วิ่งกระเตงฟัด : "ร็อบบี้ เคทเชลล์" กับไวรัลสุดยิ่งใหญ่ใน "นิวยอร์ก มาราธอน"

วิ่งกระเตงฟัด : "ร็อบบี้ เคทเชลล์" กับไวรัลสุดยิ่งใหญ่ใน "นิวยอร์ก มาราธอน"

วิ่งกระเตงฟัด : "ร็อบบี้ เคทเชลล์" กับไวรัลสุดยิ่งใหญ่ใน "นิวยอร์ก มาราธอน"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ความรู้สึกตอนที่ภรรยาเข้าไปอยู่ในห้องคลอด และเราผู้เป็นพ่อได้แต่นั่งรออยู่หน้าห้อง คือหนึ่งในช่วงเวลาที่กระสับกระส่ายและยาวนานมากที่สุด

100 ทั้ง 100 คนที่กำลังจะได้เป็น "พ่อคน" จะต้องภาวนาอยู่ในใจให้ลูกที่คลอดออกมาสมบูรณ์แข็งแรง ปกติ ครบ 32 กันทั้งนั้น ทว่าบางครั้ง ชีวิตก็ไม่ได้ให้สิ่งที่เราหวังเสียทุกครั้งไป..

นี่คือเรื่องราวของ ร็อบบี้ เคทเชลล์ คุณพ่อมือใหม่ที่อุ้มลูกวิ่งในงานแข่งขัน นิวยอร์ก มาราธอน ด้วยเหตุผลที่ยิ่งใหญ่กว่าชัยชนะ และรูปภาพของ 2 พ่อ-ลูก เพียงใบเดียว กลายเป็น ไวรัล ที่ทั้งโลกต้องสั่นสะเทือน 

ติดตามได้ที่นี่..

เพราะชีวิตคือมาราธอน 

"มาราธอน" คือการวิ่งระยะไกล ด้วยระยะทาง 42.195 กิโลเมตร ตัวเลขที่กล่าวมาไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งจะลุกขึ้นมาจากที่นอนหรือโซฟาอันแสนนุ่มสบายและสามารถทำสำเร็จได้ในทันที ร้อยทั้งร้อยย่อมต้องซ้อมอย่างเข้มข้นกว่าที่จะจบสักมาราธอนได้ ชีวิตก็เช่นกัน..

กว่าที่จะชีวิตจะประสบความสำเร็จอะไรสักอย่างได้ ย่อมต้องผ่านการเรียนรู้ การลองถูกลองผิดกับสิ่งนั้น ซึ่งรสชาติของความสำเร็จที่แท้จริงนั้น ปลายทางอาจจะไม่เท่าเรื่องราวระหว่างทางก็เป็นได้

1

ทุกๆการซ้อมมาราธอน หรือออกวิ่ง ร่างกายจะพบกับความเหนื่อยที่ไม่เคยเจอ ความเจ็บปวด และความท้อถอยกว่าจะถึงเส้นชัย แต่เมื่อก้าวผ่านทุกอย่างได้จนถึงปลายทาง รสชาติของความสำเร็จที่เราสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆนานา คือสิ่งที่ทำให้ความสำเร็จนั้นจะถูกจดจำไปตลอดชีวิต

สิ่งสำคัญที่สุดคือการลุกออกมาลงมือทำ ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบให้ตัวเองเหนื่อย ทรมาน และเจ็บปวดหรอก แต่ไม่ว่าจะในชีวิตจริงหรือมาราธอน การที่ใครสักคนจะเริ่มออกสตาร์ท พวกเขาต้องมีความมุ่งมั่นที่มากพอ และมีความหมายของการออกวิ่งตามหาและคว้าสิ่งนั้นเอามาให้ได้ด้วยมือของตนเอง 

ร็อบบี้ เคทเชลล์ คือพระเอกของเรื่องนี้ เขาไม่ได้ชอบวิ่งหรือตามหาความหมายของการวิ่งมาราธอนตั้งแต่แรก ทว่าด้วยอาชีพของเขาที่เป็นทีมวิจัยของแบรนด์สปอร์ตแวร์ดังอย่าง Nike ทำให้เขาต้องคลุกคลีกับการวิ่งตลอดมา 

การอยู่กับการวิ่งทุกวัน เริ่มทำให้เขามีความรู้สึกอยากลงแข่งขันมาราธอนด้วยตัวเองสักครั้ง และหลังจากความพยายามอันสูงส่ง เขาสามารถเป็นหนึ่งในพนักงานออฟฟิศที่มีพลังเหลือล้นในการวิ่ง เขาจบการแข่งขันมาราธอน, อัลตรา มาราธอน หรือกระทั่งการวิ่งเทรล มามากมาย 

2

มันคือความภูมิใจที่ลงมือทำและสนองความมุ่งมั่นของตัวเองสำเร็จ การวิ่งทำให้เขามีชีวิตที่ดี มีแฟนและได้แต่งงานกับเธอ อยู่กินกันฉันท์คู่สามีภรรยาที่มีความสุขมาโดยตลอด.. แต่ชีวิตนั้นเปรียบเสมือนการวิ่งมาราธอน เขาต้องเจอบททดสอบที่ทำให้ตัวเองรู้ว่า ความเจ็บปวด อดทน และทรมาน ในชีวิตที่เคยผ่านพ้นมา เทียบไม่ติดเลยแม้แต่น้อย

วิถีความเป็นพ่อ 

ช่วงปี 2017 มายา ภรรยาของเขาตั้งท้องลูกคนแรก และมีกำหนดคลอดในช่วงต้นปี 2018 เขาเองเฝ้ารอการกำเนิดของเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองด้วยความตื่นเต้นและดูแลเอาใจใส่ในทุกๆวัน

สำหรับคนรู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นพ่อคน ร้อยทั้งร้อยมักจะคิดเรื่องราวในหัวเอาไว้มากมาย จะต้องสร้างครอบครัวให้อบอุ่น จะต้องสร้างบ้านให้หลังใหญ่ขึ้น จะต้องทำงานหาเงินมากๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของลูก และคิดไปไหนต่อไหน หวังให้ลูกเติบโตกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในด้านใดด้านหนึ่ง นั่นคือฝันที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธสำหรับคนกำลังจะเป็นพ่อ 

3

อย่างไรก็ตาม ชีวิตมักไม่เป็นไปอย่างที่หวัง และทุกคนจะต้องเจอกับเรื่องไม่คาดฝันไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ทว่า ร็อบบี้กลับโชคร้ายกว่านั้น เพราะเรื่องที่เขาให้ความคาดหวังสูงที่สุด กลับกลายเป็นเรื่องที่พลิกล็อกที่สุด นั่นคือเรื่องของ "ลูก" นั่นเอง

"วันที่ 12 มีนาคม ภรรยาของผมได้คลอด ไวแอตต์ ลูกชายของเรา เขาเกิดมาพร้อมกับดาวน์ซินโดรม เพราะคลอดก่อนกำหนด 67 วัน เขาออกจากโรงพยาบาลด้วยสายยางให้อาหาร" ร็อบบี้ กล่าวถึงเรื่องราวในตอนเริ่มต้นของเรื่อง

"จากนั้นเราจึงได้รู้จักการต่อสู้กับชีวิตที่แท้จริง เราต่อสู้ทุกๆวันเพื่อไม่ให้เขากลับไปเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง เราไม่ได้คาดหวังอะไรมากไปกว่าการให้เขามีสุขภาพที่ดี เราทำทุกทาง ทั้งกายภาพบำบัด เข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ นั่นคือการเดินทางบนเส้นทางของความยากลำบากที่แท้จริง"

สำหรับโรคดาวน์ซินโดรม มีต้นเหตุมาจากโครโมโซมคู่ที่ 21 และทำให้เกิดความปกติของร่างกายหลายด้าน ทั้งสมองและหัวใจ โดยเฉพาะความบกพร่องของหัวใจนั้นถือว่าร้ายแรงที่สุด โดยไวแอตต์นั้นต้องผ่าตัดหัวใจตั้งแต่อายุเพียง 1 เดือน เขายังกินอาหารผ่านปากไม่ได้ และยังมีมวลกล้ามเนื้อที่ต่ำมาก ทั้งหมดนี้ทำให้ ร็อบบี้ และ มายา ต้องสู้รอบด้าน ทั้งด้านกำลังใจและกำลังเงิน เพื่อให้ไวแอตต์กลับมาหายเป็นปกติ และทำตามคำแนะนำของแพทย์แบบสเต็ปต่อสเต็ป 

4

พวกเขาอาจจะไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินทองมากนัก เพราะต่างก็มีอาชีพที่มีรายได้ดีทั้งคู่ อย่างไรก็ตาม ร็อบบี้รู้สึกว่าการที่เด็กคนหนึ่งที่เป็นโรคดาวน์ซินโดรม และจะต้องเข้ารักษานั้นจำเป็นต้องใช้เงินมาก เขากลับเริ่มนึกถึงคนที่ไม่มีอย่างเขา ซึ่งโรคนี้ถ้าไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ก็แทบจะหมดโอกาสกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติได้เลย

ประกอบกับช่วงเวลาที่ต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ทำให้เขาขาดซ้อมวิ่งที่เป็นกีฬาโปรดของเขา ร็อบบี้จึงได้โอกาสที่จะทำให้ให้สองสิ่งมาเจอกันตรงกลาง เขาจะกลับมาซ้อมวิ่ง และหาทางช่วยเหลือเด็กที่ป่วยเป็นโรคดาวน์ซินโดรมเหมือนกับที่ไวแอตต์เป็นให้ได้

ไวรัลที่โลกได้เห็น 

ร็อบบี้เริ่มแบ่งเวลากลับมาซ้อมวิ่งและออกกำลังกายอีกครั้ง เขาพบว่ามันเป็นอะไรที่น่าประหลาด จากความเศร้าและความจับเจ่าที่มาเยือนไม่หยุด เมื่อได้ออกวิ่งสมองของเขาก็ปลอดโปร่งมากขึ้น และได้ความคิดว่าทั้งสองสิ่งที่เขาหวังสามารถไปด้วยกันได้ ถ้าเขาลงมือทำจริงจัง

5

"ผมได้ติดต่อกับ Lumind Research ที่เป็นองค์กรการกุศลเพื่อหาเงินสำหรับวิจัยโรคดาวน์ซินโดรม ผมบอกว่าผมจะลงวิ่งในรายการ นิวยอร์ก มาราธอน ให้สามารถจบมาราธอนในเวลา 3 ชั่วโมง 21 นาที เพื่อสื่อถึงโครโมโซมคู่ที่ 21 ของไวแอตต์ เป้าหมายของผมคือการระดมทุนให้ได้ 3,210 ดอลลาร์สหรัฐฯ" ร็อบบี้กล่าว

ร็อบบี้เคยเป็นคนที่วิ่งถึง 70 ไมล์ต่อสัปดาห์ จนกระทั่งลูกชายเขาต้องเข้าๆออกๆโรงพยาบาล เขาจึงกลับมาซ้อมอีกครั้งและตั้งเป้าไว้ที่ 35 ไมล์ต่อสัปดาห์อย่างสม่ำเสมอ และหวังว่าในการแข่งขันจริง พลังแฝงในร่างกายจะช่วยผลักดันให้เขาวิ่งถึงเส้นชัยได้สำเร็จ 

เมื่อ นิวยอร์ก มาราธอน มาถึง ร็อบบี้ก็พร้อมในระดับที่ยังไม่เต็ม 100% มากนัก เพราะเวลาในการซ้อมมีน้อยมาก ดังนั้น ตั้งแต่ออกตัว เขารู้สึกว่าร่างกายมีปัญหา เอ็นฝ่าเท้าของเขาอักเสบพร้อมกันถึงสองข้าง 

บางครั้งบททดสอบก็มาในแง่ของโรคภัยไข้เจ็บ.. ถ้าเขาถอนตัว ทุกอย่างจบทันที แต่ร็อบบี้ไม่ทำ เพราะเขารู้ว่าที่ปลายเส้นชัยมีภรรยาและลูกชายของเขารออยู่ เขาต้องผลักดันตัวเองให้ไปถึงตรงนั้นให้ได้ 

6

"พอถึงไมล์ที่ 8 ผมมีปัญหาที่เท้าหนักขึ้น แต่ก็ฝืนไปจนถึงไมล์ที่ 17 ผมต้องตัดสินใจอีกครั้ง ผมแทบก้าวขาไม่ไหวแล้ว เหมือนกับกำลังจะจบลงตรงนั้น ผมฝืนแล้วฝืนอีกจนถึงไมล์ที่ 20 ผมคุกเข่าลง ขาของผมรู้สึกเหมือนมันกำลังจะหัก มาถึงตรงนี้ผมไม่ยอมแล้ว ผมรู้ว่าต่อให้วิ่งไม่ไหว อย่างน้อยๆก็ยังเดินไหว ผมเดินเข้าเส้นชัยได้ แต่ผมก็ยังอยากจะวิ่งให้เหมือนที่ตั้งใจไว้อยู่ดี" 

อะไรทำให้เขาอยากวิ่ง? คำตอบนี้ไม่ยากเลย ไวแอตต์คือพลังครั้งสำคัญ ร็อบบี้ตัดสินใจในไมล์ที่ 20 เขาส่งข้อความหามายาที่ดักรออยู่ข้างหน้าและบอกเธอว่า "ส่งไวแอตต์มาให้ผม ผมจะแบกเขาเข้าเส้นชัย"

มันน่าประหลาดที่เขาพยายามทำให้ตัวเองวิ่งยากขึ้นกว่าเดิม แต่การแบกอะไรสักอย่างด้วยความสุขนั้นแตกต่างออกไป ไวแอตต์ไม่ใช่ภาระ แต่มันคือการย้ำเตือนถึงเหตุผลว่า ทำไมร็อบบี้จึงต้องวิ่งเข้าเส้นชัยในเวลาที่กำหนดให้ได้

7

"ผมอยากจะแบกไวแอตต์เข้าเส้นชัยไปด้วยกันตลอด ผมรู้ว่ามันใกล้เข้ามาแล้ว ผมส่งข้อความบอกภรรยา และไม่ใช่ผมคนเดียวที่สู้ในตอนนั้น มายาก็ต้องสู้ด้วย เพราะมีผู้เข้าแข่งขันกว่า 50,000 คน เธอต้องมองหาผมให้เจอ แหวกทั้งคนดูและคนวิ่ง เพื่อส่งไวแอตต์ให้ผมในไมล์ที่ 26" ร็อบบี้กล่าว 

ฉากการส่งไวแอตต์เข้าถึงอ้อมอกของร็อบบี้ คือวินาทีที่เหมือนกับฉากตอนจบของภาพยนตร์ ทุกคนที่รออยู่ ณ ไมล์ที่ 26 ได้เห็นฉากที่มายาส่งไวแอตต์ให้ร็อบบี้ และทุกคนเริ่มตะโกนเชียร์พวกเขาทั้ง 3 คน ไวแอตต์ยังไร้เดียงสาเกินกว่าจะรู้ความ แต่ ณ นาทีนั้น เสียงปรบมือและเสียงเรียกชื่อของเขาดังสนั่น และร็อบบี้ก็เริ่มที่รู้สึกว่าเขาไม่มีทางหยุดกลางคันได้อีกต่อไป

"ผมไม่ได้เป็นคนเจ้าน้ำตานะ แต่ตอนนั้นน้ำตาผมไหลออกมาเองเลย คนรอบตัวในตอนนั้นร้องไห้ แม้กระทั่งคนที่ไม่เคยรู้เรื่องราวของครอบครัวเรา ผมแบกเขาและเราเข้าเส้นชัยไปพร้อมๆกัน ผมรู้สึกว่าผมได้ทำในสิ่งที่วิเศษที่สุดลงไปแล้ว"

"มีหลายคนที่ปักชื่อลูกลงบนเสื้อหรือผ้าเช็ดเหงื่อ แต่ผมแบกไวแอตต์ไว้ด้วยอ้อมอกของตัวเอง ยิ่งใกล้เข้าเส้นชัยเสียงก็ยิ่งดังขึ้น ผมบอกตะโกนให้ทุกคนได้ยิน นี่คือไวแอตต์ ลูกชายของผม และนั่นคือช่วงเวลาที่พิเศษที่สุด"

ภาพถ่ายของการแบกไวแอตต์ และค่อยๆเดินเข้าเส้นชัยของร็อบบี้ ถูกถ่ายไว้โดย อลิซาเบธ กริฟฟิน หนึ่งในผู้ชมในวันนั้น เธออัปโหลดลงในโซเชียลมีเดียของเธอ ภาพของพ่อที่แบกลูกค่อยๆเดิน ท่ามกลางนักวิ่งคนอื่นที่กำลังวิ่งเข้าเส้นชัยให้องค์ประกอบภาพที่ครบถ้วน หลังจากนั้นวันเดียวผู้คนก็อยากรู้เบื้องหลังของภาพนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น? ทำไมชายคนนี้จึงต้องแบกลูกของตัวเองเข้าเส้นชัย?

และเรื่องที่เราเล่ามาทั้งหมดก็ได้ถูกถ่ายทอดออกไปในทุกสื่อใหญ่ทั่วโลก หลายคนได้รับรู้เรื่องราวและประทับใจจนหยิบยื่นความช่วยเหลือ และสนับสนุนโครงการการกุศลของร็อบบี้อย่างล้นหลาม จากความคาดหวังเพียง 3,210 ดอลลาร์ พวกเขาได้เงินบริจาคหลายหมื่นดอลลาร์ มากกว่าที่ตั้งเป้าไว้ถึง 10 เท่า

8

และที่ยิ่งใหญ่กว่าเงินทอง มันคือเรื่องราวการมองโลกในแง่บวกของพ่อคนหนึ่ง ที่เรียนรู้ความเจ็บปวด ความผิดหวัง และความเศร้า จากวันที่ลูกชายคลอดออกมาพร้อมกับดาวน์ซินโดรม เมื่อเขารู้ว่าเขาต้องอยู่กับเรื่องนี้และสู้กับมันไปอีกนาน เขาจึงพร้อมจึงเริ่มลงมือทำทันที ไม่ว่าไวแอตต์ลูกชายของเขาจะหายจากโรคนี้หรือไม่ แต่อย่างน้อยๆ สิ่งที่เขาลงมือทำจะทำให้มีผู้คนที่กำลังลำบากจากโรคดาวน์ซินโดรมได้เจอกับความช่วยเหลือมากกว่าที่เคยเป็น และที่เงินที่ได้จากการบริจาคครั้งนี้จะถูกใช้ในงานวิจัยเพื่อหาทางป้องกันโรคนี้

ถ้างานวิจัยสำเร็จ ความเสี่ยงที่เด็กๆจะเกิดมาพร้อมกับโรคดาวน์ซินโดรมจะลดน้อยลง จะไม่มีหลอดให้อาหารผ่านสายยาง จะไม่มีการผ่าตัดหัวใจตั้งแต่ยังไม่รู้เดียงสา และจะไม่มีความทรมานของพ่อแม่ที่ต้องเห็นลูกเจ็บปวดอีกต่อไป

เพราะชีวิตเปรียบกับการวิ่งมาราธอน ร็อบบี้ เคทเทลล์ อาจจะเจ็บปวดตั้งแต่จุดสตาร์ท ท้อแท้จนอยากจะยอมแพ้เมื่อถึงปลายทาง ทว่าเมื่อมีสติและนึกขึ้นได้ว่า "เราสู้และอยู่เพื่ออะไร?" แรงผลักดันเหล่านั้นจะนำพามาซึ่งชัยชนะที่ยิ่งใหญ่แบบที่ตัวของเขาเองไม่เคยกล้าคิดว่ามันจะเกิดขึ้น

หาก ไวแอตต์ เคทเทลล์ เติบโตขึ้นและหายกลับมาใช้ชีวิตดั่งคนปกติได้ เขาจะต้องภูมิใจในสิ่งที่พ่อของเขาทำอย่างไม่ต้องสงสัย และถ้าวันนั้นมีจริง ร็อบบี้จะรู้สึกว่าการตัดสินใจออกวิ่งของเขาครั้งนี้คือสิ่งที่ถูกต้องที่สุดในชีวิต เท่าที่เขาเคยทำอย่างแน่นอน

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ ของ วิ่งกระเตงฟัด : "ร็อบบี้ เคทเชลล์" กับไวรัลสุดยิ่งใหญ่ใน "นิวยอร์ก มาราธอน"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook