"โอเล็กซานเดอร์ อูชิค" : แชมป์โลกเฮฟวี่เวตที่เข้าใจ "ความกลัว" ครั้งแรกในฐานะนักรบยูเครน

"โอเล็กซานเดอร์ อูชิค" : แชมป์โลกเฮฟวี่เวตที่เข้าใจ "ความกลัว" ครั้งแรกในฐานะนักรบยูเครน

"โอเล็กซานเดอร์ อูชิค" : แชมป์โลกเฮฟวี่เวตที่เข้าใจ "ความกลัว" ครั้งแรกในฐานะนักรบยูเครน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ควันไฟและเสียงกรีดร้องจากภัยสงครามยังคงดำเนินต่อไปในประเทศยูเครน ดินแดนที่ทั่วโลกจับตาในเวลานี้

นี่คือช่วงเวลาแห่งความยากลำบากที่พูดได้เต็มปากว่าเป็น "ยุคสงคราม" และเริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับผู้คน บางคนไม่มีงานทำ บางคนต้องสูญเสียคนที่รัก และบางคนต้องถูกเกณฑ์เข้ากองทัพเพื่อเป็นหนึ่งในกำลังรบโดยที่พวกเขาไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ... แม้ว่าเขาจะเป็นแชมป์โลกเฮฟวี่เวตก็ตาม 

นี่คือเรื่องราวของ โอเล็กซานเดอร์ อูชิค ยอดนักชกรุ่นยักษ์จากยูเครน กับชีวิตในกองทัพต่อต้านรัสเซียที่ยังคงดำเนินต่อไปจนทำให้เขาค้นพบว่า "อะไรคือความกลัวที่แท้จริง"  

ติดตามได้ที่นี่

ยูเครนชาตินักรบ 

ไม่ต้องแปลกใจหากปูมหลังของนักชกจากยูเครนและรัสเซียแทบทุกคนย่อมมีความเกี่ยวข้องกับทหาร เพราะที่นี่เป็นประเทศที่มีพรมแดนที่มีความไม่มั่นคงและมีเหตุให้เขาไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการแบ่งแยกดินแดนหรือกลุ่มกบฏอยู่บ่อย ๆ ดังนั้นจากเหนือจรดใต้ ทหาร ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับประเทศนี้ในแทบทุกพื้นที่ 

1ด้วยความที่มีทหารมากและประเทศไม่ได้มั่งคั่งนัก สวัสดิการของทหารระดับพลทหารและระดับประทวนจึงไม่ได้มีผลตอบแทนมากมายเหมือนกับการเป็นได้เข้าไปเป็นทหารในสังกัดของทัพอเมริกา แต่ที่ยูเครนพวกเขาก็มีสวัสดิการในแบบของเขา และหนึ่งในนั้นคือการได้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้แทบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น มวยสากล หรือ แซมโบ้ (ศิลปะการป้องกันตัวแบบมือเปล่า)  

เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะประเทศที่แยกมาจากสหภาพโซเวียตมักจะมีชุดความคิดที่ถูกปลูกฝังกันมาว่า "ประเทศของเราคือมหาอำนาจ" ดังนั้นหากพวกเขาเป็นชายชาตรีที่เก่งกาจ เรื่องการต่อสู้ทั้งแบบมือเปล่าและใช้อาวุธจึงถือเป็นหนึ่งในความภูมิใจ เพราะมันหมายถึงการแสดงออกถึงความรักชาตินั่นเอง

และเมื่อเหล่าทหารกล้าเหล่านี้มีลูกชาย ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่พลาดที่จะนำลูกชายเข้าเรียนหนังเสือและเรียนวิชาการต่อสู้ที่เป็นหนึ่งในสวัสดิการของกองทัพไปโดยปริยาย โดยสวัสดิการนี้ได้สร้างยอดมวยเฮฟวี่เวตหลายคนทั้ง พี่น้องคลิทช์โก (วิตาลี และ วลาดิเมียร์) และแน่นอนรวมถึงนักชกที่เป็นพระเอกของเรื่องนี้อย่าง โอเล็กซานเดอร์ อูชิค ด้วย 

อูชิคเกิดในปี 1987 (ปัจจุบันอายุ 35 ปี) ครอบครัวของเขามาจากตอนเหนือของประเทศยูเครน แน่นอนว่าพ่อของเขามีอาชีพเป็นทหารและเคยร่วมรบในสงครามที่อัฟกานิสถานมาแล้ว ก่อนที่จะเข้ามาประจำการในเขตพื้นที่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนอย่าง "ไครเมีย" ซึ่งที่นี่แหละเป็นที่ที่พ่อและแม่ของเขาพบรักกัน 

อูชิคเติบโตมากับระบบสวัสดิการของกองทัพ เขาได้รับทั้งการศึกษาและเรียนรู้เรื่องกีฬา เริ่มแรกอูชิคเล่นฟุตบอลและเคยเป็นอดีตนักเตะเยาวชนของสโมสร SC ทราวิยา ซิมเฟโรปอล ก่อนที่ในช่วงอายุ 15 ปีเขาจะเริ่มหัดชกมวยสากล และได้แสดงฝีมือออกมาจากการได้เข้าไปอยู่ในสถาบัน Lviv State University of Physical Culture ที่เป็นมหาวิทยาลัยที่เชี่ยวชาญด้านการศึกษาด้านกีฬาเฉพาะทาง 

ที่นี่เองเป็นที่ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชามวยให้กับอูชิคเป็นอย่างดี เพราะสถาบันนี้รับแต่นักกีฬาระดับหัวกะทิเท่านั้น ใครที่ได้เข้ามาจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีทั้งด้านการศึกษา การฝึกซ้อมอย่างมืออาชีพ และการจัดการด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาเต็มรูปแบบ ซึ่งนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้อูชิคมีร่างกายใหญ่โตที่สูงถึง 191 เซนติเมตร 

2"แม่ของผมเคยบอกผมตอน 6 ขวบว่า 'แกต้องไปเรียนหนังสือเยอะ ๆ พูดภาษาอังกฤษให้ได้' ผมได้แต่ตอนกลับไปว่า ไม่รู้จะเรียนไปทำไม ผมอยากใช้ชีวิตง่าย ๆ แบบทำงานช่วยแม่ที่ฟาร์มก็แค่นั้น ... แต่เชื่อเหอะว่าแม่ของคุณพูดถูกเสมอ" อูชิค กล่าว 

"ผมเข้าเรียนหลังจากนั้นและได้รับการฝึกเรื่องชกมวย ผมทำได้ดีมาก ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งผมนั่งอยู่ในครัวและกำลังกินอาหารกับทุกคนในครอบครัว ผมเกิดความมั่นใจขึ้นมาอย่างประหลาดไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ผมพูดออกมาว่าครอบครัวเราจะต้องร่ำรวยในสักวัน เพราะวันหนึ่งผมจะกลายเป็นคนที่ดังมาก ๆ ผมจะมีเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวและบ้านหลังโต ด้วยหมัด 2 ข้างของผมนี่แหละ … แม่จะไม่ต้องทำงานอีกต่อไป”

“แม่ผมหัวเราะแล้วบอกว่า 'ก็ลองดูกันสักตั้งสิลูก แล้วแม่จะรอดู' นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของพลังที่แม้แต่ผมเองก็ไม่เคยรู้ว่ามันซ่อนอยู่ในตัวของผม" อูชิค เล่าย้อนความก่อนเส้นทางนักชกจะเริ่มอย่างเป็นทางการ

นักชกแถวหน้า 

"ตอนผมเปลี่ยนไปชกมวยก็ต้องบอกว่าพ่อเป็นคนที่มีส่วนมาก ๆ เลย เพราะตอนแรกผมเล่นฟุตบอลอยู่ และพ่อมาบอกกับผมว่าเชื่อเถอะเล่นฟุตบอลไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก" 

3สิ่งที่พ่อของอูชิคบอกคือการพยายามบอกลูกด้วยการแนะนำแบบลูกผู้ชาย แม้จะดูห้วน ๆ แต่พ่อของเขาหมายความว่าการจะเป็นนักฟุตบอลจากยูเครนที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงเงินทองนั้นเป็นเรื่องยากมาก ๆ เพราะมันมีเรื่องขององค์ประกอบทีม องค์ประกอบลีก และเหตุผลอื่น ๆ มากมาย แต่ถ้าเขาเลือกการชกมวย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเขาคนเดียวเท่านั้น ในเมื่ออูชิคเองก็ได้เรียนมวยในกองทัพมาตั้งแต่ยังเด็กและดูมีแววมาก ๆ ทำไมเขาไม่มุ่งไปทางนั้นอย่างเดียวเลย 

อูชิคเล่าว่าหลังจากนั่งคิดไม่กี่วันเขาก็เริ่มกลับไปซ้อมมวยอีกครั้ง และการชกมวยตอนวัยรุ่นมันสนุกกว่าตอนเป็นเด็กเยอะ เพราะมันเป็นกีฬาที่ได้ระบายความรู้สึกออกมาผ่านหมัด การได้ต่อสู้กับนักชกเก่ง ๆ จากเขตอื่น ๆ ในประเทศ นั่นคือบรรยากาศที่อูชิคหลงใหลและเลือกเดินบนเส้นทางสายกำปั้นตั้งแต่นั้นมา 

ยิ่งอูชิคได้ดูเทปการต่อสู้ของ มูฮัมหมัด อาลี ยอดนักชกชาวอเมริกัน เขาก็ยิ่งมีความทะเยอทะยาน "ผมดูอาลีชก และผมก็สนใจเรื่องราวบนสังเวียนในชีวิตของเขามาก เขาและผมเริ่มต้นกับมวยคล้าย ๆ กัน”

“อาลีเป็นนักมวยเพราะเอาความแค้นจากการที่ตัวเองโดนขโมยจักรยานมาระบาย ขณะที่ผมก็ถึงเวลาต้องพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ใช่ลูกผู้ชายที่ไม่ได้เรื่อง เราหัดสู้คนครั้งแรกก็บนเวทีนี่แหละ"

จากนั้นไม่นานนักเขาก็ได้เข้าไปแข่งขันในระดับนานาชาติครั้งแรกในปี 2005 ในศึกชิงแชมป์ยุโรป แม้จะแพ้ให้กับ มาตเยฟ โคโรบอฟ แต่นั่นก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี เพราะอูชิคกลับมาพัฒนาตัวเองทั้งในแง่การชก รวมไปถึงการเพิ่มน้ำหนักเพื่อขยับรุ่นให้สัมพันธ์กับส่วนสูงของเขา ก่อนที่จะได้ขยับไปชกในรุ่นไลท์เฮฟวี่เวตและคว้าแชมป์ยุโรปมาได้สำเร็จ ช่วงเวลานั้นคือก้าวสำคัญมากเพราะเขาถูกเรียกตัวจากทีมชาติยูเครนเพื่อวางตัวให้เป็นตัวแทนไปแข่งขันโอลิมปิก 2012 ที่ลอนดอน 

4อูชิคคว้าเหรียญทองในโอลิมปิกทันทีด้วยการเอาชนะ เคลเมนเต้ รุสโซ นักชกจากอิตาลีในไฟต์ชิงเหรียญทอง หลังจากนั้นเอเยนต์มวยสากลก็ติดต่อเขาเข้ามามากมาย อูชิคจึงเลิกชกมวยสากลสมัครเล่นและหันหน้าสู่เวทีเงินล้านในแบบที่เขาใฝ่ฝันหลังจากนั้น

ว่ากันว่าอูชิคคือมวยที่น่าจับตาที่สุดของชาวยูเครนในเวลานั้น เขาแบกศักดิ์ศรีเหรียญทองโอลิมปิกไว้ ทว่าหลังจากเปิดตัวครั้งแรกก็ไม่ใช่ปัญหา ชัยชนะดาหน้าเขามาหาอูชิคแบบไม่หยุด เว็บไซต์ evolve-mma อธิบายการต่อสู้ของอูชิคว่า "มวยรุ่นยักษ์ที่ไม่เหมือนใครในเขตโซเวียต" 

กล่าวคือมวยเฮฟวี่เวตจากโซเวียตนั้นมักถูกจดจำในแง่นักมวยตัวใหญ่ ช่วงยาว หนักหน่วง แต่จุดอ่อนคือเชื่องช้า นักชกอย่าง 2 พี่น้องคลิตช์โกก็เป็นเช่นนั้น พวกเขาโดนวิจารณ์บ่อย ๆ ว่ายังเก่งไม่เท่ามวยอเมริกัน เพราะความรวดเร็วคือสิ่งที่พวกเขาติดลบ

แต่กับอูชิคเขาถูกอธิบายและขยายความเพิ่มเติมถึงสไตล์การชกของเขาว่า "โอเล็กซานเดอร์ อูชิค คือนักมวยที่ดันน้ำหนักตัวเองมาจากรุ่นครุยเซอร์เวต ดังนั้นพื้นฐานของเขาคือความรวดเร็วและคล่องแคล่วในสังเวียน เขาไม่เคยยืนขาตาย เขาเคลื่อนไหวตลอดเวลา มันทำให้ยากที่จะเป็นเป้าหมายให้คู่ต่อสู้ชกโดน ด้วยเทคนิคแบบโซเวียตโดยเฉพาะที่เรียกว่า Pendulum Step (การขยับเท้าโยกตัวไปข้างหน้าและหลังตลอดเวลา)"


"การใช้  Pendulum Step คือสิ่งที่ทำให้อูชิคสามารถเพิ่มพลังหมัดได้แรงเป็นพิเศษ เขาถึงต่อยกับมวยรุ่นยักษ์ได้ทั้ง ๆ ที่ตัวไม่ได้ใหญ่กว่าคนอื่น ๆ ความเร็วทำให้เขาเป็นมวยเฮฟวี่เวตที่ปล่อยหมัดชุดได้ 5-6 หมัดสบาย ๆ ยิ่งเขาเป็นพวก Soutpow (มวยซ้าย) นักชกคนอื่น ๆ ก็ยิ่งจะรับมือกับเขายากขึ้นไปอีก" เว็บไซต์ดังกล่าวอธิบาย 

นับตั้งแต่ชกอาชีพในปี 2013 อูชิคไม่เคยแพ้ใครเลยแม้แต่ไฟต์เดียว กวาดแชมป์ระดับต่าง ๆ มามากมาย แต่ไม่มีครั้งไหนที่จะท้าทายความสามารถเขามากไปกว่าการได้เจอกับ แอนโทนี่ โจชัว แชมป์โลกเฮฟวี่เวตชื่อดังจากอังกฤษในปี 2021 

ในไฟต์นั้นอูชิคแบกน้ำหนักที่เป็นรองกว่า 20 ปอนด์ ... และว่ากันตรง ๆ ณ ตอนนั้นโจชัวดังกว่าและหน้าเสื่อก็แข็งกว่ามาก แต่เมื่อขึ้นชกจริงคนดูกว่า 67,000 คนในสนามต้องเซอร์ไพรส์ เพราะยอดมวยจากยูเครนทำเหมือนกับโจชัวเป็นเด็กน้อยด้วยการเหนือกว่าทุกกระบวนท่า เรื่องนี้เราไม่ได้พูดเองแต่ถูกยืนยันจากความเห็นของ โดนัลด์ แมคเร นักข่าวสายมวยของ เดอะการ์เดียน สื่อของอังกฤษที่ไปชมไฟต์ดังกล่าวด้วยตาตัวเอง 

"ความได้เปรียบทางร่างกายของโจชัวแทบไม่ส่งผลอะไรให้เขาเหนือกว่าอูชิคเลย ไหวพริบและสติปัญญาของนักชกจากยูเครนนั้นเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ เขาแสดงให้เห็นถึงทักษะรอบด้านทั้งพละกำลังและความดุดัน โจชัวโดนต่อยจนหลังพิงเชือก นั่นคือสิ่งที่ไม่ได้เห็นกันบ่อยนัก" 

"เล่ห์เหลี่ยมและความฉลาดของอูชิคผนวกเข้ากับการเคลื่อนไหวทำให้โจชัวหาเขาไม่เจอ อูชิคชกที่ตาซ้ายของโจชัวจนตาปิด กลับกันเมื่อโจชัวเป็นฝ่ายโจมตี อูชิคกลับดูสงบนิ่งชกไปตามเกมและสวนกลับอย่างแม่นยำ ... เขาทำให้โจชัวหมดแรงและจากนั้นคือการปูพรมชกแบบไม่เกรงใจศักดิ์ศรีแชมป์” 

“ครบ 12 ยก อูชิค ทำลาย โจชัว อย่างสมบูรณ์แบบ ชนะคะแนนแบบเอกฉันท์ 117-112, 116-112 และ 115-113 ... น่ากลัวว่าพัฒนาการของอูชิคจะไปได้ไกลยิ่งกว่านี้ เขาเหมือนกับนักชกในอดีตอย่าง อีแวนเดอร์ โฮลีฟิลด์ ที่ยกระดับตัวเองจากครุยเซอร์เวต และกลายเป็นมวยรุ่นยักษ์ที่ไร้เทียมทาน" นี่คือสิ่งที่คอลัมนิสต์จาก เดอะ การ์เดี้ยน อธิบายไฟต์นั้นทั้งหมด 

6เรื่องราวต่อไปมันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ อูชิคกวาดแชมป์โลกจากโจชัว 3 เส้น สถาปนาตัวเองเป็นโคตรมวยรุ่นยักษ์ ทว่าในช่วงปลายปี 2021 เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาก็เกิดขึ้น กองทัพรัสเซียบุกเข้าหมายยึดแผ่นดินยูเครนจากปัญหาทางการเมือง และนั่นทำให้ยูเครนอยู่ในสถานการณ์พิเศษที่ต้องเรียกผู้ชายในประเทศที่มีชื่ออยู่ในบัญชีทหารกองเกินเข้ามาซ้อมรบเฉพาะกิจ เพื่อเตรียมรับมือกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น 

อูชิคที่กำลังล่องลอยในแดนสวรรค์ได้กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ... นี่คือเวลาที่เขาต้องทำในสิ่งที่โดนปลูกฝังมาตลอด นั่นคือการแสดงถึงความรักชาติที่แท้จริง จากนั้นชีวิตบทใหม่ของเขาก็เริ่มขึ้น

สังเวียนผ้าใบสู่กองทัพยูเครน 

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ชาวยูเครนมีความเป็นเลือดนักสู้อย่างมาก เนื่องจากสถานการณ์ในประเทศตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมักจะวนเวียนกับการแย่งชิงและปกป้องดินแดนของตัวเอง ชายแทบทุกคนในประเทศนี้มีความเชื่อที่คล้าย ๆ กันนั่นคือเมื่อถึงเวลาที่ต้องปกป้องประเทศจะไม่มีคำว่าปฏิเสธอย่างแน่นอน 

อูชิคสมัครเป็นกองกำลังของกองทัพยูเครนที่ประจำการในกรุงเคียฟ และเจ้าตัวให้เหตุผลที่ตัดสินใจแบบนี้ว่า "มวยคือสิ่งที่หล่อเลี้ยงความฝัน แต่ถ้ามีใครพยายามจะพรากชีวิตของผมและคนที่ผมรัก นั่นหมายถึงผมไม่เหลือทางเลือกอื่นแล้ว"

"ผมไม่อยากฆ่าใคร ไม่คิดแม้แต่จะเอาปืนไปยิงใครทั้งนั้น แต่ถ้ามันจำเป็นและนี่คือชะตาที่เลี่ยงไม่ได้ ผมก็ไม่ลังเลที่จะต้องทำ" อูชิค กล่าว 

7การสมัครเข้าเป็นสมาชิกกองทัพทั้ง ๆ ที่ถือเข็มขัดแชมป์โลกเฮฟวี่เวตนั้นทำให้ทั่วโลกสนใจเรื่องราวของเขา สำนักข่าวดัง ๆ อย่าง CNN ได้วิดีโอคอลเพื่อขอสัมภาษณ์เขาถึงเรื่องนี้ และอูชิคตอบกลับด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวแบบชาตินักรบง่าย ๆ ว่า "ความกลัวไม่เคยปรากฏกับเขา" 

"ผมไม่กลัวความตาย นี่อาจจะฟังดูเป็นบทกวีน้ำเน่า แต่จิตวิญญาณและร่างกายของผมนั้นพร้อมจะอุทิศให้กับประเทศชาติ การเคยเป็นนักมวยมาก่อนทำให้ผมมีความสภาพจิตใจที่สงบ ผมจำเป็นต้องเป็นแบบนั้นเพราะผมต้องช่วยเหลือคนอีกมากที่กำลังหวาดวิตกในทุกวินาทีของชีวิต" 

เรื่องราวมันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่อูชิคอยู่ที่อังกฤษเพราะติดสัญญาเรื่องการถ่ายทำสารคดีชีวิตบนผืนผ้าใบของเขา และหลังจากสัมภาษณ์เสร็จไม่ถึงชั่วโมงก็มีการรายงานข่าวว่าที่เคียฟเริ่มมีการปะทะกันระหว่างรัสเซียและยูเครน สิ่งที่อูชิคทำคือการตีตั๋วเครื่องบินกลับเคียฟทันที 

ทว่าบทสอบความรักชาติไม่ได้ง่ายแบบนั้น เพราะสนามบินในประเทศยูเครนถูกปิดทั้งหมด อูชิคจึงต้องตีตั๋วเครื่องบินไปยังกรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ จากนั้นต้องเดินทางด้วยการขับรถข้ามชายแดนกลับมายังเคียฟ คิดเป็นระยะทางกว่า 804 กิโลเมตร

สงครามสำหรับอูชิคเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อเขาเดินทางถึงเคียฟและต้องเริ่มจับอาวุธต่อสู้ ... อย่างไรก็ตามความกล้าบ้าบิ่นและคำพูดที่ว่า "เสียสละเพื่อชาติ" กลับกลายเป็นสิ่งที่เขาต้องย้อนกลับมาถามตัวเองว่ามันควรจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ หรือ ? หลังจากที่เขาต้องเห็นคนตายต่อหน้าจริง ๆ และคน ๆ ก็นั้นคือเพื่อนของเขา

สัจธรรมของชีวิต 

มนุษย์เราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต ซึ่งแต่ละชีวิตก็มีทางเดินของตัวเองแตกต่างกันไป สำหรับอูชิคสงครามทำให้เขาค้นพบบางสิ่งที่เขาไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต สิ่งนั้นคือ "ความหวาดกลัว" นี่คือสิ่งที่เขาอธิบายหลังจากเสียงระเบิดลูกแรกในกรุงเคียฟดังขึ้น 

"การวางระเบิดเกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเราไปหมด นี่มันเรื่องบ้าชัด ๆ เพื่อนผมคนหนึ่งบ้านของเขาโดนหย่อนระเบิดจากเครื่องบินรบ ระเบิดทะลุผ่านหลังคาบ้านของเขาลงมา ผมต้องย้ำเตือนตัวเองว่านี่ไม่ใช่วิดีโอเกมแต่เป็นเรื่องจริงแบบ 100%" อูชิค กล่าว 

8ลำพังถ้าต้องสู้และตายคนเดียวโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังมันคงไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่อูชิคมีครอบครัว เขากับภรรยามีลูก 3 คน ในช่วงเวลานั้นพวกเขาต้องอาศัยอยู่ในห้องใต้ดินเป็นเดือน ๆ ได้ยินเสียงระเบิดทุกชั่วโมง สัญชาติญาณความเป็นพ่อคือการปกป้องครอบครัว และแค่คิดว่าหากวันหนึ่งครอบครัวที่โชคร้ายกลายเป็นครอบครัวของเขา เขาจะทำใจได้หรือเปล่า

"สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือ ผมเฝ้าอธิษฐานว่า 'ได้โปรด พระเจ้า อย่าให้มีใครมาฆ่าผมเลย ได้โปรดอย่าให้ใครเอาปืนมายิงผม และถ้าเป็นไปได้อย่าบังคับให้ผมต้องยิงคนอื่นด้วย" อูชิค ให้สัมภาษณ์กับเดอะการ์เดียน หลังจากที่เขาต้องจับปืนและร่วมรบจริง ๆ 

"ในช่วงเดือนแรกของสงครามน้ำหนักผมลดลงไป 10 ปอนด์ ผมบอกกับภรรยาของผมว่าตอนนี้มันกำลังเกิดอะไรขึ้น ผมต้องเข้มแข็งเพื่อทุกคน ผมบอกความจริงทุกเรื่องกับลูกสาวของผมว่าประเทศของเรากำลังเผชิญกับอะไร" 

อูชิครบกับรัสเซียอยู่หลายเดือน ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่เขามีโปรแกรมไฟต์ล้างตากับโจชัว ตัวของเขาเองก็สองจิตสองใจสำหรับเรื่องนี้ว่าจะกลับมาชกดีหรือไม่ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาเข้าไปประจำการในโรงพยาบาล และทหารหลาย ๆ คนที่ประจำการที่นั่นก็ช่วยเตือนสติเขาว่าเขาควรจะไปชกมวยอีกครั้ง 

9อูชิคเล่าว่าหลายคนบอกว่าการร่วมรบของเขาเป็นสิ่งที่ดี แต่ประเทศชาติจะได้ประโยชน์มากกว่าถ้าเขาไปป้องกันแชมป์โลก เพราะนั่นหมายถึงว่า หากเขาสามารถเอาชนะได้สปอตไลท์ทุกดวงจะส่องมาที่เขา และจากนั้นสิ่งที่เขาจะพูดจะกลายเป็นสิ่งที่สร้างอิมแพ็กต์และมีคนหันมาสนใจ 

นั่นคือความจริง การเป็นทหารระดับเบี้ยนั้นแทบไม่มีใครมองเห็น ดังนั้นอูชิคจึงเริ่มยอมรับความจริงและเข้าใจได้ว่า ถ้าเขาออกจากการสู้รบตอนนี้และให้ครอบครัวลี้ภัยไปยังที่ปลอดภัย มันไม่ใช่ความขี้ขลาด แต่มันคือการทำในสิ่งที่หัวหน้าครอบครัวและชายผู้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศอย่างเขาสมควรทำ 

ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป และอูชิคเลือกเส้นทางของตัวเองแล้ว เขาออกจากกองทัพและไปซ้อมอยู่ในประเทศโปแลนด์ จนกระทั่งวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมาที่เขาก็ขึ้นชกล้างตากับโจชัวอีกครั้ง 

การแข่งขันมวยชิงแชมป์โลก รุ่นเฮฟวี่เวต 3 สถาบัน จัดขึ้นที่เมืองญิดดะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย โจชัวที่กินอิ่มนอนหลับซ้อมมาด้วยความฟิตแบบเต็มถัง ขณะที่อูชิคแบกศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของชาวยูเครนไว้บนบ่า ชัยชนะของเขาจะทำให้เขาบอกกล่าวสิ่งที่เกิดขึ้นให้โลกได้รู้ และนั่นทำให้เขาพยายามซ้อมหนักไม่แพ้กัน แม้เวลาฟิตซ้อมจะมีไม่มากนัก

10เมื่อขึ้นเวที อูชิคยังคงเป็นคนเดิม เขาเป็นฝ่ายเดินเข้าหาและปล่อยอาวุธโจมตีใส่ผู้ท้าชิงอย่างต่อเนื่องเมื่อระฆังดังครบ 12 ยก กรรมการบนเวทีชูมือให้เขาเป็นฝ่ายชนะคะแนนอีกครั้ง พร้อมเพิ่มสถิติไร้พ่ายของเจ้าตัวเป็น 20 ไฟต์รวด (ชนะน็อก 13 ครั้ง)​ 

การป้องกันแชมป์โลกของอูชิคทำให้เขาได้โอกาสให้สัมภาษณ์กับสื่อหลาย ๆ เจ้า สิ่งที่เขาบอกทุกสื่อคือแท้จริงแล้วครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ครอบครัวคือสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจ และทำให้เขากลัวในสิ่งที่เขาไม่เคยกลัว ที่สำคัญมันทำให้เขากล้าหาญยิ่งกว่าที่ตัวเองเคยคิดไว้ 

ในเมื่อพระเจ้ามอบพรสวรรค์ของเขาให้เกิดมาเพื่อชกมวย อูชิคจึงเลือกเส้นทางนี้เพื่อปกป้องครอบครัวและสร้างชื่อเสียง รวมถึงเป็นกระบอกเสียงของชาติในเวลาเดียวกัน การเห็นความตายและได้สัมผัสความกลัวที่แท้จริงปลุกสัญชาติญาณความเป็นมนุษย์และหัวหน้าครอบครัวให้ตื่นขึ้น และเขายอมรับว่าจากนี้ไปเขาจะไม่กลับไปเป็นสมาชิกกองทัพอีกแล้ว 

"ผมคงไม่กลับเข้าไปอีกแล้ว ไม่ใช่ว่าผมขี้ขลาดแต่ผมอยู่ที่นั่นก็ไม่มีใครให้ผมไปรบที่แนวหน้า ผมจะต้องทนเห็นเพื่อนสนิทของผมถูกส่งไปรบที่แนวหน้าทุก ๆ วัน วันละหลาย ๆ คน ... ดังนั้นการจะให้ผมสวมชุดทหารแล้วอยู่เฉย ๆ ผมคิดว่าผมควรจะออกไปชกและสนับสนันพวกเขาด้วยชัยชนะของผมดีกว่า นั่นคือสิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุด" 

ท้ายที่สุดสิ่งที่เขาอยากจะพูดก็ถูกส่งต่อจริง ๆ อูชิค สัมภาษณ์ปิดท้ายด้วยการให้ทุกคนบนโลกนี้โปรดอย่าลืมว่าชาวยูเครนกำลังเผชิญกับอะไร ในพื้นที่ที่ความตายเกิดขึ้นได้ทุกวัน เขาร้องขอความช่วยเหลือเพื่อให้เรื่องนี้ยุติลงโดยเร็วที่สุด นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการยิ่งกว่าแชมป์โลก มันคือการคืนชีวิตให้กับครอบครัว และพี่น้องชาวยูเครนของเขา 

11

12"ผมคิดว่ามีอีกหลายฝ่ายที่ยังไม่ได้พยายามมากพอที่จะช่วยยูเครน หลายฝ่ายซ่อนตัวและรอผลลัพธ์ของสงครามเพื่อชิงผลประโยชน์ เชื่อเถอะว่ามันจะไม่สิ้นสุดลงง่าย ๆ ผมเพียงแต่อยากขอให้ทุกฝ่ายช่วยเอาใจใส่และช่วยเหลือชาวยูเครนสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเราตอนนี้" อูชิค ทิ้งท้าย 

แชมป์โลกทำสำเร็จไปแล้ว และฝันของเขา ณ ตอนนี้ไม่มีอะไรมากกว่าการคืนชีวิตให้กับชาวยูเครนทุกคน สายเลือดความรักชาติและรักครอบครัวยังคงไหลเวียนอยู่ในตัวเขา นั่นคือเหตุผลว่าทำไม โอเล็กซานเดอร์ อูชิค จึงอยากจะชนะบนเวทีชกมวยต่อไป ... เพราะนี่คือสิ่งเดียวที่เขาทำได้ดีและเกิดประโยชน์กับทุกคนรอบตัวของเขามากที่สุดนั่นเอง

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ ของ "โอเล็กซานเดอร์ อูชิค" : แชมป์โลกเฮฟวี่เวตที่เข้าใจ "ความกลัว" ครั้งแรกในฐานะนักรบยูเครน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook