ย้อนรอย 9 นัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ลีก-ยูโรเปี้ยนคัพ ในประวัติศาสตร์ ลิเวอร์พูล

ย้อนรอย 9 นัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ลีก-ยูโรเปี้ยนคัพ ในประวัติศาสตร์ ลิเวอร์พูล

ย้อนรอย 9 นัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ลีก-ยูโรเปี้ยนคัพ ในประวัติศาสตร์ ลิเวอร์พูล
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

พลพรรค หงส์แดง เข้าชิงชนะเลิศ ยูโรเปี้ยนคัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก่อนหน้านี้จำนวนทั้งหมดรวมกัน 9 ครั้ง แบ่งเป็นจำนวนครั้งที่คว้าแชมป์ 6 สมัย (1977, 1978, 1981, 1984, 2005 และ 2019) และรองแชมป์ 3 สมัย (1985, 2007, 2018)

มีเพียง 3 ทีมใน ยุโรป เท่านั้นที่เข้าชิงฯ ยูโรเปี้ยนคัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รวมกันได้มากกว่าพวกเขา (บาเยิร์น มิวนิค 11 ครั้ง, เอซี มิลาน 11 ครั้ง และ เรอัล มาดริด 16 ครั้ง)

90min พาผู้อ่านหวนอดีตย้อนรอยนัดชิงชนะเลิศถ้วย บิ๊กเอียร์ ที่ทัพ เร้ดแมชีน เข้าชิงฯ ดังนี้

1. 1976/77 ลิเวอร์พูล 3-1 โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค

Terry McDermottTerry McDermottลิเวอร์พูล ประเดิมกรุยทางสู่นัดชิงชนะเลิศ ยูโรเปี้ยนคัพ เป็นครั้งแรก และนับเป็นสโมสรจาก อังกฤษ ทีมที่ 3 ที่ทำสำเร็จต่อจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (1967/68 ชนะ 4-1 เบนฟิก้า) และ ลีดส์ ยูไนเต็ด (1974/75 แพ้ บาเยิร์น มิวนิค 2-0) รวมทั้งยังเป็นนัดชิงฯ ครั้งแรกของ โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค ด้วยเช่นเดียวกัน และเป็นการย้อนรอยเกมไฟนอล ยูฟ่า คัพ 1973 ที่ หงส์แดง ซิวชัยคว้าแชมป์จากผลรวมของ 2 เลก

เร้ดแมชีน ภายใต้การคุมทัพของ บ็อบ เพสลีย์ ที่มีแข้งอย่าง เควิน คีแกน กับ สตีฟ ไฮเวย์ เป็นคีย์แมนชูโรงออกนำไปก่อนจากประตูของ เทอร์รี แม็คเดอร์ม็อตต์ ในครึ่งแรก ก่อนที่ อัลลัน ซิมอนเซน จะตามตีเสมอให้กับ มึนเชนกลัดบัค ต้นครึ่งหลัง

ลิเวอร์พูล ขึ้นนำเป็ 2-1 อีกครั้งจากลูกโหม่งของ ทอมมี สมิธ ก่อนที่ ฟิล นีล จะซัดจุดโทษปิดกล่องด้วยสกอร์ 3-1

2. 1977/78 ลิเวอร์พูล 1-0 คลับบรูช

ลิเวอร์พูล รักษาสถานะแชมป์ ยุโรป ได้ในฤดูกาลถัดมาเมื่อพวกเขากรุยทางสู่เกมชิงชนะเลิศ 1977/78 ที่ เวมบลีย์ ก่อนคว่ำ คลับบรูช ที่เข้าชิงฯ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร

ประตูโทนของเกมนี้เกิดขึ้นในครึ่งหลังจากแข้งตำนาน เคนนี ดัลกลิช มีชื่อบนสกอร์บอดร์เมื่อจบลูกแอสซิสต์ของ แกรม ซูเนสส์ เป็นประตู

การคว้าแชมป์สมัยนี้ของ หงส์แดง ทำให้พวกเขาเป็นสโมสรจาก อังกฤษ ทีมแรกที่คว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยนคัพ ติดต่อกัน 2 สมัยอีกด้วย

3. 1980/81 ลิเวอร์พูล 1-0 เรอัล มาดริด

หลังอกหักไม่สามารถเข้าชิงชนะเลิศได้ 2 ปีติดต่อกัน ลิเวอร์พูล คัมแบ็คสู่แมตช์ชิงดำถ้วยใหญ่ของยุโรปอีกครั้งในปีที่ 3 นับจากครั้งก่อน โดยเป็นการพบกันครั้งแรกในนัดชิงฯ กับ เรอัล มาดริด ที่ ปาร์ก เดส์ แปรซ์ ใน ปารีส ฝรั่งเศส นับเป็นครั้งที่ 9 ที่ทัพ ราชันชุดขาว เล่นในเกมไฟนอลรายการนี้ (แชมป์ 6 สมัย รองแชมป์ 3 ครั้ง)

ประตูโทนของเกมนี้เกิดขึ้นในครึ่งหลังโดย อลัน เคนเนดี้ และกลายเป็นประตูที่ทำให้พวกเขาซิวแชมป์ ยุโรป เป็นสมัยที่ 3 ขณะที่ บ็อบ เพสลีย์ ผู้จัดการทีมของทีมในเวลานั้นก็กลายเป็นกุนซือคนแรกที่สามารถคว้าแชมป์รายการนี้ได้ 3 ครั้ง

4. 1983/84 ลิเวอร์พูล 1-1 (PK 4-2) อาเอส โรมา

นับเป็นครั้งแรกของ โรมา ที่ก้าวสู่นัดชิงชนะเลิศถ้วยบิ๊กเอียร์สำเร็จ และยังเป็นการฟาดแข้งที่ สตาดิโอ โอลิมปิโก ในกรุงโรม อิตาลี ราวกับถูกเขียนบนเอาไว้ตั้งแต่ก่อนการแข่งขัน

ฟิล นีล ฟูลแบ็คของ หงส์แดง ทำประตูให้ทีมขึ้นนำไปก่อนที่ โรแบร์โต้ ปรุซโซ จะสังหารประตูตีเสมอให้ หมาป่าแห่งกรุงโรม ก่อนจบครึ่งแรก เกม 90 นาทีและ 120 นาทีจบลงด้วยผลเสมอ 1-1 โดย อลัน เคนเนดี้ เป็นคนยิงปิดท้ายให้ เร้ดแมชีน เอาชนะด้วยการดวลลูกจุดโทษ 4-2

การดวลจุดโทษดังกล่าวยังเป็นต้นกำเนิดของ 'ขาสปาเก็ตตี้' (Spaghetti Leg) อันลือลั่นของโคตรนายทวาร บรูซ กร็อบเบลาร์ อีกด้วย

5. 1984/85 ยูเวนตุส 1-0 ลิเวอร์พูลFOOTBALL-HEYSEL DISASTER-FANSFOOTBALL-HEYSEL DISASTER-FANSนัดชนะเลิศของศึก ยูโรเปี้ยนคัพ 1984/85 ถูกบดบังโดยเหตุสลดโศกนาฏกรรมเฮย์เซล เมื่อแฟนบอลฮูลิแกนของ ลิเวอร์พูล บางส่วนได้บุกข้ามรั้วที่แบ่งโซนกั้นแฟนบอลของทั้ง 2 ฝั่งบนอัฒจันทร์ในสนาม เฮย์เซล สเตเดี้ยม ที่กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยียมตั้งแต่ก่อนเกมการแข่งขัน ทำให้ผู้ชมในสนามอีกฝั่งหนึ่งถูกเบียดเสียดติดกับกำแพงของอัฒจันทร์กระทั่งกำแพงถล่มลงในที่สุด

ผลจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิต 39 รายและบาดเจ็บอีกนับร้อยคน ตามด้วยการพิจารณาของ ยูฟ่า ตัดสิทธิ์การมีส่วนร่วมของทีมจาก อังกฤษ ใน ยุโรป เป็นเวลา 5 ปีในเวลาต่อมา

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายจัดการแข่งขันมีมติให้ดำเนินการแข่งขันตามกำหนด และประตูโทนจากลูกจุดโทษของ มิเชล พลาตินี ในครึ่งหลังก็ทำให้ ยูเวนตุส เข้าป้ายคว้าแชมป์ไปครอง

6. 2004/05 ลิเวอร์พูล 3-3 (PK 3-2) เอซี มิลานSteven GerrardSteven Gerrardให้หลัง 20 ปีพอดิบพอดีนับจากโศกนาฏกรรมเฮย์เซล ลิเวอร์พูล กลับมาสู่เกมชิงดำเจ้ายุโรปอีกครั้งภายใต้การนำทีมของ ราฟา เบนิเตซ โดยมีคีย์แมนอย่าง เจมี คาร์ราเกอร์, ชาบี อลอนโซ และ สตีเวน เจอร์ราร์ด ชนกับ เอซี มิลาน ซึ่งอุดมไปด้วยสตาร์แห่งยุคสมัยล้นทีม ได้แก่ ดิด้า, คาฟู, ยาป สตัม, อเลสซานโดร เนสต้า, เปาโล มัลดินี ไล่เรียงถึง อันเดรย์ เชฟเชนโก้, เอร์นัน เคสโป กระทั่งบนม้านั่งสำรองของพวกเขายังมี มานูเอล รุย คอสต้า และ แซร์จินโญ สแตนด์บาย

แมตช์ดังกล่าวกลายเป็นตำนานเล่าขานไม่สิ้นสุดถึงความเป็นนักสู้ไม่ยอมแพ้ของทัพ หงส์แดง พวกเขาตกเป็นฝ่ายตามหลัง 3-0 ตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งแรก ก่อนที่จะฮึดไล่ตามตีเสมออย่างไม่น่าเชื่อ 3-3 เมื่อเกมผ่านราว 60 นาที จนจบการต่อเวลาพิเศษด้วยสกอร์ดังกล่าว

เกมยืดเยื้อถึงการดวลลูกจุดโทษและกลายเป็น เจอร์ซี ดูเด็ค เซฟลูกยิงของ เชฟเชนโก้ เป็นฮีโร่พาถ้วยบิ๊กเอียร์สู่ถิ่น แอนฟิลด์ อีกครั้ง

7. 2006/07 เอซี มิลาน 2-1 ลิเวอร์พูลAC Milan v Liverpool - UEFA Champions League FinalAC Milan v Liverpool - UEFA Champions League Finalรีแมตช์นัดชิงฯ ปี 2005 โดยเป็นพลพรรค ปีศาจแดงดำ สามารถถอนแค้นสำเร็จเมื่อได้ประตูขึ้นนำจากลูกฟรีคิกของ อันเดรีย ปิร์โล แฉลบ ฟิลิปโป้ อินซากี้ ตุงตาข่าย ตามด้วยประตู 2-0 จาก อินซากี้ คนเดิมในช่วงท้ายเกม

หงส์แดง ของ เบนิเตซ ตีไข่แตก 2-1 ในนาทีที่ 89 แต่แล้วสุดท้ายพวกเขาก็ไล่ มิลาน ไม่ทันและกลายเป็นแชมป์ยุโรปสมัยที่ 7 ของทัพ รอสโซเนรี รวมทั้งเป็นครั้งสุดท้ายของพวกเขาจนถึงเวลานี้

8. 2017/18 เรอัล มาดริด 3-1 ลิเวอร์พูลReal Madrid vs Liverpool: UEFA Champions League finalReal Madrid vs Liverpool: UEFA Champions League finalเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ครั้งแรกของ ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ขณะที่ เรอัล มาดริด ของ ซีเนดีน ซีดาน เข้าชิงฯ เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน

เกมที่ เคียฟ ยูเครน กลายเป็นฝันร้ายของ ลอริส คาริอุส เมื่อเจ้าตัวพลาดท่าให้ คาริม เบนเซมา ดักบอลเซ็ตจากหน้าปากประตูได้ในช่วงต้นครึ่งหลัง แม้ ซาดิโอ มาเน จะตามตีเสมอให้ เร้ดแมชีน ได้ทันควันแต่ คาริอุส และผองเพื่อนก็ไม่สามารถต้านทานความร้อนแรงของ แกเร็ธ เบล รัวยิงอีก 2 ประตูพา โลสบลังโกส ซิวถ้วยบิ๊กเอียร์เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน และเป็นสมัยที่ 13 ในประวัติศาสตร์ของสโมสรและรายการนี้

9. 2018/19 ลิเวอร์พูล 2-0 ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์Jurgen KloppJurgen Kloppให้หลังการพบกับความผิดหวัง อกหักในเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อฤดูกาล 2017/18 เยอร์เก้น คล็อปป์ และลูกทีมย้อนรอยกรุยทางสู่เกมไฟนอลอีกครั้ง โดยหนนี้เป็นการดวลกับคู่แข่งจาก พรีเมียร์ลีก อย่าง ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ภายใต้การคุมทีมของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน

ทัพ เร้ดแมชีน พังประตูเบิกร่องอย่างรวดเร็วจากลูกจุดโทษของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ตั้งแต่นาทีที่ 2 ของเกมที่ ว่านต๋า เมโตรโปลิตาโน ก่อนที่ ดิว็อค โอริกี จะซัดย้ำชัยท้ายเกม ส่ง หงส์แดง คว้าถ้วยยุโรปเป็นสมัยที่ 6 ในประวัติศาสตร์ของสโมสร และเป็นโทรฟีแรกของ คล็อปป์ กับทีม

10. 2021/22 ลิเวอร์พูล พบ เรอัล มาดริดJurgen Klopp, Carlo AncelottiJurgen Klopp, Carlo Ancelottiศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกนัดชิงชนะเลิศสำหรับฤดูกาล 2021/22 เป็นการพบกันระหว่างสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลและเรอัล มาดริดโดยมีกำหนดการแข่งขันวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม (เช้าตรู่ของวันอาทิตย์ที่ 29) สนาม สต๊าด เดอ ฟรองซ์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เวลา 02:00 น. ตามเวลาในประเทศไทย

นับเป็นการรีแมตช์เกมไฟนอลของทั้ง 2 ทีมหลังจากที่เคยดวลกันมาในนัดชิงชนะเลิศถ้วยบิ๊กเอียร์ซีซัน 2017/18

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook