ซีเอ็ม พังค์ : นักมวยปล้ำหัวขบถที่โดนระบบบริษัททำร้ายจนหมดไฟ

ซีเอ็ม พังค์ : นักมวยปล้ำหัวขบถที่โดนระบบบริษัททำร้ายจนหมดไฟ

ซีเอ็ม พังค์ : นักมวยปล้ำหัวขบถที่โดนระบบบริษัททำร้ายจนหมดไฟ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ซีเอ็ม พังค์ คือหนึ่งในนักมวยปล้ำที่ได้รับความนิยมมากที่สุดจากแฟนมวยปล้ำรุ่นใหม่ เขาคือตัวแทนของนักมวยปล้ำนอกกรอบที่ไม่ต้องการอยู่ในข้อจำกัดเดิม ๆ จนมีคนให้ใจกับความเท่ของเขาเป็นจำนวนมาก

แต่ชีวิตของ ซีเอ็ม พังค์ ไม่เคยสวยหรู เขาต้องเจอบทเรียนในชีวิตจริงจากการทำงานหลายครั้ง ที่สอนให้เขาได้รู้ว่าคนที่ทำงานได้ดีที่สุด สร้างประโยชน์ให้สมาคมมวยปล้ำมากที่สุด อาจไม่ใช่คนที่ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าก็ได้

จากดาวโรจน์แห่งค่ายนอกกระแส สู่สตาร์เบอร์ 1 ของโลกมวยปล้ำ จนถึงวันที่เขาหมดไฟไม่เหลือความรักให้มวยปล้ำ และกลับมาได้อีกครั้ง นี่คือเรื่องราวชีวิตของซีเอ็ม พังค์ ที่มนุษย์ทุกคนสามารถถอดบทเรียนให้เห็นความจริงที่ทั้งดีและเลวร้ายของโลกมนุษย์

จุดเริ่มต้นของ CM Punk

ก่อนจะก้าวมาเป็นนักมวยปล้ำระดับโลก ซีเอ็ม พังค์ ในฐานะคนธรรมดาที่ชื่อ ฟิล บรูค ไม่ได้มีชีวิตที่สวยหรูนัก เพราะคุณพ่อของเขาเป็นคนติดเหล้า ขณะที่คุณแม่ก็ป่วยด้วยปัญหาสุขภาพจิต สิ่งเหล่านี้ทำให้ชีวิตของ ฟิล บรูค เหินห่างจากครอบครัวมาตั้งแต่ยังเด็ก จนทำให้เขาต้องหาความชอบในเส้นทางอื่นเพื่อมาเยียวยาจิตใจของตัวเอง 

มีอยู่สองสิ่งที่ ฟิล บรูค ชอบมากจนเรียกได้ว่าคลั่งไคล้นั่นคือ ดนตรีพังค์ และ มวยปล้ำ ซึ่งสำหรับสายกีฬาบรูคก็ชื่นชอบมาก ๆ จนถึงขั้นตั้งสมาคมมวยปล้ำหลังบ้านของเขาขึ้นมาเองเพื่อเล่นกับพี่น้องและเพื่อนแถวบ้าน ภายใต้ชื่อ Lunatic Wrestling Federation

จนกระทั่งในปี 1999 ด้วยวัย 21 ปี ฟิล บรูค ขึ้นปล้ำมวยปล้ำอาชีพเป็นครั้งแรกในชื่อที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง ซีเอ็ม พังค์ เขาอำลาบ้านเกิดในเมืองชิคาโก เดินทางไปปล้ำทั่วสหรัฐอเมริกาเพื่อทำความฝันเดียวของเขาให้เป็นจริง นั่นคือการเป็นนักมวยปล้ำที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก

 

ในช่วงเวลาที่ ซีเอ็ม พังค์ เริ่มเป็นนักมวยปล้ำใหม่ ๆ ชีวิตของเขาไม่ง่ายเลย เพราะเจ้าตัวเริ่มในยุคที่แฟนมวยปล้ำอเมริกาสนใจแค่สมาคมมวยปล้ำยักษ์ใหญ่ อย่าง WWF (WWE ในปัจจุบัน) และ WCW เท่านั้น ขณะที่พังค์ซึ่งได้รับโอกาสปล้ำแค่กับค่ายมวยปล้ำท้องถิ่น เขาจึงแทบไม่มีชื่อเสียงใด ๆ เป็นเวลานานหลายปี 

แต่คนมีฝีมือสักวันต้องมีคนเห็นคุณค่า หลังจากปล้ำอยู่กับสมาคมเล็ก ๆ มาหลายปี ซีเอ็ม พังค์ ได้รับโอกาสสำคัญให้มาปล้ำกับสมาคมหน้าใหม่ไฟแรงในปี 2002 อย่าง Ring of Honor หรือ ROH ค่ายมวยปล้ำที่รวมนักมวยปล้ำอนาคตไกล ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นสุดยอดนักสู้ระดับโลกไม่ว่าจะเป็น ไบรอัน แดเนียลสัน, เอเจ สไตล์ส, ซามัว โจ และ ซีเอ็ม พังค์

ROH กลายเป็นครูที่สอนให้พังค์ได้พัฒนาในฐานะนักมวยปล้ำ เขาสร้างตัวตนแรกบนเวทีซึ่งได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วด้วยคาแร็กเตอร์ “นักมวยปล้ำที่ไม่ดื่มเหล้าเบียร์ และไม่เล่นยา” ด้วยการเอาชีวิตจริงของเขาที่มีไลฟ์สไตล์แบบ straight edge ไม่ดื่มแอลกอฮอลล์และไม่ยุ่งกับยาเสพติดตามปมในวัยเด็กที่เขาฝังใจจากการมีพ่อเป็นคนติดเหล้า

ถึงคาแร็กเตอร์ของพังค์จะดูเป็นคนดีศรีสังคม แต่บนเวทีมวยปล้ำเขากลับสร้างชื่อในฐานะฝ่ายอธรรมสุดแสบ เพราะในช่วงเวลานั้น เหล้า เบียร์ และยาเสพติด คือของคู่กันกับหลังฉากในมวยปล้ำ คาแร็กเตอร์ของพังค์จึงกลายเป็นพวกต่อต้านวัฒนธรรมของนักมวยปล้ำที่เที่ยวด่ากราดนักสู้คนอื่นไปทั่ว 

ซีเอ็ม พังค์ พัฒนาสกิลการพูดออกไมค์ได้อย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาอันสั้นเขากลายเป็นนักพูดที่แฟนมวยปล้ำทุกคนต้องตั้งใจฟัง แต่สิ่งที่ทำให้เขาโด่งดังกับ ROH ไม่ใช่แค่การพูดหรือคาแร็กเตอร์ที่โดดเด่นแต่เป็นฝีมือการปล้ำที่ยอดเยี่ยม

 

พังค์ปล้ำได้แทบจะทุกแนวในช่วงยุคแรกของอาชีพ เขาเก่งกาจอย่างมากกับการปล้ำสายเทคนิค ใช้ท่าการต่อสู้ที่อยู่บนพื้นเป็นหลัก แต่ขณะเดียวกันก็มีความรวดเร็ว คล่องแคล่ว ว่องไว จนสามารถนำท่ามวยปล้ำสายบินมาประยุกต์ใช้ได้ รวมถึงใช้ท่าสไตร์คในรูปแบบต่าง ๆ ได้ดีเช่นกัน

นอกจากนี้ ซีเอ็ม พังค์ ยังมีจุดเด่นในการปล้ำแมตช์สไตล์ฮาร์ดคอร์ เพราะเขาทุ่มร่างกายไปกับแมตช์เหล่านี้อย่างเต็มที่ ยอมเจ็บตัว ไม่กลัวร่างกายพัง จนทำให้เขาได้รับความเคารพมากจากแฟนมวยปล้ำและเพื่อนร่วมงาน

พังค์ใช้เวลาไม่นานประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ในฐานะแชมป์โลกแท็กทีมของ ROH ก่อนจะโด่งดังแบบสุดขีดด้วยการเปิดศึกกับ ซามัว โจ ซึ่งทำให้โชว์ของ ROH มียอดขายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ (ในปี 2005) รวมถึงแมตช์ที่ปล้ำเสมอกับโจ 60 นาทีเต็ม ยังได้รับเกรด 5 ดาวจาก เดฟ เมลเซอร์ กูรูมวยปล้ำชื่อดัง ซึ่งเป็นแมตช์แรกของฝั่งอเมริกาในรอบ 7 ปีที่ได้รับรางวัล 5 ดาว

ซีรีส์ที่พังค์ปล้ำกับโจเป็นผลงานที่โดดเด่นมากพอจนทำให้ชื่อของเขาได้รับความสนใจจาก WWE ก่อนจะตัดสินใจเซ็นสัญญากับ WWE ในเดือนมิถุนายนปี 2005

แต่ก่อนจะเข้าสมาคมใหญ่ พังค์ขอต่อรองกับ WWE ขอทำในสิ่งที่เขายังไม่ได้ทำกับ ROH นั่นคือการคว้าแชมป์โลก ROH ให้ได้ก่อน

 

เพียงแค่ 9 วันหลังจากเซ็นสัญญากับ WWE ซีเอ็ม พังค์ คว้าแชมป์โลก ROH มาครองได้สำเร็จ พร้อมกับเริ่มต้นสร้างเนื้อเรื่องที่น่าจดจำอีกครั้ง ด้วยคาแร็กเตอร์ “นักมวยปล้ำที่หักหลัง ROH” เพราะทันทีที่เขาได้แชมป์ พังค์ประกาศทันทีว่าเขาจะพาเข็มขัดแชมป์โลก ROH ไปที่ WWE และสมาคมเล็ก ๆ แห่งนี้จะไม่มีเข็มขัดแชมป์โลกไปตลอดกาล

"Summer of Punk" คือชื่อที่ถูกใช้เรียกช่วงเวลาที่ ซีเอ็ม พังค์ เป็นแชมป์โลกของ ROH เพราะในตอนนั้นคือช่วงเวลาที่ ROH มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดนับตั้งแต่สมาคมเปิดค่ายมา ซีเอ็ม พังค์ ได้ทำให้แฟนมวยปล้ำเมนสตรีมเริ่มหันมาสนใจค่ายมวยปล้ำนอกกระแสบ้าง 

ท้ายที่สุด ซีเอ็ม พังค์ ถือแชมป์ไม่ถึง 2 เดือนก็เสียแชมป์โลก ROH เพื่ออำลาสมาคมที่ปลุกปั้นเขาจนพร้อมก้าวขึ้นสู่ลีกใหญ่อย่าง WWE อย่างไรก็ตาม "Summer of Punk" ถูกจารึกไว้ว่าเป็นเนื้อเรื่องของสมาคมมวยปล้ำนอกกระแสที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดมาจนถึงปัจจุบัน

13 สิงหาคม 2005 ซีเอ็ม พังค์ อำลา ROH และกีฬามวยปล้ำที่เขารัก เพื่อเข้าสู่โลกแห่งสปอร์ตเอนเตอร์เทนเมนต์ อย่าง WWE สถานที่ซึ่งเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล

ชีวิตขึ้นลงใน WWE

ไม่สำคัญว่า ซีเอ็ม พังค์ จะโด่งดังแค่ไหนสมัยปล้ำอยู่กับสมาคมอินดี้ แต่พอเข้ามาอยู่ลีกใหญ่กับ WWE คือคนละโลก เพราะพังค์ต้องเสียเวลาเกือบ 1 ปีไปกับการปล้ำในค่ายพัฒนาทักษะของ WWE อย่าง Ohio Valley Wrestling หรือ OVW ที่คนดูน้อยกว่า ROH เสียอีก 

แถมพอได้ขึ้นค่ายใหญ่อย่าง WWE ซีเอ็ม พังค์ ก็ไม่ได้อยู่โชว์หลัก ทั้ง Raw และ Smackdown แต่ต้องมาเริ่มต้นกับโชว์เล็กนอกสายตา นั่นคือ ECW 

แม้ว่าพังค์จะทำผลงานบนสังเวียนมวยปล้ำได้ดีเช่นเดิม แถมได้รับความนิยมจากแฟน ๆ แต่เขาก็ไม่ได้รับการผลักดันเหมือนสมัยอยู่ ROH เพราะ วินซ์ แม็คแมน ประธานของ WWE ไม่รู้สึกว่าพังค์จะก้าวขึ้นมาเป็นสตาร์ดังของ WWE ได้ จนถึงขนาดที่ว่าเคยปฏิเสธโอกาสให้ ซีเอ็ม พังค์ คว้าแชมป์ ECW มาแล้ว อีกทั้งยังเคยคิดจะไล่ ซีเอ็ม พังค์ ออกจากสมาคม ทั้งที่เพิ่งร่วมงานจริงจังได้เพียงปีเดียวเท่านั้น

 

โชคดีที่เพื่อนร่วมงานหลายคนของพังค์ไม่ได้คิดแบบ วินซ์ แม็คแมน และเห็นศักยภาพในตัวเขา คอยให้การสนับสนุนนักมวยปล้ำรายนี้มาตลอด จนสุดท้ายเขาก็ก้าวไปคว้าแชมป์ ECW เป็นก้าวแรกสู่ความยิ่งใหญ่ของเขาใน WWE

ตลอดช่วงเวลาที่เขาเป็นแชมป์ ECW พังค์กลายเป็นแชมป์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคที่ WWE ทำโชว์ ECW ขึ้นมาใหม่จนชนะใจผู้บริหารหลายคน และจากที่เคยจะถูกไล่ออก ซีเอ็ม พังค์ กลายเป็นแชมป์ World Heavyweight ของโชว์ Raw เพียงแค่ไม่ถึงปีถัดมาหลังจากเป็นแชมป์ ECW

การผลักดัน ซีเอ็ม พังค์ รวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ จากม้านอกสายตาสุดท้าย WWE เลือกจะเดิมพันกับเขา อย่างไรก็ตามมันกลับจบลงด้วยปัญหาใหญ่ครั้งแรกของเขากับ WWE

เพราะว่าพังค์เป็นแชมป์โลกได้เพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้น เขาเสียแชมป์ด้วยการเปลี่ยนแผนกะทันหัน โดยหน้าฉากเขาเสียแชมป์ด้วยการถูกลอบทำร้ายจนปล้ำไม่ไหวต้องสละแชมป์

แต่เหตุผลที่แท้จริงคือในช่วงปี 2008 ทาง WWE ได้สร้างเนื้อเรื่องการสู้กันระหว่าง คริส เจอริโก และ ชอว์น ไมเคิลส์ ที่โด่งดังอย่างมากกว่าเส้นเรื่องแชมป์โลกของซีเอ็ม พังค์ สุดท้าย WWE จึงคิดว่าควรเพิ่มความเข้มข้นในเนื้อเรื่องของ “เจอริโก-ไมเคิลส์” ให้มากขึ้นไปอีก จึงตัดสินใจยึดเข็มขัดแชมป์โลกจากพังค์เพื่อเอาไปให้ คริส เจอริโก ถือแทน

อย่างไรก็ตาม ซีเอ็ม พังค์ หงุดหงิดสุดขีดกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่พอใจชนิดที่เรียกว่าอุทานคำหยาบคายออกมาทันทีที่รู้ว่าต้องเสียแชมป์แบบนี้ และเป็นบทเรียนแรกที่ทำให้พังค์รู้ว่าในโลกมวยปล้ำไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าผลประโยชน์ทางธุรกิจ

Summer of Punk 2.0 

หลังจากเสียแชมป์แบบไม่เป็นธรรม ซีเอ็ม พังค์ ได้รับการตอบแทนเป็นการคว้าแชมป์โลก 2 สมัย ในปี 2009 แต่ไม่ได้มีอะไรน่าจดจำ แม้ว่าจะมีเนื้อเรื่องสุดสนุกกับ เจฟฟ์ ฮาร์ดี แต่สุดท้ายแล้วระดับของพังค์ก็เริ่มลดลงมาเรื่อย ๆ หลังจากนั้น จนเริ่มกลายเป็นตัวตลก โดนจับไปโกนหัว ต้องปล้ำใส่หน้ากากก็มีมาแล้ว

ปัญหาสำคัญของพังค์กับ WWE คือพังค์มีเป้าหมายเดียวตั้งแต่วันแรกที่เขาเป็นนักมวยปล้ำคือเป็นเบอร์ 1 ของวงการ เขาจึงกลายเป็นคนหัวรั้นและมีอีโก้ เขาพยายามจะทำทุกทางให้ตัวเองขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของ WWE แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้บริหารของ WWE กลับไม่มีใครที่คิดว่า ซีเอ็ม พังค์ จะขึ้นมาเป็นสตาร์ระดับแถวหน้าของ WWE ได้เลย

พังค์เบื่อการเมืองหลังฉากของ WWE อย่างหนัก และยิ่งปล้ำเขาก็ยิ่งหมดไฟ เนื่องจากไม่ได้รับการผลักดันในแบบที่เขาต้องการ ซีเอ็ม พังค์ จึงตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับ WWE ที่กำลังจะหมดลงในวันที่ 17 กรกฎาคม 2011 

อย่างไรก็ตาม WWE ต้องการจะรั้งซีเอ็ม พังค์ เอาไว้ และได้ยื่นข้อเสนอล่อตาล่อใจ นั่นคือการให้เขาเป็นแชมป์โลกอีกครั้งในศึกใหญ่ Money in the Bank ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 17 กรกฎาคม 2011 วันเดียวกับที่พังค์หมดสัญญา และโชว์นี้จะจัดขึ้นที่บ้านเกิดของเขาที่เมืองชิคาโก

เรื่องราวเริ่มต้นทันทีด้วยการที่ ซีเอ็ม พังค์ ประกาศว่าเขาจะไม่ต่อสัญญากับ WWE และจะไปชิงแชมป์โลก WWE กับ จอห์น ซีนา ซึ่งหลังจากเขาคว้าแชมป์ได้เขาจะออกจาก WWE พร้อมกับเอาเข็มขัดแชมป์ออกจากสมาคมไปด้วย

ถ้าคุณรู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันคุ้น ๆ ก็เป็นเพราะว่านี่คือ “Summer of Punk” ภาคสอง ที่ WWE หยิบเอาเนื้อเรื่องที่พังค์เคยทำใน ROH มาใช้อีกครั้ง และมันประสบความสำเร็จมากกว่าเดิมเสียอีก เพราะระหว่างที่ทุกอย่างดำเนินไป ซีเอ็ม พังค์ ได้หยิบไมค์มาพูดผ่านหน้าจอโทรทัศน์กับคำกล่าวที่แฟนมวยปล้ำจะไม่มีวันลืม

“หลังจากผมออกไปพร้อมกับแชมป์ WWE ในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า ขอระบายความรู้สึกอัดอั้นตันใจออกจากอกหน่อยล่ะกัน กูไม่ได้เกลียดมึงนะจอห์น (ซีนา) แต่กูเกลียดไอเดีย (ของสมาคม) ที่ให้มึงเป็นที่ 1 เพราะมึงไม่ใช่ กูต่างหากที่เจ๋งที่สุด กูเจ๋งที่สุดในโลก” 

“สิ่งเดียวที่มึงทำได้ดีกว่าคือการจูบก้น วินซ์ แม็คแมน เหมือนกับที่ ฮัลค์ โฮแกน และ เดอะ ร็อค เคยทำ อุ้ย เผลอเอาเรื่องหลังฉากมาพูดซะแล้ว”

“การที่เดอะ ร็อค ได้เป็นคู่เอกเรสเซิลมาเนียไม่ใช่ผม มันทำให้ผมอยากจะอ้วก … แต่ผมจะจากไปพร้อมกับเข็มขัด WWE ผมอาจจะเอามันไปปล้ำที่ New Japan Pro Wrestling หรือกลับไปที่ Ring of Honor”

“ผมคิดว่าสมาคมนี้จะดีขึ้นถ้า วินซ์ แม็คแมน ตายไปแล้ว แต่สุดท้ายมันก็จะโดนสานต่อด้วยครอบครัวโง่ ๆ ของเขา ถ้างั้นก็ขอเล่าเรื่องส่วนตัวของผมกับวินซ์ต่อหน่อยแล้วกัน คือว่า… (ไมค์ถูกตัดเสียง)”

โปรโมนี้ของพังค์ถูกเรียกว่า “Pipebomb” ที่สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก เพราะนี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1997 ที่มีนักมวยปล้ำ WWE เอาเรื่องหลังฉากออกมาพูดหน้าฉาก แถมมีเนื้อหารุนแรงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน จนแฟนมวยปล้ำเกือบทั้งโลกคิดว่า ซีเอ็ม พังค์ ตั้งใจเอาเรื่องหลังฉากมาพูดโดยไม่ได้รับอนุญาต

การพูดของพังค์ในครั้งนี้ปลุกกระแสอย่างมาก แฟนมวยปล้ำเชื่อในสิ่งที่เขาพูดและรู้สึกแบบเดียวกัน เพียงแค่การโปรโมครั้งนี้ได้เปลี่ยน ซีเอ็ม พังค์ จากอธรรมที่แสนน่าเบื่อให้กลายเป็นนักมวยปล้ำยอดนิยมอันดับ 1 ในชั่วพริบตาเดียว ทุกคนเชียร์ให้เขาเอาชนะ จอห์น ซีนา และเอาเข็มขัดแชมป์โลกออกไปจาก WWE

สุดท้ายในศึก Money in the Bank ที่บ้านเกิดชิคาโก ซีเอ็ม พังค์ เอาชนะ จอห์น ซีนา คว้าแชมป์โลก WWE เดินออกจากสนามท่ามกลางแฟนมวยปล้ำไปอย่างยิ่งใหญ่ด้วยแมตช์คุณภาพระดับ 5 ดาวอีกครั้งโดย เดฟ เมลเซอร์ ซึ่งเป็นแมตช์แรกของ WWE ที่ทำได้ในรอบ 14 ปี 

ภายในระยะเวลาประมาณ 1 เดือนก่อนจะหมดสัญญากับ WWE ซีเอ็ม พังค์ ได้เปลี่ยนตัวเองให้เป็นนักมวยปล้ำที่ผู้คนชื่นชอบมากที่สุด ในฐานะนักมวยปล้ำหัวขบถผู้ต่อต้านการเอารัดเอาเปรียบขององค์กร ไม่ต่างจากที่ สโตนโคล สตีฟ ออสติน เคยเป็นในอดีต พร้อมกับสร้างเนื้อเรื่องที่น่าจดจำที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกมวยปล้ำ

ซีเอ็ม พังค์ ขึ้นสู่จุดสูงสุดตามที่เขาต้องการ แต่มันจบไวกว่าที่หลายคนคาดคิด

แตกหักและจากลา 

ในความเป็นจริงแล้ว ซีเอ็ม พังค์ ไม่ได้พูดนอกบทกับเหตุการณ์ “Pipebomb” ที่เกิดขึ้น เขาได้รับอนุญาตให้ออกไปพูดในสิ่งที่อยากพูดได้เต็มที่ และตัวของพังค์ก็ต่อสัญญาระยะยาวกับ WWE ไปก่อนที่จะได้แชมป์โลกในศึก Money in the Bank 2011 เสียอีก

พังค์ในตอนนั้นถือว่าขาขึ้นแบบสุด ๆ ในเรื่องของความนิยม สินค้าของเขาขายดีมากที่สุดใน WWE แซงหน้าจอห์น ซีนา ผู้คนตีตั๋วเข้าสนามเพื่อจะไปดูฮีโร่หัวขบถคนใหม่ที่แตกต่างและไม่มีใน WWE มานานนับตั้งแต่ สโตนโคล รีไทร์จากวงการมวยปล้ำในปี 2003

แต่ทั้งที่ความนิยมของพังค์พุ่งถึงจุดสูงสุด เขายังคงไม่ได้รับการผลักดันในแบบที่ตัวเองคาดหวัง เพราะหลังจากคว้าแชมป์มาครองได้แค่ 28 วันจากศึก Money in the Bank เขาก็ต้องเสียแชมป์โลกไปเพียงเพราะว่าทางสมาคมอยากให้เขาไปแพ้ให้กับ ทริปเปิล เอช โดยอ้างว่าเป็นการยกระดับพังค์ไปอีกขั้น

แน่นอนว่าพังค์ไม่พอใจ เขามองว่าไม่มีอะไรจะเป็นการผลักดันนักมวยปล้ำที่ดีกว่าการเป็นแชมป์โลก แต่เขากลับต้องมาเสียแชมป์เพื่อไปแพ้ให้นักมวยปล้ำพาร์ตไทม์อย่างทริปเปิล เอช จนพังค์ถึงกับด่าลูกเขยของวินซ์ในที่ประชุมว่า ต้องการจะมาเกาะชื่อเสียงของเขาเพื่อมีบทเด่นทางหน้าจอ

ถึงจะไม่ถูกใจ พังค์ ก็ต้องแพ้ให้ ทริปเปิล เอช แบบค้านความต้องการของแฟน ๆ อย่างไรก็ตาม ซีเอ็ม พังค์ ก็ได้รับรางวัลตอบแทนอีกครั้งด้วยการคว้าแชมป์โลกในช่วงปลายปี 2011 และคราวนี้เขาครองแชมป์ WWE นานถึง 434 วัน นานที่สุดนับตั้งแต่ ฮัลค์ โฮแกน คว้าแชมป์นี้เมื่อปี 1984

แต่การคว้าแชมป์ที่ยาวนานของ ซีเอ็ม พังค์ กลับไม่ได้ช่วยให้เขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของสมาคม เพราะในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เดอะ ร็อค ตัดสินใจกลับมาปล้ำที่ WWE เพื่อเปิดศึกกับ จอห์น ซีนา และกลายเป็นเนื้อเรื่องที่สำคัญที่สุดยิ่งกว่าเส้นเรื่องเข็มขัดแชมป์โลก ซึ่งทำให้พังค์ไม่พอใจอีกครั้ง เพราะโดยปกติแล้วเนื้อเรื่องแชมป์โลกควรจะเป็นเนื้อเรื่องที่สำคัญที่สุดของกีฬามวยปล้ำ

มุมมองของพังค์ที่มีต่อมวยปล้ำกับมุมมองของ WWE ที่มีต่อมวยปล้ำสวนทางกันเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการที่พังค์ถือแชมป์โลก WWE ได้ป้องกันแชมป์ในเรสเซิลมาเนียแต่ไม่ได้เป็นคู่เอก เพราะต้องหลีกทางให้ เดอะ ร็อค กับ จอห์น ซีนา ยิ่งทำให้เขาเคืองหนักมากขึ้นไปอีก 

เพราะการเป็นคู่เอกเรสเซิลมาเนียคือความฝันของพังค์มาทั้งชีวิต อีกทั้งตัวเขายังมองว่าถ้าจะขึ้นสู่จุดสูงสุดของโลกมวยปล้ำตามความฝันเขาก็ต้องได้เป็นคู่เอกของเรสเซิลมาเนีย บวกกับเรื่องที่สินค้าของเขาขายดีกว่าทั้ง จอห์น ซีนา และเดอะ ร็อค ยิ่งทำให้พังค์ไม่เข้าใจว่าทำไมนักมวยปล้ำที่ดังที่สุดถึงไม่ได้รับการผลักดันมากที่สุด

อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ซีเอ็ม พังค์ ยิ่งระหองระแหงกับ WWE คือถึงจะไม่พอใจแค่ไหนเขาก็ไม่ปริปากบ่นและทำงานอย่างมืออาชีพ โดยในช่วงปี 2011 และ 2012 ซีเอ็ม พังค์ ปล้ำมากถึง 366 แมตช์ ให้เข้าใจง่าย ๆ คือปล้ำมวยปล้ำแบบวันเว้นวัน จนร่างกายของเขาพังยับเยินจนต้องไปผ่าตัดเข่า แถมยังไม่ทันหายดีก็ต้องกลับมาปล้ำต่อทันที

พังค์ยอมเสียสละร่างกายของเขาเพียงเพื่ออย่างเดียวคือการได้ขึ้นไปเป็นนักมวยปล้ำเบอร์ 1 ของ WWE แต่เขาไม่เคยได้ในสิ่งที่ต้องการ เพราะ WWE ยังคงคิดแต่จะผลักดันเนื้อเรื่องระหว่าง เดอะ ร็อค กับ จอห์น ซีนา มากที่สุดเสมอ

สุดท้ายพังค์ก็ต้องเสียแชมป์ให้กับ เดอะ ร็อค เพื่อให้ เดอะ ร็อค ไปป้องกันแชมป์โลกเป็นคู่เอกกับ จอห์น ซีนา อีกครั้งในเรสเซิลมาเนีย ทำลายความฝันของ ซีเอ็ม พังค์ ไปอีกรอบ 

จนฟางเส้นสุดท้ายของเขากับ WWE ก็มาเกิดขึ้น หลังจากในเรสเซิลมาเนียครั้งที่ 30 ทาง WWE ได้วางเป้าให้คู่เอกเป็นการพบกันระหว่าง บาติสต้า และ แรนดี้ ออร์ตัน ซึ่งทำให้พังค์เดือดดาลอย่างมาก โดยเฉพาะการเอาบาติสต้ามาเป็นคู่เอก เนื่องจากบาติสต้าออกจากวงการมวยปล้ำไปแสดงหนังเกือบ 4 ปีแล้วแต่ WWE จะลัดคิวให้มาเป็นคู่เอก ขณะที่พังค์จะโดนจับไปเจอกับ ทริปเปิล เอช (อีกแล้ว)

เมื่อพังค์เห็นว่าการทนเจ็บตัวของเขาไม่มีความหมายอีกต่อไป ทุกความทุ่มเทที่เขาทุ่มให้ WWE กลับเสียเปล่า ไม่มีทางจะทำให้ความฝันของเขากลายเป็นจริง เขาจึงตัดสินใจวอล์กเอาต์ หรือไม่ยอมมาปล้ำให้กับ WWE นับตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2014 เป็นต้นมา และไม่เคยกลับคืนสังเวียนมวยปล้ำนับตั้งแต่นั้น

การกลับมาของ CM Punk

แน่นอนว่าการลาจากสิ่งที่เขารักทำร้าย ซีเอ็ม พังค์ อยู่เหมือนกัน แม้จะผันตัวไปลองชก MMA ผ่านสังเวียน UFC แต่ก็พังเละเทะไม่เป็นท่า

ซีเอ็ม พังค์ ยอมรับว่าช่วงเวลาการทำงานหลังฉากที่ย่ำแย่กับ WWE ทำลายความรักในมวยปล้ำของเขาไปจนหมดสิ้น เขาแทบไม่ดูมวยปล้ำอีกเลยเพราะเขาไม่สนุกกับมวยปล้ำอีกแล้ว

แม้ว่า ซีเอ็ม พังค์ จะได้กลับมาทำรายการ WWE Backstage แต่นั่นก็เป็นการเซ็นสัญญากับช่องโทรทัศน์อย่าง Fox และพังค์ก็ไม่มีวี่แววจะกลับไปคืนดีกับ WWE เพราะชัดเจนว่าเขายังคงเจ็บปวดกับความผิดหวังกับความฝันของเขาที่ไม่เคยเป็นจริง 

อย่างไรก็ดีวงการมวยปล้ำเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเสมอ ในปี 2019 เกิดสมาคมคู่แข่งของ WWE อย่าง All Elite Wrestling หรือ AEW โดย โทนี่ ข่าน ผู้มีธุรกิจกีฬาทั้งทีมฟุตบอลและทีมอเมริกันฟุตบอลอยู่ในมือ ซึ่งนักมวยปล้ำคนแรกที่ข่านอยากได้มาร่วมงานด้วยคือ ซีเอ็ม พังค์

โทนี่ ข่าน เรียกได้ว่าเป็นแฟนตัวยงของพังค์ และความฝันของเขาคือการพาพังค์กลับสู่วงการมวยปล้ำอีกครั้ง แต่พังค์ก็ปฏิเสธมาโดยตลอด แต่ โทนี่ ข่าน ไม่เคยยอมแพ้ เขาติดต่อหาพังค์เรื่อย ๆ จนกระทั่งมีการประกาศจัดโชว์วันที่ 20 สิงหาคม 2021 ที่ชิคาโก ณ สนามยูไนเต็ด เซ็นเตอร์ รังเหย้าของทีมชิคาโก บูลส์ ภายใต้ชื่อศึก AEW Rampage: The First Dance

โชว์นั้นมีผู้ซื้อตั๋ว 15,316 คน เยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ของ AEW ณ เวลานั้น เพราะแฟนมวยปล้ำเชื่อกันว่า ซีเอ็ม พังค์ จะกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง และเซ็นสัญญากับ AEW คู่แข่งของ WWE ซึ่งไม่มีอะไรผลิกโผ พังค์ปรากฏตัวคืนสู่สังเวียนมวยปล้ำเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี กับเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในวงการกีฬาของปี 2021 และคลิปการกลับมาของเขามีผู้ชมมากถึง 13 ล้านคนทาง Youtube

“13 สิงหาคม 2005 ผมปล้ำแมตช์สุดท้ายใน ROH ผมเดินออกไปพร้อมกับน้ำตา … ผมร้องไห้เพราะผมรู้ว่าผมจะจากสิ่งที่ผมเรียกว่าบ้านไปในที่ที่ไม่ง่ายสำหรับผม เพราะผมก็เหมือนพวกคุณทุกคน ผมสรุปอย่างนี้ 13 สิงหาคม 2005 ผมอำลามวยปล้ำอาชีพไป 20 สิงหาคม 2021 ผมกลับมาแล้ว” ซีเอ็ม พังค์ กล่าวหลังเปิดตัวกับ AEW

สิ่งสำคัญที่แฟนมวยปล้ำได้เห็นคือ ซีเอ็ม พังค์ กลับมามีความสุขกับมวยปล้ำอีกครั้ง และเขาไม่ได้มาเป็นนักมวยปล้ำพาร์ตไทม์ แต่เป็นนักมวยปล้ำประจำที่ขึ้นสังเวียนอยู่เรื่อย ๆ เพราะ ซีเอ็ม พังค์ เองก็มีภารกิจสำคัญที่เขาอยากทำ นั่นคือการพิสูจน์ตัวเองให้แฟนมวยปล้ำได้เห็นว่าเขายังสุดยอดเหมือนเดิมอยู่

ขณะเดียวกันด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น ซีเอ็ม พังค์ ในฐานะนักมวยปล้ำไม่ได้มองถึงการขึ้นไปสู่จุดสูงสุดในฐานะนักมวยปล้ำเบอร์ 1 อีกต่อไป แต่ตัวเขาขอแค่ได้ขึ้นสังเวียนมวยปล้ำอย่างมีความสุข ได้ทำแมตช์ดี ๆ ทำเนื้อเรื่องดี ๆ ก็เพียงพอแล้ว 

อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้ว่า ซีเอ็ม พังค์ ก็คือ ซีเอ็ม พังค์ เขาช่วยให้ AEW ทุบสถิติทั้งเรตติ้งทางโทรทัศน์และยอดขายสินค้า เพราะแม้จะจากวงการมวยปล้ำไปนานความนิยมของเขาไม่เคยหายไปไหน มีคนที่ยังรักและให้การสนับสนุนเขาเช่นเดิม 

ซีเอ็ม พังค์ จึงได้ผงาดขึ้นเป็นแชมป์โลกอีกครั้งกับสมาคมใหม่อย่าง AEW ในศึก Double or Nothing เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา

“ทุกวันนี้ผมเหมือนกับได้รับของขวัญในทุก ๆ วัน ผมหวังว่าแฟน ๆ จะรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ผมแค่รู้สึกว่าทุกอย่างมันอาจจะหายไปในวันพรุ่งนี้ก็ได้ ผมแค่อยากจะมีความสุขกับทุกวินาทีที่ผมได้ยืนอยู่บนเวทีมวยปล้ำ และทำให้ดีที่สุด” ซีเอ็ม พังค์ กล่าวหลังได้แชมป์โลก AEW

ชีวิตของ ซีเอ็ม พังค์ มีแต่มวยปล้ำ มันพาเขาขึ้นสู่จุดสูงสุดรวมถึงต่ำสุดมาแล้ว มีทั้งรอยยิ้ม ความโกรธแค้น และคราบน้ำตาเกิดขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือชีวิตของ ซีเอ็ม พังค์ ทำให้ผู้ชายที่ชื่อ ฟิล บรูค ได้เติบโตขึ้น ได้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ดีขึ้นและเข้าใจถึงสัจธรรมของโลกที่แท้จริง 

ชีวิตของ ซีเอ็ม พังค์ คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าการทำงานในบริษัทใหญ่บางครั้งก็ไม่ได้สนุกและมีความสุขอย่างที่คิด มีการเมืองมากมายเกิดขึ้นในองค์กร ถึงจะเป็นคนทำผลงานได้ดีที่สุดก็อาจจะไม่ใช่คนที่ได้รับผลตอบแทนดีที่สุด

สุดท้ายแล้วเราทุกคนต้องหาให้เจอว่าชีวิตการทำงานแบบไหนคือความสุขและเป็นความฝันที่แท้จริง บางคนอาจจะไม่ได้มีปัญหากับการทำงานในบริษัทใหญ่เพราะได้เงินดีกว่า นักมวยปล้ำหลายคนเลือกอยู่กับ WWE ด้วยเหตุผลนี้อย่างเต็มใจ แต่ ซีเอ็ม พังค์ ที่ไม่ใช่ก็ต้องเดินออกไปและหาที่ของตัวเองให้เจอ 

หลังจากนี้ไม่ว่าเส้นทางของ ซีเอ็ม พังค์ จะเป็นอย่างไร แต่เชื่อได้ว่าเขาจะมีความสุขกับมวยปล้ำไปอีกนาน เพราะเขาได้เห็นสิ่งที่สำคัญกับการเป็นนักมวยปล้ำ นั่นคือการปล้ำอย่างมีความสุข การได้ทำในสิ่งที่รักสำคัญกว่าทุกสิ่งบนโลกใบนี้ ไม่ใช่แค่กับ ซีเอ็ม พังค์ แต่กับมนุษย์ทุกคน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook