เต็งหนึ่งจะไปถึงฝัน? (คอลัมน์สนุกมือ / ธีรพัฒน์ อัครเศรณี)

​เอ่ยชื่อขุนพล “เลอเบลอส์” แชมป์ฟุตบอลโลก 2018 ใครๆก็ต้องครั่นคร้าม ถึงเวลานี้พวกเขายังคงรักษาทัพนักเตะอันแข็งแกร่งจนได้รับยกย่องให้เป็นเต็งหนึ่งในฟุตบอลยูโร 2020 ตำแหน่งนี้ทั้งได้รับเกียรติแต่มองอีกมุมต้องแบกรับความหวังและความกดดันของแฟนๆทั่วโลก

ทัพนักเตะที่ดีที่สุด
​หากมองในมุมแรก คือรายชื่อนักเตะทั้ง 26 คนของฝรั่งเศส บอกได้เลยว่าจำนวน 24 ทีมในรอบสุดท้ายโค้ชทุกคนต้องอิจฉา ดิดิเย่ร์ เดส์ชองป์ส เพราะเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์แล้ว ไม่มีใครแข็งแกร่งไปกว่าพวกเขาอย่างแน่นอน ไล่เรียงไปตั้งแต่กองหลังอย่าง ราฟาเอล วาราน, เพรสเนล คิมเพ็มเบ้, เกลมองต์ ลองเล่ต์ และ เคิร์ต ซูม่า มิดฟิลด์ก็มีระดับ ปอล ป๊อกบา, อาเดรียง ราบิโอต์, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, โกลองแต็ง โตลิสโซ่, โตมาร์ส เลอ มาร์, มุสซ่า ซิสโซโก้


​เรียกได้ว่าต่อให้มีใครเจ็บยังไง ทีมยังมีตัวเลือกในระดับเดียวกันที่จะขึ้นมาทดแทนได้อย่างไม่เสียสมดุล ซึ่งวิเคราะห์ไปแล้วอาจจะพรั่งพร้อมกว่าเมื่อปี 2018 เสียด้วยซ้ำ

วันเวลาที่ผันผ่าน
​อุปสรรคของทีม “ตราไก่” คือกาลเวลา นับจากวันที่ฝรั่งเศสชูถ้วย ฟีฟ่า เวิลด์คัพ เป็นเวลาเกือบ 3 ปีแล้ว ถือเป็นช่วงยาวนาน ว่ากันว่ายากยิ่งนักที่ทีมใดทีมหนึ่งจะรักษาความยิ่งยงเอาไว้ได้ แน่นอน ดิดิเย่ร์ เดส์ชองป์ส รู้ความจริงข้อนี้ดี เขาจึงพยายามเปิดโอกาสให้มีนักบอลที่ยังหิวกระหายความสำเร็จสอดแทรกขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่บ้าง อย่าง ลูก้า ดีญ, เพรสเนล คิมเพ็มเบ้ และ อาเดรียง ราบิโอต์

​แต่ในทางกลับกันหัวหน้าโค้ชผู้นี้ยังอดเสียดายนักเตะเก่าแต่มีคุณภาพอย่าง คาริม เบนเซม่า, โอลิวิเย่ต์ ชิรูด์ จึงยัดชื่อลงไปในทีมด้วย ซึ่งแฟน “ตราไก่” ได้แต่หวังว่าส่วนผสมของ “เดเด้” จะลงตัว และสามารถจุดประกายความหิวโหยความสำเร็จให้ทีมนี้ได้อีกครั้ง


ปรับระบบและแทคติค
​ตอนสร้างทีมเป็นแชมป์โลกนั้น กุนซือผู้นี้ใช้ระบบ 4-2-3-1 โดยมีหน้าเป้าคือ ชิรูด์ ตามด้วย 3 ประสานเกมรุกอย่าง เอ็มบัปเป้, กริซมันน์ และดัน ป๊อกบา ขึ้นไปอยู่ทางซ้าย โดยมีมิดฟิลด์เกมรับอย่าง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ จับคู่ แบลส มาตุยดี้ ทุกอย่างลงตัวอย่างยอดเยี่ยม ด้วยฟอร์มที่เจิดจรัสของ เอ็มบัปเป้และกริซมันน์ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูง่ายไปหมด ชิรูด์เองถึงแม้จะปืนฝืด แต่สามารถพักบอลและเป็นตัวป่วนกองหลังคู่ต่อสู้ได้ดีเหลือเกิน

​มาเที่ยวนี้ เดส์ชองป์ ปรับมาใช้แผน 4-3-1-2 บ้าง คู่หน้าคือ เบนเซม่า กับ เอ็มบัปเป้ โดยมี กริซมันน์ ทำเกมอยู่ข้างหลัง ส่วน 3 กองกลางคือ ป๊อกบา, ก็องเต้ และ ราบิโอต์ ซึ่งดูจะมีสมดุลที่ดีกว่า แต่หลายคนก็ยังอดเสียดายในการวาง ก็องเต้ เป็นตัวรับลึกเพียงคนเดียว ทำให้โอกาสวิ่งพล่านตัดเกมของเขาลดน้อยลงหรือไม่ เพราะต้องรักษาพื้นที่หน้าคู่เซ็นเตอร์นั่นเอง


คีย์แมน
​แชมป์โลกเปิดตัวในศึกยูโรหนนี้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการเฉือนเอาชนะ เยอรมนี ไปได้ 1-0 เก็บ 3 คะแนนแรกไปได้ ทว่าแมทช์ที่สองกลายเป็นหนังคนม้วน เมื่อฝรั่งเศสเจอกับฮังการีพวกเขากลับโชว์ฟอร์มไม่ออก ทำได้เพียงแค่เสมอ 1-1

​สองนัดผ่านไปดาราอย่าง คาริม เบนเซม่า และ คิลิยัน เอ็มบัปเป้ ยังไม่มีรายชื่อในสกอร์ชีต นั่นคือสิ่งที่น่าห่วง กรีซมันน์ ยิงได้แต่ยังไม่ฉายแสงมากนัก ส่วน ปอล ป๊อกบา ฟอร์มดีกว่าเล่นให้ต้นสังกัด แต่ความพีคก็ยังมาไม่เต็ม

​เกมนัดสุดท้ายในรอบแรกแรก นั่นคือ “บิ๊กแมทช์” กับโปรตุเกสน่าจะเป็นจุดตัดสินใจสำคัญว่า บรรดาคีย์แมนของฝรั่งเศสพวกนี้จะโชว์ฝีเท้าออกมาได้หรือไม่ เพราะถ้าใช้เวลานานกว่านั้น “ความกดดัน” จะกลายเป็นอริกับทัพ “เลอเบลอส์” อย่างไม่ต้องสงสัย  


โอกาสไปถึงฝัน
​แม้จะได้รับยกย่องให้เป็นเต็งหนึ่งในการแข่งขันครั้งนี้ แต่ในตำนานที่ผ่านมามีเพียง 2 หนเท่านั้น ที่ทีมแชมป์โลกสามารถครองบัลลังก์ยูโรฯ ต่อได้ในอีก 2 ปีถัดมา

ทีมแรกคือฝรั่งเศส แชมป์โลกปี 1998 และได้แชมป์ยูโรในปี 2002 ส่วนอีกหนึ่งชาติคือ สเปน ชุดแชมป์ฟีฟ่า เวิลด์คัพ 2010 ต่อมาครองถ้วย อองรี เดอ โลเนย์ ปี 2012

​ปัจจัยที่ทีม “ตราไก่” จะสร้างประวัติศาสตร์ได้เช่นนั้นอีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผลงานนัดสุดท้ายในรอบแรกว่าพวกเขาสามารถเป็นแชมป์กลุ่มเอฟหรือไม่ เพราะถ้าทำได้มีโอกาสไปเจอกับทีมอ่อนกว่าอย่าง สวิตเซอร์แลนด์ แต่ถ้าพลาดพลั้งเข้าที่ 2 ต้องไปเจอ “สิงโตคำราม” อังกฤษ ซึ่งยืนรออยู่ทันที


​ที่หนักกว่านั้นคือถ้าเข้าในฐานะอันดับ 3 ในกลุ่ม ต้องไปพบ เบลเยียม หรือ เนเธอร์แลนด์ เรียกได้ว่าเส้นทางของฝรั่งเศสนั้นไม่ค่อยเป็นใจเอาเสียเลย นอกจากต้องอยู่ในกรุ๊ปออฟเดธ รอบแรกแล้ว หนทางต่อไปยังสาหัสยิ่งนัก ถ้าไม่สามารถเอาชนะโปรตุเกส ในนัดสุดท้ายรอบแรกได้

​ทว่าหากทีมของเดส์ชองป์ส ถือคติ “เก่งจริงไม่ต้องกลัวใคร” ก็ต้องฝ่าฝันอุปสรรคเหล่านี้ไปให้ได้ พิสูจน์ให้แฟนบอลทั่วโลกเห็นว่า พวกเขาเหมาะสมแล้วที่จะเป็นเต็งหนึ่งในทัวร์นาเมนต์นี้