลเล่ ชายผู้สร้างชื่อให้กับนักเตะตำแหน่งนี้" คาเซมิโร่ กล่าว

"ผมกับซีดานสนิทกันมาก ซีดานเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการสอนและอธิบายถึงสิ่งที่เขาต้องการ เขาเห็นความสำคัญของผู้เล่นทุกคน ทุกตำแหน่ง ทุกอย่างล้วนส่งเสริมกัน ตัวรับก็ทำให้ตัวรุกโดดเด่น และผลงานของเหล่าตัวรุกก็จะเป็นแสงสะท้อนกลับมาให้คนเห็นความสำคัญของตัวรับ เหมือนกับที่มาเกเลเล่มีซีดาน และผมมี โครส, โมดริช, อิสโก้ นั่นแหละ"
 
การได้ทำงานกับซีดานที่รู้จุดเด่น ทำให้คาเซมิโร่ได้ลงเล่นมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา เขาไม่เคยเสียตำแหน่งให้กับใครหน้าไหนทั้งนั้นไม่ว่าจะในสโมสรหรือในทีมชาติ ซึ่งความลับที่เขาได้พบหลังจากเล่นให้กับมาดริดร่วมกับโคตรบอลอย่าง โมดริช และ โครส คือมิดฟิลด์ตัวรับที่ดีต้องมีส่วนผสมของ 3 อย่างด้วยกัน ...

สมอง พลัง เล่ห์เหลี่ยม

สมอง หรือ ทัศนคติ คือสิ่งที่คาเซมิโร่ยึดถือมานาน เขาถูกเบนิเตซเรียกว่า "ผู้ฟังที่ดี" ถูก ฆูเลน โลเปเตกี เรียกว่า "นักเตะที่ทำให้โค้ชมีความสุข" ขณะที่ซีดานพูดถึงเขาว่า "นักเตะที่มีความปรารถนาที่จะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นเสมอ" นั่นคือสิ่งที่ทำให้คาเซมิโร่พัฒนาตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ 

7"ผมชอบเรียนรู้เป็นที่สุด ผมหาเทปย้อนหลังมาดูตลอดเพื่อเห็นข้อผิดพลาดของตัวเองและประเมินสิ่งที่ผมทำ ผมรักกับการทำอะไรแบบนี้ หลายคนมองว่าผมมีแนวคิดเหมือนกับโค้ชฟุตบอล เพราะผมพยายามจะอ่านเกมเสมอ และนั่นรวมไปถึงการมองให้ทะลุไปยังจิตใจของผู้เล่นฝั่งตรงข้ามและโค้ชของพวกเขา ผมบอกได้เลยว่างานของผมคืองานละเอียด"

"ผมซื้อแพลตฟอร์มวิเคราะห์ฟุตบอลของ Wyscout มาใช้งานส่วนตัว ผมดูข้อมูลทุกอย่าง เมียผมยังบอกด้วยซ้ำว่า ผมนี่มันน่ารำคาญจริงๆ แต่ทำไงได้ ก็นี่มันคืองาน และสำหรับงาน ผมมีเวลาให้เสมอ ผมทำเพราะผมรักมัน และชีวิตของผมก็มีเพื่อคิดถึงแต่ฟุตบอลเท่านั้นแหละ" คาเซมิโร่ กล่าว

ส่วนข้อที่สอง พลัง ข้อนี้สำคัญมาก เพราะซีดานเป็นคนบอกเขาเองในปี 2016 ว่าให้คาเซมิโร่พยายามคิดที่จะครองบอลและผ่านบอล รวมไปถึงการวิ่งสอดเข้าไปเพื่อช่วยเป็นตัวเลือกให้เพื่อนร่วมทีม แต่จริงๆแล้วหน้าที่หลักของเขาคือต้องใช้ความเร็ว ความแข็งแรง และพละกำลังแย่งบอลกลับมาให้ทีมต่างหาก 

8"ตอนที่ซีดานมาคุมทีม 5 เกมแรกผมไม่ได้ลงเล่นเลย เพราะเขาใช้เวลาทั้งหมดนั้นสอนผม เขาพยายามบอกผมว่าผมต้องเล่นตรงไหนและเล่นอย่างไร เขาสอนจนกว่าจะมั่นใจว่าผมจะพร้อม 100% จริงๆ และมันก็เป็นแบบนั้น ผมรอจนได้ออกสตาร์ทแล้วผมก็ไม่เคยถอยหลังอีกเลย"

"พละกำลังและความดุดันคือสิ่งที่ถูกเติมเข้ามา ความดุดันของนักเตะแบบผมคือการพยายามเข้าแย่งบอลทุกจังหวะ ทุกโอกาส ผมไม่สนหรอกว่าจะเป็นนาทีสุดท้ายของเกมหรือเปล่า" คาเซมิโร่ ว่าต่อ 

สมอง ทำให้เขาเห็นเกมล่วงหน้า ทัศนคติ ทำให้เขาเรียนรู้ พละกำลัง ทำให้เขาดุดัน และสิ่งสุดท้ายสำหรับมิดฟิลด์ตัวรับคือ "เล่ห์เหลี่ยม" ... เล่ห์เหลี่ยมนี้ไม่ได้หมายถึงการครองบอลหลอกคู่แข่ง 2-3 คน แต่สำหรับคาเซมิโร่มันคือศิลปะของการทำงานสกปรก กล่าวคือในเมื่อเป็นตัวรับ มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะต้องเตะหรือสกัดแรงๆใส่คู่แข่ง มันจึงจำเป็นจะต้องมีศิลปะอย่างยิ่ง เตะอย่างไรให้สามารถหยุดเกมได้แต่ไม่โดนใบเหลือง เล่นหนักๆแบบไหนให้กรรมการไม่ลงโทษ 

9"ก่อนเกมเริ่ม สิ่งที่ผมทำคือ ภาวนาให้ไม่มีนักเตะคนไหนในสนามบาดเจ็บ" คาเซมิโร่ เล่าถึงช่วงเวลาก่อนลงสนามที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เขาทำในสนามเมื่อการแข่งขันจริงเริ่มขึ้น 

คาเซมิโร่เล่าว่าเขามีความลับเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ เพราะทุกครั้งที่เขาเตะหรือสกัดมันผ่านการคิดมาแล้ว กล่าวง่ายๆคือ เตะอย่างสงบ ละเอียด ไม่โฉ่งฉ่าง ทำภาษากายให้ออกมาเกรี้ยวกราดน้อยที่สุด ทำเหมือนกับว่าเป็นการแย่งบอลธรรมดาๆ ทั้งๆที่ความจริงแล้วมันเต็มไปด้วยความหนักหน่วง ซึ่งวิธีนี้เองที่ทำให้เขาแทบไม่เคยโดนใบแดงเลยตลอดการค้าแข้ง โดยได้รับไปแค่ 2 ใบแดงเท่านั้น แม้จะเป็นคนที่ครองแชมป์นักเตะที่ทำฟาวล์มากที่สุดในทีมเรอัล มาดริด ก้ตาม

10คาเซมิโร่ คือของขวัญสำหรับกองหลัง รวมถึง 2 มิดฟิลด์อย่าง โมดริช และ โครส ที่เล่นด้วยกันมาอย่างยาวนาน สมอง พลัง และ เล่ห์เหลี่ยม คือสิ่งที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้

สำหรับตำแหน่งคนแบกเปียโน ณ เวลานี้ คาเซมิโร่ ทำสำเร็จแล้ว นั่นคือการปิดทองหลังพระจนทองล้นออกมาข้างหน้า ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ามองข้ามเขาอีก สิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีคือการเป็นตัวรับในวัย 30 ปี แต่ยังมีค่าตัว 70 ล้านยูโรและค่าเหนื่อยอีกปีละ 20 ล้านยูโร ...

ทั้งหมดนี้เกิดจากการรู้หน้าที่ของตัวเอง กำหนดทิศทางให้ชัดเจน และท้ายที่สุดคือพัฒนาตัวเองไม่หยุด จนกระทั่งเป็น คาเซมิโร่ ดังที่เขาเป็นอยู่ในทุกวันนี้ 

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ ของ "คาเซมิโร่" : "สมอง พลัง เล่ห์เหลี่ยม" ส่วนผสมของแผงมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดในโลก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook