แซนด์วิชที่สนามบินชิ้นนั้น...อีกด้านของ "เปเป้" ตัวร้ายในสายตาแฟนฟุตบอล

แซนด์วิชที่สนามบินชิ้นนั้น...อีกด้านของ "เปเป้" ตัวร้ายในสายตาแฟนฟุตบอล

แซนด์วิชที่สนามบินชิ้นนั้น...อีกด้านของ "เปเป้" ตัวร้ายในสายตาแฟนฟุตบอล
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จงบอกชื่อนักเตะที่โหดที่สุดในโลก ? ลองเอ่ยชื่อมาสัก 5 คน .... เราเชื่อเหลือเกินว่า 1 ในนั้นต้องมีชื่อของ เปเป้ นักเตะดีกรีทีมชาติโปรตุเกส ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเล่นโหด เล่นแรง และ เล่นหนัก

นักเตะประเภทนี้ใช้ร่างกายเยอะ และถูกมองว่า "มีดีแค่เล่นแรง" วันใดที่เข้าสู่บั้นปลายอาชีพ พวกเขาเหล่านี้มักไม่สามารถคงจุดเด่นของตัวเองเอาไว้ ค่อย ๆ หายไปตามกาลเวลา และเจอตอนจบของอาชีพค้าแข้งแบบที่ไม่โดดเด่นในสายตาใคร 

แต่ เปเป้ นั้นตรงกันข้าม นี่คือเรื่องราวของเบื้องหลังตัวร้ายอันดับ 1 ที่ทุกวันนี้เขาอายุใกล้ 40 ปีแล้ว แต่ความคงเส้นคงวา และเป้าหมายของเขายังคงแรงกล้าไม่ต่างจากวัยหนุ่ม

 

อะไรที่ทำให้ฮาร์ดแมนผู้ประสบความสำเร็จมาตลอดชีวิตค้าแข้ง ยังคงต้องไปต่อกับชีวิตใหม่ในที่เดิมอย่าง เอฟซี ปอร์โต ... ติดตามได้ที่นี่

สัญชาติบราซิล ทีมชาติโปรตุเกส 

หากจะเล่าเรื่องราวของใครสักคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เราควรต้องเริ่มกันที่ "จุดเริ่มต้นของพวกเขา" ในวันที่พวกเขาไม่มีชื่อเสียง ไม่มีเงินทอง พวกเขาเริ่มมันอย่างไร ?

เปเป้ เกิดและโตที่ประเทศบราซิล ดินแดนแห่งฟุตบอล แต่ในประวัติของเขาแทบไม่มีเรื่องราวชีวิตค้าแข้งในบราซิลเลย เขาไม่เคยลงเล่นเกมระดับอาชีพในบ้านเกิดเลยแม้แต่นัดเดียว เพราะหลังจากเข้าระบบอคาเดมีของ โครินเธียนส์ และเล่นมาจนถึงรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี จากนั้นเขาก็ข้ามขั้นด้วยการไปเล่นในยุโรป โดยปราศจากความกลัว ... นี่คือคุณสมบัติที่นักเตะบราซิเลียนหลายคนเป็น กล้าหาญที่จะเจอกับโลกกว้าง เพื่อแสวงโชคเพื่ออนาคตที่สดใสกว่า ซึ่งแน่นอนว่า "ก้าวแรก" ไม่เคยง่าย

เปเป้ ในวัย 18 ปี ได้รับการแจ้งว่าจะต้องบินจากบราซิลเพื่อเซ็นสัญญากับสโมสร มาริติโม ในประเทศโปรตุเกส เขาบินข้ามประเทศมาด้วยตัวคนเดียว ด้วยเงินที่มีในกระเป๋าแบบจำกัด เมื่อเท้าแตะพื้นสนามบิน ก็ค้นพบว่าชีวิตใหม่กับโลกที่ไม่เคยเจอได้เริ่มขึ้นแล้ว

"ตอนที่ผมมาถึงโปรตุเกสครั้งแรก ผมมีเงินติดตัวมาแค่ 5 ยูโรเท่านั้น (ราว 200 บาท) เพราะเงินเก็บของผมทั้งหมดผมใช้ไปกับการซื้อโทรศัพท์มือถือหมดแล้ว มันคือสิ่งจำเป็น เพราะผมต้องเอาไว้โทรหาแม่ เมื่อลงถึงโปรตุเกส ผมต้องโทรบอกท่าน เพื่อให้แม่จะได้ไม่ต้องกังวล" 

"ผมมาถึงสนามบินตอน 5 ทุ่มและต้องต่อเครื่องไปที่ มาเดรา ในตอน 6 โมงเช้า อย่าลืมว่าผมมีเงินแค่ 5 ยูโร ผมไปที่ร้าน Pans & Company ได้แต่มองเข้าไปในร้านเพราะผมหิวมาก ผมเอ่ยปากถามพนักงานคนหนึ่งว่า 'คุณมีอะไรให้ผมกินไหม' เขาตอบกลับว่า 'ในร้านของเรามีเพียบเลย' ซึ่งคำตอบของผมหลังจากนั้นคือ 'แต่ผมไม่มีเงินเลยนะ'" เปเป้ เริ่มเล่า

"พนักงานคนนั้นหันหลังให้ผม ... มันทำให้ผมหมดหวัง และหลังจากนั้นเขามาพร้อมกับ แซนด์วิช 1 อัน ให้ผมแบบฟรี ๆ ความช่วยเหลือนั้นเหลือเชื่อมาก ผมบอกตัวเองเลยจากวันนั้น ใจผมของมอบให้โปรตุเกสแล้ว" 

เปเป้ ใช้เวลา 3 ปีที่ มาริติโม และฟอร์มการเล่นของเขาในเวลานั้นก็ยกระดับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว จนถูก เอฟซี ปอร์โต้ สโมสรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศดึงตัวไปร่วมทีมเมื่อปี 2004 และเริ่มเส้นทางการเป็นยอดกองหลังที่ดีที่สุดในลีกด้วยการนำ ปอร์โต้ คว้าแชมป์ลีก 2 ฤดูกาลซ้อน ซึ่งนั่นมากพอแล้วที่จะทำให้เขาได้ย้ายสู่ เรอัล มาดริด ในปี 2007 ... ที่ที่หลายคนในทีม ปอร์โต้ ณ เวลานั้นบอกเขาว่า "อย่าไป"

ผู้ทำลายสุสาน 

เรอัล มาดริด ในปี 2007 ไม่ได้ประสบความสำเร็จเหมือนหลังยุค 5-6 ปีหลังสุด พวกเขาเป็นรอง บาร์เซโลนา ในยุคที่นำโดยนักเตะอย่าง ซามูเอล เอโต้, โรนัลดินโญ่ และ ลิโอเนล เมสซี่ ในช่วงวัยรุ่น  

มาดริด เป็นทีมที่เปลี่ยนโค้ชแทบทุกฤดูกาล การซื้อนักเตะมาร่วมทีมก็เยอะแทบทุกตลาดซื้อขาย แต่มีน้อยคนนักที่จะอยู่ในระดับที่ "รอด" โดยเฉพาะในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟนั้นยิ่งชวนลำบากใจไปกันใหญ่ หลังจากหมดยุคของ เฟร์นานโด เอียร์โร พวกเขาไม่มีกองหลังในระดับที่เรียกว่า "เวิลด์คลาส" ได้เลย แม้แต่ เซร์คิโอ รามอส ณ เวลานั้นก็ยังหาตำแหน่งหลักของตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นั่นทำให้สื่อเรียกว่าที่นี่คือ "สุสานของเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ" 

ยิ่งยากก็ยิ่งท้าทาย มาโปรตุเกสด้วยเงิน 300 บาทแบบตัวคนเดียวยังเคยมาแล้ว การไปอยู่ทีมอย่าง มาดริด อาจจะเป็นความเสี่ยง แต่ชีวิตของคนที่จะประสบความสำเร็จก็แบบนี้ เมื่อมีโอกาสต้องคว้าไว้

 

"ผมอยากไป เรอัล มาดริด จริง ๆ นะ หลายคนบอกผมว่าอย่าไปเลย แกจะบ้าหรือไง ? เพราะที่นั่นคือสุสานของเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ พวกเขาไม่เคยถูกเติมเต็มเลยนับตั้งแต่ เฟร์นานโด เอียร์โร ย้ายทีม (ไป อัล รายยาน เมื่อปี 2003) ผมตรงไปตรงมากับความรู้สึกเสมอ ผมถามบอร์ดบริหารไปตรง ๆ ว่า พวกเขาต้องการผมใช่มั้ย ? พวกเขาจ่ายเท่าที่ปอร์โต้ต้องการใช่ไหม ? ... ถ้าใช่ ผมจบเรื่องนี้" 

30 ล้านยูโร คือราคาของ เปเป้ ในเวลานั้น ถือว่าแพงเอาเรื่อง และนั่นหมายความว่าเขาต้องแบกความกดดันกับสโมสรที่ขึ้นชื่อว่า "เกิดมาเพื่อเป็นแชมป์" และ "ถูกคาดหวังให้ชนะทุกเกมที่ลงเล่น" ถ้าเขาจะผ่านตรงนี้ไปได้ เขาต้องทำงานหนักมากกว่าที่เคย 

"ช่วงปรีซีซั่นกับ มาดริด ผมแทบไม่คุยกับใครเลย ผมตั้งใจซ้อม ฝึกฝนอย่างหนักไปพร้อมกับการเฝ้าดูการเล่นของคนอื่น ๆ ผมพยายามเป็นคนช่างสังเกต และพบว่าระดับการเล่นที่สูงขึ้นนี้ มีทางเดียวที่จะรอด คือผมต้องยกระดับตัวเองขึ้นมาให้ได้" 

จุดเด่นของตัวเองคืออะไร ? เปเป้ เริ่มถามตัวเอง และได้คำตอบว่า "ความหนักหน่วง" ... เขาต้องหยิบมันขึ้นมาใช้อย่างเต็มที่ เพราะที่ มาดริด นักเตะจะเล่นเกมบุกกันแทบทั้งทีม และมันทำให้กองหลังอย่างเขาต้องเจอกับความกดดันจากทั่วทุกทิศทาง เมื่อคู่แข่งบุกเข้ามา จะเป็นความโกลาหลที่ต้องตั้งสติรับมือกับมันให้ได้ จังหวะ 50-50 ต้องเอาให้ขาด เพราะถ้าเขาหยุดคู่แข่งไม่ได้ นั่นเท่ากับว่าเหลือแค่ประตูเท่านั้นที่เปิดรอทีมตรงข้าม

หากจะถามว่าทำไม เปเป้ จึงได้โหดนัก นั่นก็เป็นเพราะเขาต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด และการปรับตัวคือธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ...

"ความปั่นป่วนคือสิ่งที่ผมเจอเมื่อต้องลงสนามให้กับ มาดริด ตอนนั้นผมจับคู่กับ ฟาบิโอ คันนาวาโร ผมจำได้ว่าผมโดนป่วนหนักมาก ผมเรียกเขา 'ฟาบิโอโว้ย มาคัฟเวอร์ด้วย' แต่เขาตอบกลับว่ายังไงรู้ไหม ? 'เราไม่เล่นกันแบบนี้โว้ย ฝั่งใครฝั่งมัน จัดการมันด้วยตัวเองซะ' ตอนนั้นผมถึงบางอ้อเลย ผมแบบว่า 'เอาสิ ไอ้เวร งั้นเอ็งมาเจอกันหน่อย'" เปเป้ กล่าวถึงที่มาและสไตล์สุดโหดของเขา 

"ที่นี่เต็มไปด้วยความกดดัน และมันจะโหดร้ายกับคุณแน่นอนถ้าคุณไม่โหดร้ายกับมันบ้าง ... ที่มาดริด เราต้องชนะทุกอย่างที่แข่งขัน ถ้าชนะคุณคือสุดยอด แต่ถ้าแพ้คุณก็ไสหัวไปได้เลย เพราะอีกไม่นานจะมีคนอื่นเข้ามาแทนที่คุณ มันทำให้ผมต้องแสดงตัวตนของตัวเองออกมาให้มากที่สุด เพราะมีคนรอเสียบตลอดเวลา หากยังเป็นคนที่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ" 

แม้เขาจะพูดอย่างนั้น แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาได้ทำดี หลายครั้งที่ เปเป้ เริ่มถูกมองว่าเป็นนักเตะที่หนักและโฉ่งฉ่างเกินไป จนกระทั่งทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไป เรอัล มาดริด เล่นเกมรับอย่างมีชั้นเชิงมากขึ้นในยุคของ โชเซ่ มูรินโญ่ และจากนั้นคู่หูของเขาก็หากันจนเจอจนได้ ... 

เซร์คิโอ รามอส ถูกขยับเข้ามาเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ และหลังจากนั้นพวกเขาก็เรียนรู้ซึ่งกันและกันจนสามารถยกระดับทีมขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ในยุค มูรินโญ่ แบ็คโฟร์ของ มาดริด ประกอบด้วย เปเป้, รามอส โดยมี อัลบาโร อัลเบรัว และ มาร์เชโล่ เล่นด้านข้าง นั่นคือส่วนผสมที่ลงตัว มาดริด เก็บได้ 100 แต้มในฤดูกาล 2011-12 และเป็นแชมป์ลีกอย่างยิ่งใหญ่ 

ขณะที่ รามอส กับ เปเป้ โดยเรียกด้วยฉายาว่า "แบดบอย คอมปานี" ทั้งคู่ช่วยกันทำลายภาพลักษณ์ของทีมที่เป็นสุสานเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ และกลายเป็นคู่เซ็นเตอร์ที่ยากจะหาใครสักคนผ่านไปได้โดยง่าย ...  

มาดริด ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนมาถึงยุคทองตั้งแต่ปี 2016 เมื่อพวกเขาได้ ซีเนดีน ซีดาน เข้ามาคุมทีมต่อจาก ราฟาเอล เบนิเตซ นักเตะในทีมอาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างในตำแหน่งอื่น ๆ แต่คู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟอย่าง เปเป้ และ รามอส ไม่มีใครแตะต้องได้ ... พวกเขาจับคู่กันเป็นเวลาเกือบ 10 ปี ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของทั้งคู่คือการเป็นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ด้วยกัน 3 สมัย และเกือบจะเป็น 4 ... ทว่า เปเป้ เกิดความคิดที่ต่างไป 

หลังจากคว้าแชมป์ UCL ในปี 2017 เปเป้ ทำเหมือนกับนักเตะที่ประสบความสำเร็จแทบทุกอย่างหลาย ๆ คนนั่นคือการ "ลงจากที่สูง" เขาเลือกจะลาจาก เรอัล มาดริด เพื่อไปยัง เบซิคตัส ทีมในลีกตุรกี 

มีนักเตะมากมายที่ทำคล้าย ๆ กับเขา ปีเตอร์ ชไมเคิล ย้ายออกจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากคว้า 3 แชมป์ในปี 1999, จานลุยจิ บุฟฟ่อน ลาจาก ยูเวนตุส ในวันที่กวาดแชมป์ลีก 7 สมัยติดต่อกัน หรือแม้กระทั่ง ฟรองค์ ริเบรี่ ที่ลาจาก บาเยิร์น มิวนิค ในวันที่เขาคว้าทุกแชมป์กับทีมเสือใต้

สิ่งที่เหมือนกันของนักเตะที่กล่าวมาคือ หลังจากที่ออกจากทีมใหญ่ในช่วงบั้นปลาย พวกเขามีมาตรฐานการเล่นที่ตกลงไป ... อาจไม่ผิดที่เป็นเช่นนั้น เพราะแต่ละคนพิสูจน์ตัวเองเรียบร้อยแล้ว มันเป็นธรรมดาที่ความทะเยอทะยานและความแข็งแกร่งของร่างกายอาจจะลดลงไปบ้าง ... เปเป้ เองอาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนักที่ตุรกี แต่เมื่อเขาถูกปล่อยจากทีมระหว่างฤดูกาล 2018-19 ด้วยเหตุผลทางการเงินของสโมสร เขาก็กลับมาเล่นให้กับ ปอร์โต้ แบบไม่มีค่าตัว

การทำเช่นนั้นยิ่งทำให้ก็ถูกมองว่าหมดสภาพยิ่งกว่าเดิม แต่ เปเป้ ไม่คิดเช่นนั้น ... เขามั่นใจว่าตัวเองยังเป็น "ตัวร้ายอันดับ 1" และพร้อมแสดงออกให้ผู้คนเห็นว่าสิ่งที่คิดนั้นมันผิดถนัด การมา ปอร์โต้ ครั้งในวัยย่าง 37 ปี ไม่ใช่การมาพักร้อน แต่มันคือการมาเพื่อทวงบัลลังก์เบอร์ 1 ของโปรตุเกสกลับมาอีกครั้ง

ทะเยอทะยาน วินัย และหัวใจนักสู้ 

แซนด์วิชชิ้นนั้นที่สนามบิน เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ เปเป้ กลับมาที่นี่ เขาผูกพันกับฟุตบอลและคนโปรตุเกส การผ่านสังเวียนแข้งกับ มาดริด มา 10 ปี บ่งบอกถึงคุณภาพของเขาได้ดี และเขากลับมาที่นี่เพราะต้องการเป็น "ผู้ช่วยเหลือ" เหมือนกับที่พนักงานร้านแซนด์วิชมอบให้เขา ... เขาเพื่อทำให้ ปอร์โต้ กลับมายิ่งใหญ่ และช่วยเร่งการเจริญเติบโตของนักเตะในทีมยุคนี้ที่โดนทีมอย่าง เบนฟิก้า คู่ปรับสำคัญคว้าแชมป์ข้ามหน้าข้ามตาอยู่เสมอ

อีกประการหนึ่ง เขาต้องการแก้ไขบางเรื่องที่หลายคนมอง ... ทุกคนคิดว่าเขาหมดแล้ว ไม่น่าจะไปต่อหรือเล่นในระดับสูงได้อีกต่อไป เรื่องก็คือการย้ายออกจาก มาดริด นั้นเป็นไปอย่างจำใจครึ่งหนึ่ง เพราะทีมต้องการเปลี่ยนเจเนอเรชั่นใหม่ของกองหลังในทีม เขาแก่เกินไป ทำให้เขาไม่ได้รับการเจรจาสัญญาฉบับใหม่ที่จริงจัง พ่อของ เปเป้ เล่าว่า เขาเป็นนักเตะซีเนียร์ที่ทีมติดต่อเป็นคนสุดท้ายในการขยายสัญญา และสัญญาที่มาดริดเสนอคือ 1 ปี บวกกับค่าเหนื่อยที่เท่าเดิม ... เขารู้ทันทีว่าความสำคัญกำลังจะหมดลง และเขาเป็นคนประเภทที่ต้องการเป็นคนสำคัญ ไม่คิดว่าตัวเองเป็นหมาแก่ที่มีดีแต่ลูกบ้าเหมือนที่ใครเข้าใจ

เปเป้ เข้ามาเป็นพี่ใหญ่ในยุคที่ ปอร์โต้ สร้างทีมใหม่ นักเตะหลายคนนับถือเขาในแง่ความเป็นผู้นำ เขาใช้เวลาในการซ้อมหลาย ๆ ครั้งอธิบายให้รุ่นน้องในทีมเข้าใจในการเล่นที่ถูกต้อง โดยเฉพาะในตำแหน่งกองหลังนั้น เปเป้ ทำแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการสอนแบบช็อตต่อช็อต การจัดระเบียบร่างกายในการโหม่ง หรือแม้กระทั่งสิ่งที่เขาช่ำชองที่สุดนั่นคือ "การรับมือกับความกดดัน" อาทิ สถานการณ์ดวลแบบ 1-1 หรือโดนคู่แข่งรุมกินโต๊ะ ... เรียกได้ว่าตั้งแต่ เปเป้ ย้ายมา นักเตะ ปอร์โต้ ก็เอาจริงเอาจังกันตั้งแต่อยู่ในสนามซ้อม 

"กับนักเตะอย่าง เปเป้ คุณเรียนรู้จากเขาได้ทั้งวัน" โทนี่ มาร์ติเนซ กองหน้าดาวรุ่งของทีมที่ต้องดวลกับ เปเป้ ในสนามซ้อมอยู่เป็นประจำกล่าว

"คาแรคเตอร์ความเป็นผู้นำของเขาชัดเจนมาก พยายามช่วยเหลือผู้เล่นทุกคน แสดงให้ทุกคนเห็นว่าในสนามต้องทำอะไรบ้าง นอกสนามต้องทำตัวแบบไหน เขาไม่ได้เป็นแค่นักเตะที่ดี แต่ยังเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่โดดเด่นและเชื่อใจได้เสมอ" 

เมื่อทีมเริ่มเป็นทีม ปอร์โต้ ก็กลับมาเป็นเบอร์ 1 อีกครั้ง  ผลงานส่วนตัวของเขาโดดเด่นไม่ต่างจากตอนที่เล่นกับ มาดริด และผลงานในภาพรวมก็ยอดเยี่ยม ครึ่งฤดูกาลแรกเขาเข้ามาเพื่อผสานทีม และอีก 1 ฤดูกาลต่อมา เขาพาทีมทวงแชมป์ลีกจาก เบนฟิก้า ได้สำเร็จในฤดูกาล 2019-20 

มันชัดเจนว่าเขากลับมาเป็นคนสำคัญอีกครั้ง ในวัย 38 ปี หลังจากพาทีมคว้าแชมป์ ปอร์โต้ รีบยื่นสัญญาฉบับใหม่ให้เขาทันที และมันเป็นสัญญาที่มีระยะยเวลา 2 ปี ซึ่งปกติแล้วสำหรับนักเตะวัยอย่างเขานั้น ยากมากที่จะได้รับสัญญาแบบนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นแบบปีต่อปีเท่านั้น 

ฮอร์เก ปินโต ดา คอสตา ประธานสโมสรนั้นชื่นชอบนักเตะอย่าง เปเป้ แบบสุด ๆ เขาอาจจะเป็นตัวร้ายในสายตาใคร ๆ แต่ที่ ปอร์โต้ เขาคือพระเอกในเกมรับ เรื่องอายุไม่ใช่ปัญหา เพราะเขายังรักษาความฟิตได้ดีเสมอ และความมุ่งมั่นรวมถึงความทะเยอทะยานยังไม่มีทีท่าจะลดลงง่าย ๆ นั่นคือเหตุผลที่สัญญาของเขามีอายุ 2 ปี ... และเขาจะอยู่กับทีมไปจนอายุ 40 ปีเลยทีเดียว

"เปเป้ ได้รับข้อเสนอที่อาจจะได้เงินมากกว่าการต่อสัญญากับปอร์โต้ถึง 3 เท่า แต่เขาก็อยู่ที่นี่ หลายคนบอกว่าเขาน่าจะเล่นได้อีกสักปีที่ ปอร์โต้ แต่เขาบอกว่าขอ 2 ปีไปเลย ผมไม่มีความสงสัยกับสิ่งนั้น เพราะเกมของเขาแสดงทุกอย่างออกมาอย่างไร้ข้อโต้แย้ง" ดา คอสตา กล่าว

"ในเกมกับ ปากอส (เดือน มีนาคม 2021) เปเป้ มีระยะการวิ่งรวมว่า 10 กิโลเมตร น่าทึ่งไหมละสำหรับเซ็นเตอร์ฮาล์ฟวัยขนาดนี้ เขามันเป็นไอ้โคตรคลั่ง ยังคงหลงใหลการได้ลงสนามในเกมระดับสูงไม่เปลี่ยนแปลง อย่าว่าแต่อายุ 40 ปีเลย ผมว่าคนอย่างเขาเล่นได้จนอายุ 42 ปีเลยด้วยซ้ำ" 

ฤดูกาล 2020-21 คือปีที่ ปอร์โต้ และ เปเป้ ก้าวไปอีกขั้น พวกเขาเข้าแข่งขัน ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ผ่านรอบแบ่งกลุ่ม ทะลุถึงรอบน็อกเอาต์ ก่อนจะสอย ยูเวนตุส แชมป์ เซเรีย อา อิตาลี 9 สมัยซ้อน ตกรอบอย่างน่าชื่นชม โดยเฉพาะในเกมที่ตูริน สื่อทุกแขนงพร้อมใจกันซูฮกว่าเขาคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ปอร์โต้ ที่เหลือนักเตะแค่ 10 คน ฝ่าด่านอรหันต์และผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี 

"เกิดเป็นกองหลังมันต้องดุดันเข้าไว้ แม้มันจะน่าเกลียดไปบ้าง แต่ก็ต้องทำคู่แข่งของเราขี้หดตดหาย" เปเป้ ว่าก่อนเกมเจอกับ ยูเวนตุส และเขาก็ทำแบบนั้นให้เห็นจริง ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของการต่อเวลาพิเศษ เขากระโดดโอเวอร์เฮดคิกเตะบอลทิ้งตัดหน้าก่อนที่ มัทไธจ์ เด ลิกต์ ของ ยูเวนตุส จะได้โหม่งประตูสำคัญ  

เกมนั้น เปเป้ คุมแนวรับของ ปอร์โต้ ที่ตัวน้อยกว่าได้อย่างยอดเยี่ยม ริโอ เฟอร์ดินานด์ ที่เป็นนักวิเคราะห์ยังชมว่าการเล่นของ เปเป้ ในเกมนี้ คือตัวอย่างที่กองหลังดาวรุ่งของฟุตบอลยุคนี้ต้องดูเป็นแบบอย่างให้ดี ๆ เพราะนักเตะสไตล์แบบนี้กำลังเหลือน้อยลงทุกที 

"ถ้าผมเป็นโค้ชฟุตบอลของทีมสักทีม ผมจะเรียกเซ็นเตอร์ฮาล์ฟวัยรุ่นของสโมสรมานั่งดู เปเป้ เล่นในเกมนี้ ... คุณจะได้เห็นเลยว่าคนที่ใส่หัวใจลงในการแข่งขันเป็นอย่างไร ความทุ่มเทของเขาเหลือเชื่อ ยืนตำแหน่งสมบูรณ์แบบ สื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมตลอด และจัดระเบียบร่างกายเมื่อต้องเล่นในกรอบเขตโทษได้อย่างสุดยอด" 

"ยุคนี้เรามีนักเตะกองหลังดาวรุ่งเก่ง ๆ ที่เล่นบอลกับเท้าได้ดี แต่การยืนตำแหน่งและป้องกันในเขตโทษล่ะ ? สิ่งนี้สำคัญที่สุดแล้วสำหรับกองหลัง เปเป้ กำลังทำสิ่งนั้นให้ทุกคนได้ดู" ริโอ เริ่มกล่าวชม ก่อนที่พิธีกรคู่กับเขาอย่าง แกรี่ ลินิเกอร์ จะเสริมได้ตรงประเด็นว่า

"ต้องยอมรับจริง ๆ นักเตะสไตล์ เปเป้ นั้นทำให้คุณเกลียดหากคุณต้องแข่งกับเขา แต่เชื่อเถอะถ้าคุณเป็นฝั่งเดียวกันและมีคนอย่างเขายืนขนาบข้าง คุณจะต้องชอบใจอย่างแน่นอน" ลินิเกอร์ กล่าวหลังจบเกมที่ เปเป้ เป็นพระเอก ชนะการดวลกลางอากาศ 100% เคลียร์บอลอันตรายได้ 18 ครั้ง และบล็อคลูกยิงอีก 2 ครั้ง 

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นล่าสุดกับ เปเป้ ... เขายังคงแสดงความเป็นกองหลังจอมโหดที่ใครก็ผ่านยากต่อไป และเหนือสิ่งอื่นใด เขายังเป็นผู้นำที่ทำให้เพื่อนร่วมทีมรู้ว่า หากเขายังยืนอยู่หน้าประตู "พวกเราสามารถอุ่นใจได้เสมอ" 

ไม่มีใครรู้ว่า ปอร์โต้ จะไปได้ไกลแค่ไหนในศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาลนี้ แต่ผลงานของพวกเขาที่แสดงออกมาก็ช่วยให้เห็นว่า นักเตะ 1 คนสามารถสร้างอิมแพกต์ให้กับทีมได้มากขนาดไหน 

นักเตะอย่าง เปเป้ เริ่มต้นด้วยความยากลำบาก โดนดูถูกว่าไม่ดีพอสำหรับทีมชาติบราซิล จึงต้องหนีมาเล่นให้โปรตุเกส ซึ่งสุดท้ายเขาก็พา โปรตุเกส เป็นแชมป์ยุโรปในปี 2016 

ในวันที่เขาย้ายไป มาดริด เขาก็โดนมองในตอนเริ่มต้นว่า เป็นแค่กองหลังดาด ๆ ที่ทีมสาดเงินซื้อมามั่ว ๆ สุดท้ายเขาอยู่ในทีมชุดสร้างประวัติศาสตร์ที่ยากจะทำซ้ำ

ตอนนี้กับ ปอร์โต้ เขาแสดงให้เห็นอีกครั้งว่า นักฟุตบอลคนหนึ่งไม่ควรถูกตัดสินด้วยอายุ แต่ผลงานในสนามต่างหากที่จะบอกว่าเขาแก่พอหรือยัง

ฮาร์ดแมนคนนี้ยังเป็นคนเดิมเหมือนกับตอนที่อายุ 18 ปี และมาโปรตุเกสครั้งแรก ไม่มีใครกล้าเถียงว่าระดับการเล่นเขาอาจจะตกลงไปหากเทียบกับเมื่อ 4-5 ปีก่อน แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือการพิสูจน์ว่าเมื่ออายุมากขึ้น เราเก็บเกี่ยวอะไรมาบ้างก่อนจะมาถึงจุดนี้ และเราสามารถแบ่งปันมันเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่น ๆ หรือไม่ ... เหมือนกับแซนด์วิชที่เขาได้จากสนามบินชิ้นนั้น ที่เปลี่ยนให้เขากลายเป็นยอดคน ในแง่มุมที่ใครได้สัมผัสกับเขาก็ต้องยอมรับความจริงข้อนี้  

"ผมพยายามจะเป็นคนที่ช่วยเหลือคนอื่นเสมอเมื่อมีโอกาส เหตุการณ์ในสนามบินวันนั้นสร้างผลกระทบครั้งใหญ่ในชีวิตของผม น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร แล้วผมก็จำเขาไม่ได้ในตอนนี้ แต่ผมยังจำสิ่งที่เขาได้ทำกับผมเสมอ" เขากล่าวถึงแซนด์วิชเปลี่ยนชีวิตที่สนามบินชิ้นนั้น 

เบื้องหลังจอมโหดที่ใคร ๆ พากันเกลียด คือความเป็นมืออาชีพที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของผู้ชนะ ทั้งหมดนี้คือเบื้องหลังตัวร้ายในใจคุณ ... เปเป้ คนนี้ นี่เอง 

ไม่ว่าคุณจะชอบเขาหรือไม่ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการดูนักเตะอย่างเขาลงสนาม มันคือความสนุกอีกรสชาติหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย และหากคุณยังอินกับความยอดเยี่ยมของเขา ก็สามารถพบเจอกับ เปเป้ ในเกม  FIFA Online 4 โดยเฉพาะในแพทช์ใหม่นี้ มีทั้งการเพิ่มนักเตะคลาส "Icons" และ "20UCL" เพิ่มขึ้นมา ซึ่งหากนักเตะคนใดที่ทำผลงานได้ดีในโลกแห่งความจริง พลังของพวกเขาในเกมก็จะขยับเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ... ไม่แน่ เราอาจจะเห็น เปเป้ กลับมามีพลังโหด ๆ เหมือนสมัยพีก ๆ กับ มาดริด ก็ได้ หาก ปอร์โต้ ยังคงเดินหน้าเข้ารอบต่อไปสำเร็จ ใครจะไปรู้  

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook