ปรากฏการณ์ "ผีกาก้า" : เมื่อนักฟุตบอลจากครอบครัวผู้ร่ำรวยทำให้โลกลูกหนังหยุดหายใจ

ปรากฏการณ์ "ผีกาก้า" : เมื่อนักฟุตบอลจากครอบครัวผู้ร่ำรวยทำให้โลกลูกหนังหยุดหายใจ

ปรากฏการณ์ "ผีกาก้า" : เมื่อนักฟุตบอลจากครอบครัวผู้ร่ำรวยทำให้โลกลูกหนังหยุดหายใจ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ริคาร์โด้ กาก้า ชื่อนี้สำหรับใครที่ติดตามฟุตบอลตั้งแต่ยุคมิลเลนเนียม คงเข้าใจถึงความสุดยอดในสนามของเขาเป็นอย่างดี

ทว่าสิ่งที่เราจะพูดถึงเขาต่อไปนี้ คือเบื้องหลังลีลาอันสวยงามและเหนือชั้น นั่นคือ "ความศรัทธา" ที่มีต่อพระเจ้าทุกลมหายใจ จนชีวิตนี้เขากล้าการันตีว่า "ไม่เคยกลัวความตกต่ำ"  

อะไรทำให้ กาก้า ศรัทธาในพระเจ้า และเป็นคริสเตียนที่เคร่งศาสนาถึงขีดสุดจนหลายคนมองว่าเขาเป็นผู้ชายน่าเบื่อ?

ติดตามได้ที่นี่..

ร่ำรวย?

เรื่องราววัยเด็กของ ริคาร์โด้ กาก้า นั้นหลายคนอาจจะพอเคยได้ยินมาบ้างแล้วว่า ปูมหลังครอบครัวนั้นมีฐานะและมีความรู้ อย่างไรก็ตาม ความจริงตามข้อมูลหลายๆแห่งที่พูดถึงเรื่องราววัยเด็กของเขานั้น ไม่ได้ปรากฏแน่ชัดว่าเขาอยู่ในสถานะ "ลูกเศรษฐี" อย่างที่ใครเข้าใจ

หากจะบอกให้ถูกต้อง คงต้องบอกว่าพ่อและแม่ของเขาเป็นชั้นปัญญาชนมากกว่า พ่อของเขาชื่อ บอสโก้ ไลเต เป็นวิศวกรโยธา ขณะที่ ซิโมเน่ ดอส ซานโตส แม่ของเขา มีอาชีพเป็นคุณครูในโรงเรียนประถม ดังนั้น ริคาร์โด้ กาก้า อาจจะไม่ได้รวยล้นฟ้าคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดอย่างที่เชื่อกัน เพียงแต่ครอบครัวของเขามีความมั่นคงทางการศึกษาและรายได้ นั่นคือความจริงที่ปรากฏชัดมากที่สุด

1

 

ริคาร์โด้ อิเซคสัน ดอส ซานโตส ไลเต คือชื่อเต็มของเขา ส่วนชื่อเล่นที่เรียกกันทั้งโลกว่า "กาก้า" นั้นแท้จริงแล้วไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ความจริงแล้วมันเกิดขึ้นเพียงเพราะน้องชายของเขา โรดริโก (ชื่อเล่น ดิเกา) ในวัยที่หัดพูด เรียกชื่อ "ริคาร์โด้" ไม่ถนัด กลายเป็นออกเสียงว่า กาก้า เท่านั้นเอง เขาเลยเลือกใช้ชื่อเล่นนั้นแทนตัวเองมาตลอด

เดิมทีครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ที่ชานกรุงบราซิเลีย เมืองหลวงของประเทศ จนกระทั่งอายุได้ 7 ขวบ ครอบครัวก็ย้ายไปอยู่ที่เมืองเซา เปาโล และนั่นคือจุดเริ่มต้นของตำนานโลกลูกหนังแห่งบราซิลอีกบทหนึ่งอย่างแท้จริง 

เหตุผลที่การย้ายเมืองครั้งนี้สำคัญกับชีวิตของ กาก้า ก็เพราะว่าโรงเรียนประถมที่เขาอยู่นั้นถือเป็นโรงเรียนชั้นแนวหน้าของเมืองที่ชื่อว่า Escola Internacional de Alphaville โดยทีมฟุตบอลของโรงเรียนนี้มีการทำ MOU กับอคาเดมีของสโมสรเซา เปาโล เอาไว้ ซึ่งจุดนี้เองที่เป็นการเชื่อมโยงกัน ที่ทำให้ กาก้า ได้เข้าสู่สมาชิกของทีม เซา เปาโล ในวันที่เขาอายุ 15 ปี และเรื่องราวการเป็นสุดยอดนักเตะก็เริ่มขึ้นหลังจากนั้น

คุณหนูกาก้า 

ด้วยความที่ กาก้า เป็นเหมือนเด็กที่ไม่ได้มาจากครอบครัวที่ยากลำบากทั่วไป จึงทำให้เขามักถูกมองว่าเป็นพวกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ชอบง่ายหน่ายเร็ว และเป็นพวกเห็นแก่ตัว อวดร่ำอวดรวย อะไรประมาณนั้น แต่นั่นคือสิ่งที่คนอื่นคิด เพราะความจริงแล้ว กาก้า นั้นได้ตัดสินใจตั้งแต่วันที่เซ็นสัญญาเข้าทีมอคาเดมีของ เซา เปาโล แล้วว่าเขาอยากจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ และหวังไกลถึงการเป็นนักเตะหมายเลข 1 ของโลก แม้ว่าตัวของเขาจะเรียนเก่งและมีความสามารถด้านวิชาการแค่ไหนก็ตาม

2

"ผมต้องกระโดดข้ามกำแพงเพื่อเข้าโรงเรียนบ่อยๆนะจะบอกให้ โรงเรียนจะปิดประตูเมื่อถึงเวลา และผมไปสายเสมอ เลยต้องปีนเข้าทางกำแพง แม่ผมเคยถูกเชิญผู้ปกครองและถามผมว่า 'แกจะกระโดดกำแพงทำไม?' ผมตอบแม่ว่า ฟุตบอลไงแม่ ถ้าได้เล่นฟุตบอล ต่อให้ผมจะต้องกระโดดข้ามกำแพงทุกเช้าจนกระทั่งเรียนจบ ผมก็จะทำ" กาก้า เล่าถึงความชอบในฟุตบอล

นอกจากความชอบและพรสวรค์แล้ว เหนือสิ่งอื่นใดคือ เขาสามารถเป็นเพื่อนกับทุกคนได้ เมื่อเข้าไปอยู่ในอคาเดมีของ เซา เปาโล เด็กส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่ยากจน หลายคนกลัวว่าเขาจะเข้ากับเด็กๆเหล่านั้นไม่ได้ แต่ด้วยการเข้าหาอย่างมีน้ำใจและจริงใจ กาก้า ก็กลายเป็นขวัญใจของเพื่อนในเวลาไม่นาน 

"ผมค่อนข้างจะแตกต่างกับเด็กบราซิลหรือนักฟุตบอลในประเทศคนอื่นๆ พวกเขามาจากกลุ่มชนชั้นที่มีโอกาสน้อยมากในแง่การเรียน ดังนั้น พวกเขาจึงต้องทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อเป็นนักฟุตบอล ส่วนผมเองเป็นเด็กที่ได้ทุกอย่างที่ผมต้องการ ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ได้รวยมากมายอะไร แต่พ่อของผมท่านทำงานหนักมาตลอดชีวิต คอยสนับสนุนผมและน้องๆเสมอ ผมอาจจะแตกต่าง แต่ว่าผมมีต้นแบบที่ดี นั่นคือพ่อของผมเอง" กาก้า กล่าวเริ่ม

3
"หลังจากผมตัดสินใจเล่นฟุตบอลเป็นหลัก เรื่องฐานะที่ถูกคนอื่นมองไม่ได้เป็นปัญหาของผม ผมเข้ากับทุกคนได้ ผมชอบพาเพื่อนร่วมทีมมาเที่ยวที่บ้าน (บ้านของเขามีสระว่ายน้ำ) เพราะผมรู้ว่าเพื่อนๆแต่ละคนมาจากที่ไกลๆกันทั้งนั้น พวกเขาต้องซ้อมอยู่กินกับทีม ปีนึงจะได้กลับบ้านสักครั้ง ดังนั้น ผมจึงชอบให้พวกเขามาเล่นที่บ้าน และผมว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดี ที่ทำให้ผมเข้ากับทุกๆคนได้" 

ในอดาเดมีของ เซา เปาโล นั้น เรื่องราวของ กาก้า ถูกพูดถึงในแง่ของเด็กปาฏิหาริย์ เพราะในตอนแรกที่เขาเข้าสู่ทีม เขามีร่างกายเล็กผิดปกติ จากการที่มีพัฒนาการช้ากว่าเด็กทั่วไป 2 ปี ทว่าฝีเท้าของเขาไม่ได้ด้อยไปตามพัฒนาการ เขาเป็นเด็กที่คล่องแคล่ว และมีทักษะในการเล่นสูง ทุกคนจับตาว่าจะเป็นรายชื่อแรกๆที่เมื่ออายุถึงเกณฑ์แล้ว จะถูกเรียกไปสมทบกับทีมชุดใหญ่ ซึ่ง กาก้า ก็นับวันรอเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าเมื่อเวลาที่รอคอยมาถึง เขากลับเผชิญกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนตัวเองไปตลอดชีวิต

จุดเปลี่ยนตลอดชีวิต

หลังจากการพักช่วงสุดสัปดาห์กับทีม เซา เปาโล ชุดเยาวชน กาก้า ในวัย 18 ปี ไปเที่ยวที่บ้านคุณยาย และลงเล่นสระว่ายน้ำหลังบ้านเหมือนปกติ ทว่าวันนี้เขาขึ้นไปเล่นบนสไลเดอร์และพลาดตกลงมาอย่างแรงจนหลังกระแทกกับพื้น กระดูกสันหลังหัก ทุกคนรีบพาเขาไปส่งโรงพยาบาล แพทย์ทำการผ่าตัดเขาในทันที และบอกให้ครอบครัวทำใจว่า กาก้า อาจจะมีความเสี่ยงในการเป็นอัมพาตได้ 

เขานอนติดเตียงอยู่ 2 เดือน และทำได้เพียงแต่ภาวนาต่อพระเจ้า ครอบครัวเขาเป็นคริสเตียนพันธุ์แท้ที่ศรัทธาในเรื่องของศาสนาเป็นอย่างมาก และในเหตุการณ์นั้น กาก้า ได้เห็นว่าพ่อกับแม่ของเขา สวดภาวนาในทุกๆวัน เพื่อให้เขากลับมาเดินได้อีกครั้ง ในช่วงเวลานั้น ทำให้เขาถูกสอนเรื่องพระเจ้า และเริ่มซึมซับอย่างจริงจังแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จากนั้นเขาเริ่มสวดภาวนาตาม และสิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือ 2 เดือนเท่านั้น กาก้า กลับมาเดินได้ปกติ และสามารถเล่นฟุตบอลได้เหมือนเดิมอย่างเหลือเชื่อ และอาจจะเก่งขึ้นยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ

4

หากเปิดประวัติการลงเล่นของ กาก้า ดู จะพบว่าเขาไม่เคยเป็นดาวเด่นในระดับทีมเยาวชนทีมชาติบราซิลเลยในช่วงก่อนอายุ 18 ปี สถิติการเล่นในระดับเยาวชนไม่ว่าจะ ยู 16, ยู 17, ยู 18 และ ยู 19 ของ กาก้า คือ 0 แต่ที่แปลกเหลือเชื่อคือหลังจากเขาหายจากความเสี่ยงเป็นอัมพาต เขากลับเด่นขึ้นมาจนถูกเรียกติดทีมชาติบราซิลชุดยู 20 ในปี 2001 และอย่างที่ทุกคนรู้กัน หลังจากนั้นปีเดียว เขาติดทีมชาติบราซิลชุดลุยฟุตบอลโลก 2002 ซึ่งในรายการนั้น บราซิล คือแชมเปียน 

มันอาจจะเป็นเรื่องตลกสำหรับคนนอก ที่พูดว่าปาฏิหาริย์นี้เกิดขึ้นโดยมีพระเจ้าเป็นคนทำ แต่ กาก้า ไม่คิดเช่นนั้น หลังจากหายกลับมาเป็นปกติ เขาเป็นคนเคร่งศาสนาอย่างมากที่สุด และเชื่อว่าทุกเส้นทางของขีวิตเขาหลังจากนี้ พระเจ้าเป็นผู้ขีดเส้นทางให้ โดยเขามีหน้าที่ทำตามพระประสงค์แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น 

"สำหรับผม ฟุตบอลเป็นเหมือนอาชีพที่อยู่ในระยะสั้นๆ ไม่ได้มีความหมายตลอดไป ผมเคยบอกทุกคนไปหลายครั้งว่า ฟุตบอลเป็นเพียงประสงค์หนึ่งของพระเจ้าที่ให้ผมได้เจอกับมัน พระเจ้ามอบชีวิตค้าแข้งให้ผมเพื่อทดสอบความศรัทธาที่ผมมีต่อตัวพระองค์ สำหรับผมแล้ว ความศรัทธาในพระเจ้าคือสิ่งที่เป็นนิรันดร์ที่สุดแล้ว" 

5
ความเชื่อนั้นต่างจากความงมงายอยู่มาก ความงมงาย คือการเชื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนมองข้ามความเป็นจริง หรือที่เรียกว่า "หลับหูหลับตาเชื่อ" แต่ความเชื่อที่ กาก้า มีต่อพระเจ้านั้น หากเปรียบให้เข้าใจคงเป็นเหมือนกับ เนวิเกเตอร์ ที่มีหน้าที่คอยนำทางของรถยนต์คันหนึ่งซึ่งเปรียบกับตัวเขา ส่วนคนที่ตัดสินใจว่าจะไปเส้นทางไหน จะขับช้า หรือจะเร่งความเร็ว คือตัวของเขาเท่านั้น นั่นทำให้เขาเต็มที่กับบทบาทชีวิตนักฟุตบอลเสมอ โดยไม่เคยมีเรื่องราวเสียๆหายๆ ปรากฏเลยแม้แต่ครั้งเดียวตลอดอาชีพ สิ่งนี้พิสูจน์ได้เมื่อเขาอายุ 21 ปี และ เอซี มิลาน ติดต่อมา กาก้า คว้าโอกาสนั้นไว้เพื่อพิสูจน์ตัวเองในทันที

"การติดต่อของ มิลาน ในวันนั้นเป็นเรื่องวิเศษมาก ผมอยากไปเล่นในยุโรปมาตลอดชีวิต ตอนที่ยังเด็กผมคิดภาพไว้ในหัวตลอด ตอนที่ มิลาน ยื่นข้อเสนอมาให้กับ เซา เปาโล ผมขอท่านประธานสโมสรว่า ไม่ว่าจะได้เงินน้อยหรือมาก ผมไม่เคยสนใจ แต่ผมอยากจะไปเล่นให้กับทีมยักษ์ใหญ่ทีมนี้ หลังจากนั้น พวกเขาก็ตกลงกัน และทำให้ผมได้ไปที่อิตาลี" กาก้า เล่าย้อนความ

จากนั้นคงไม่ต้องพูดอะไรมาก เมื่อมาถึงอิตาลี กาก้า สยบโลกฟุตบอลให้อยู่ใต้แทบเท้า ถ้าเป็นรถยนต์ก็คงเรียกว่าเหยีบบคันเร่งจนมิดเพื่อไปถึงจุดมุ่งหมายโดยไม่สนสิ่งเร้ารอบข้าง กาก้า ต่างจากนักฟุตบอลบราซิลคนอื่นๆ แม้กระทั่งเรื่องวินัยนอกสนาม เขาไม่ได้พยายามทำตัวเป็นปัญหาของทีม แค่ทำทุกวันให้เต็มที่และกลายเป็นหมายเลข 1 ของโลก ซึ่งเข้าเชื่อว่า "พระเจ้าได้ชี้ทางเอาไว้แล้ว" 

"ผมมักจะตั้งเป้าหมายไว้ในทุกๆส่วนของชีวิต เรื่องฟุตบอลเองก็เหมือนกัน แม้ทุกคนจะพร่ำสอน และผมก็เชื่อว่าผมเป็นของพระเยซู (I belong to Jesus) แต่ผมเชื่อว่าผมก็ได้แสดงให้ทุกคนเห็นถึงสิ่งที่ผมทำแล้ว" กาก้า ว่าเช่นนั้น 

6

ช่วงเวลา มิลาน คือช่วงเวลาที่ กาก้า พีคที่สุดเท่าที่นักฟุตบอลคนหนึ่งจะเป็นได้ ความเร็ว ความแข็งแกร่ง ไหวพริบ และการตัดสินใจ คือส่วนประกอบทั้งหมดที่เขามี กาก้า ร่วมพาทีมคว้าแชมป์ลีก 1 หน ในฤดูกาล 2003-04 และที่อยู่ในความทรงจำของทุกคนที่สุด คือใน ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2006-07 นั้นเป็นฤดูกาลที่ อังเดร เชฟเชนโก้ เพิ่งย้ายไปอยู่กับ เชลซี และ กาก้า ต้องกลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในเกมรุกของ มิลาน ซึ่งเขาได้แสดงมันออกมาในเกมรอบรองชนะเลิศกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฟอร์มใน 2 เกมเหย้า-เยือนนั้น ถูกเรียกว่าปรากฏการณ์ แม้กระทั่งประเทศไทย ยังเป็นประวัติศาสตร์ของ "เพลงล้อฟุตบอล" ที่ชื่อว่า "ผีกาก้า" และเป็นตำนานจนทุกวันนี้

กาก้า โชว์ลีลาเหนือมนุษย์ ลากผ่านกองหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด เหมือนกับกรวยจราจร เขายิง 3 ประตูจาก 2 เกม และสร้างอิมแพกต์ครั้งใหญ่ที่ทำให้ทั้งโลกเลิกสงสัยว่า ริคาร์โด้ กาก้า คือนักเตะที่ดีที่สุดในปีนั้น

"คุณถามผมว่าอะไรนะ 'เวทมนตร์ของ กาก้า เหรอ?' ผมว่าไม่ใช่หรอก ทุกอย่างเกิดจากการเคลื่อนไหวของเขาที่สวยงาม และแต่ละสัมผัสที่เหนือธรรมชาติอย่างที่สุด ทุกอย่างดูพิเศษและกลั่นออกมาอย่างลงตัว สิ่งที่เขาทำไม่มีอะไรที่ทำแล้วสูญเปล่า ทุกอย่างที่ กาก้า ทำ คือการทำอย่างมีจุดมุ่งหมายทั้งสิ้น" เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือของทีมที่โดน มิลาน ของ กาก้า เขี่ยตกรอบกล่าวหลังเกม 

"จำได้ว่าคืนนั้นบอลจบตี 4 ผมตั้งโพสต์ถามเพื่อนสมาชิกว่า ถ้าจะแต่งเพลงล้อแมนฯ ยูฯ ทำนองหมีแพนด้า ควรใช้ชื่อเพลงว่าอะไรดี? คำหลังเราได้ละคือ กาก้า แต่ข้างหน้านี่สิ ยังหาไม่ได้ ก็มีน้องคนหนึ่งมาเมนต์ว่า 'ผีกาก้า' ผมจึงเลือกเอาชื่อนี้มาทำเพลง" 

"ตื่นเช้าอีกวัน สรยุทธ (สุทัศนะจินดา) เอาไปเปิดในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ เท่านั้นแหละ ดังระเบิด ก็เริ่มมีสื่อทั้ง หนังสือพิมพ์, นิตยสาร เข้ามาขอสัมภาษณ์ นั่นแหละ คือ จุดเริ่มต้นของความวุ่นวายในชีวิต (หัวเราะ)" ซ้ง-วิวัธน์ จิโรจน์กุล เจ้าของเพลงฮิต กล่าวถึงความดังและที่มาของเพลง ผีกาก้า กับ Main Stand 

8

สิ่งที่เรายกมาพูดถึงนั้น ก็เพื่อจะทำให้ทุกคนได้นึกภาพของ "กาก้าฟีเวอร์" ในปีนั้นออก มันไม่ง่ายเลยที่นักฟุตบอลคนหนึ่งจะถูกนำมาแต่งเป็นเพลงล้อเลียนที่ดังและเข้าถึงในคนหมู่มากได้ ทั้งๆที่ตอนนั้นสื่อโซเชียลอย่าง เฟซบุ๊ก หรือ ทวิตเตอร์ ยังไม่ได้เป็นที่นิยมเลยด้วยซ้ำ 

กาก้า คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลก ทั้ง บัลลงดอร์ และของ ฟีฟ่า ในปี 2007 จากนั้นเขาก็ถูก เอซี มิลาน ขายให้กับ เรอัล มาดริด ด้วยราคาเป็นสถิติโลก (ช่วงสั้นๆ) ในปี 2009 เพราะ ณ เวลานั้นทีมปีศาจแดง-ดำ กำลังประสบปัญหาทางการเงิน กาก้า ไม่อยากจะย้ายในทีมในครั้งนั้น แต่เมื่อเขาเชื่อว่านี่คือการทดสอบของพระเจ้า เขามีแต่ต้องไปต่อ และลองดูว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นจะเป็นเช่นไร?

ศรัทธาที่แท้จริง

ในยามที่สุขสบาย ร่ำรวย และมีชื่อเสียง คนเราจะมองข้ามหลายสิ่งหลายอย่างไปโดยธรรมชาติ และหากจะถามว่าช่วงเวลาใดที่ทำให้คนเราสามารถศรัทธาในสิ่งที่ไม่มองไม่เห็นได้ดีที่สุด? เราคงต้องตอบว่า "ช่วงเวลาที่ย่ำแย่และตกต่ำ" เมื่อนั้น ที่พึ่งทางใจคือสิ่งสำคัญที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

กาก้า ไปเล่นกับ มาดริด ได้ไม่นานนักก็ประสบปัญหาเรื่องฟอร์มการเล่นที่ดรอปลงไปมาก เขาไม่เก่งเหมือนตอนอยู่กับ มิลาน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของอาการบาดเจ็บหรือการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมในทีมก็ตาม ซึ่งผลลัพธ์คือ กาก้า เริ่มมีชื่อเสียงที่ลดน้อยถอยลงไปทุกวันๆ ในสภาพที่คนทั่วไปอาจจะสภาพจิตใจตกต่ำ แต่สำหรับ กาก้า อย่างที่เขาได้กล่าวไปในข้างต้น ฟุตบอลก็แค่อาชีพระยะสั้นเท่านั้น ดังนั้น ไม่จำเป็นจะต้องอ่อนไหว เขาเป็นคนที่เข้าใจในทุกความเป็นไปเสมอ 

9

"ผมจะบอกให้ว่า ริคาร์โด้ กาก้า ไม่ได้มีจุดแข็งที่ฝีเท้าอย่างเดียว เขานิ่งสงบ ไม่เคยมีแนวโน้มของสภาพจิตใจที่ย่ำแย่หรือแสดงให้เห็นถึงความซึมเศร้าเลย คนอย่างเขาคือแชมป์ที่ยิ่งใหญ่ ผมเชื่อว่าอย่างนั้น" คาร์โล อันเชล็อตติ อดีตกุนซือของ มิลาน และ เรอัล มาดริด ว่าถึง กาก้า 

และ กาก้า เองก็กล่าวไปในทิศทางเดียวกัน เขายืนยันว่าช่วงเวลาที่ลำบากทำให้เขาสัมผัสกับพระเจ้าได้ชัดขึ้น ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามประสงค์และเป็นบททดสอบที่เขาต้องผ่านไป เพื่อแสดงให้เห็นถึงศรัทธาที่แท้จริง 

"ศรัทธาสร้างความแตกต่างให้กับชีวิตนักฟุตบอลของผมอย่างมาก เมื่อผมมีช่วงเวลาที่เลวร้าย อาทิกับ มาดริด หรือทีมชาติ สิ่งเดียวที่่ทำให้ผมไปต่อและมีกำลังใจผ่านพวกมันไปได้คือความเชื่อเท่านั้น ผมเชื่อเสมอว่าถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ สิ่งที่ดีกำลังจะตามมาในอีกไม่ช้า มันช่วยให้ผมเรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกสถานการณ์ ศรัทธา คำนี้มีความหมายกับผมอย่างที่สุดในฐานะคนที่มีอาชีพเป็นนักฟุตบอลในครั้งหนึ่ง" กาก้า กล่าว

"ผมรู้ว่าชีวิตค้าแข้งของผมจะจบลงในอีก 2-3 ปี แต่แล้วยังไงล่ะ? ชีวิตของผมยังคงต้องดำเนินต่อไป ผมต้องเตรียมพร้อมเพื่อบทบาทใหม่ อาชีพใหม่ แต่ที่สุดแล้วแก่นแท้ของผมยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นคือผมเป็นของพระเยซู"  

กาก้า ย้ายกลับไปเล่นให้กับ มิลาน แบบยืมตัวสั้นๆ และย้ายไปเล่นในเมเจอร์ ลีก ซอคเกอร์ กับ ออร์แลนโด ซิตี้ (พร้อมกับแว่บกลับไปเล่นให้ เซา เปาโล อีกพักนึง) หลังจากนั้นก็แขวนสตั๊ดในปี 2017 ทุกวันนี้เรื่องราวของ กาก้า ยังถูกเล่าขานในนาม "มนุษย์โลกที่เก่งด้านฟุตบอลที่สุดคนสุดท้าย" ก่อนที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ จะผลัดกันคว้าบัลลงดอร์คนละ 5 สมัย รวมกัน 10 สมัยหลังจากนั้น   

10

เรื่องราวชีวิตของ กาก้า อาจจะเต็มไปด้วยคำว่าศรัทธาและพระเจ้า แต่หากมองให้กว้างกว่านั้นอีกสักหน่อย เราจะได้เห็นถึงการเขย่าโลกที่มีเบื้องหลังจากความพยายาม การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และความสำคัญถึงเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงควรปฎิบัติตัวกับคนอื่นให้ดี

กาก้า ต้องพิสูจน์ตัวเองมาตั้งแต่เด็กในความต่างด้านฐานะ แต่เขาก็เข้าไปเป็นที่รักของทุกคนด้วยความจริงใจ และเมื่อเขามายุโรป ในสังคมที่นักฟุตบอลอยู่ท่ามกลางแสงสีและเงินสะพัด เขาก็ยังยึดมั่นกับความเชื่อของตัวเองได้จนหยดสุดท้าย และกลายเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก พร้อมๆกับการเป็นผู้เคารพในพระเจ้ามากที่สุด แม้กระทั่งในวันที่อาชีพนักเตะตกต่ำ เขาก็ยังผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายไปได้ด้วยความเข้าใจต่อความเป็นไปที่เกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์ 

ทุกอย่างไม่ใช่แค่ศรัทธา ริคาร์โด้ กาก้า ใช้ชีวิตได้อย่างมีเสน่ห์ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ นั่นทำให้เรื่องของเขายังถูกกล่าวถึงในฐานะตำนานอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

11

"การประสบความสำเร็จสำหรับผมนั้น มีวิธีที่ดีที่สุดไม่ใช่เพราะคำพูด แต่มันคือการกระทำ สำหรับผมตั้งแต่อายุ 15 ปี ผมบอกตัวเองเสมอว่า จากนี้ไปจะไม่มีอะไรที่สำคัญกว่าฟุตบอล และผมก็ทำเช่นนั้น อย่าโกหกตัวเอง ซื่อสัตย์กับสภาพจิตใจ และเชื่อมั่นในสิ่งที่ศรัทธา และผมมีความสุขมากกับหลายสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผม"

"ในวันที่ดี ผมมีความสุขที่ได้ประสบความสำเร็จ และในวันที่ร้ายๆ ผมมีความสุขเพราะว่าได้รู้ว่าข้างๆตัวเรานั้นยังเหลือใครที่รักเราจริงบ้าง" กาก้า กล่าวทิ้งท้าย 

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ ของ ปรากฏการณ์ "ผีกาก้า" : เมื่อนักฟุตบอลจากครอบครัวผู้ร่ำรวยทำให้โลกลูกหนังหยุดหายใจ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook