โทนี่ ฮอว์ก : ตำนานนักสเก็ตบอร์ด ที่ร่ำรวยล้นฟ้าจากแฟรนไชส์วิดีโอเกม

โทนี่ ฮอว์ก : ตำนานนักสเก็ตบอร์ด ที่ร่ำรวยล้นฟ้าจากแฟรนไชส์วิดีโอเกม

โทนี่ ฮอว์ก : ตำนานนักสเก็ตบอร์ด ที่ร่ำรวยล้นฟ้าจากแฟรนไชส์วิดีโอเกม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สเก็ตบอร์ด เคยถูกมองว่าเป็นกิจกรรมใต้ดิน เป็นแหล่งรวมตัวของความรุนแรง และกลุ่มวัยรุ่นที่ไม่มีอนาคต

อย่างไรก็ตามหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปตามเวลา เมื่อมีผู้นำในวงการที่แน่วแน่และแสดงความสามารถให้คนวงนอกยอมรับ สเก็ตบอร์ดก็กลายเป็น ป๊อป คัลเจอร์ เป็นอุปกรณ์ที่สื่อถึงความ "เท่และทันสมัย" ได้โดยปริยาย 

และนี่คือเรื่องราวไอดอลแห่งวงการสเก็ตอันดับ 1 อย่าง "โทนี่ ฮอว์ก" จากเด็กสมาธิสั้น สู่มือ 1 ของโลก และผู้สร้างวิดีโอเกมที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยมีมา 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดที่นี่

มรดกจากย่านอันธพาล 

ในช่วงปี 1970s ถือว่าเป็นยุคทองของสเก็ตบอร์ด ไม่ว่าวัยรุ่นที่ไหนก็ถือบอร์ดออกมาพบปะกันในที่สาธารณะ เพื่อแสดงออกถึงความเท่ ความขบถ และการเป็นคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

จุดเริ่มต้นของ สเก็ตบอร์ด คือช่วงยุค 40s-50s ตอนนั้นพวกวัยรุ่นเอากระดานเซิร์ฟบอร์ดมาติดล้อ และเอามาแล่นบนถนน พวกเขาแต่งบอร์ดด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวัน จนเริ่มได้รับความนิยม และเริ่มมีการผลิตสเก็ตบอร์ด เพื่อวางขายในห้างสรรพสินค้า 

อย่างไรก็ตามความนิยมของสเก็ตในยุคนั้นไปไม่สุด เพราะมีการเล็งเห็นว่าเป็นอุปกรณ์ที่อันตรายและง่ายต่อการเกิดอุบัติเหตุ แต่หลังจากนั้นอีกราว ๆ 10-20 ปีต่อมาที่แคลิฟอร์เนีย สเก็ตบอร์ด กลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง เมื่ออยู่ในมือของกลุ่มวัยรุ่นที่ดัดแปลงมันให้ปลอกภัยกว่าเดิม โดยการเพิ่มความกว้างของบอร์ด เปลี่ยนใส่ล้อทำจากยูรีเทนที่มีทั้งความยืดหยุ่นและทดทนกว่าเดิม


Photo : hughholland.com

 

ความปลอดภัยไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สุด เพราะเมื่อขึ้นชื่อว่าวัยรุ่นแล้ว พวกเขามักจะมองหาอะไรที่ท้าทายและเสี่ยงตายอยู่เสมอ พวกเขาไม่ได้คิดถึงชีวิตอะไรมากมายนัก แต่ความสนุกและการได้ทำอะไรที่แตกต่าง คือกุญแจสำคัญที่ทำให้สเก็ตบอร์ดก้าวมาถึงยุคทอง

กลุ่มวัยรุ่นจากย่านอันธพาลอย่าง "ด็อกทาวน์" เหยียบแผ่นสเก็ตด้วยความคิดที่แตกต่าง พวกเขาอยากเป็นที่จดจำด้วยการเล่นสเก็ตต่างไปจากคนทั่วไปที่แค่ไถไปตามท้องถนนเท่านั้น พวกเขาจึงให้กำเนิดการเล่นสเก็ตแบบใหม่ที่ได้ชื่อว่าเป็นสเก็ตแบบลีลาขึ้นมา  

จากที่เคยไถบนถนน วัยรุ่นจากด็อกทาวน์ พาลงไปเล่นในสระน้ำที่มีส่วนโค้งมน พวกเขาเริ่มไถขึ้น-ลงวนเวียนอยู่อย่างนั้น และเล่นท่าที่ยากขึ้นและเสี่ยงอันตรายเพิ่มขึ้น ด้วยความแปลก และแตกต่างนั้นเอง สเก็ตบอร์ด ก็เริ่มได้รับความนิยมกว่าเดิมหลายเท่า เพราะความน่าตื่นตาตื่นใจของเหล่าสเก็ตลีลาเสี่ยงตายจาก ด็อก ทาวน์ กลุ่มนี้ 

นั่นคือมรดกที่เกิดขึ้นจริงและมีอยู่จนปัจจุบัน เรื่องนี้เคยถูกถ่ายทอดในภาพยนตร์เรื่อง Lord Of Dog Town มาแล้ว ... พวกเขาสร้างยุคทองของสเก็ตบอร์ด ไม่ว่าวัยรุ่นที่ไหนก็ถือบอร์ดออกมาพบปะกันในที่สาธารณะ เพื่อแสดงออกถึงความเท่ ความขบถ และการเป็นคนรุ่นใหม่ โดยหนึ่งในเด็กยุคหลังที่ได้อิทธิพลจากกลุ่มเล่นสเก็ตเสี่ยงตายจากด็อกทาวน์ ก็คือ โทนี่ ฮอว์ก ชายผู้ถูกเรียกว่าเป็น "ไอคอน" แห่งวงการสเก็ตบอร์ดจนถึงทุกวันนี้ 


Photo : hughholland.com

 

"เจย์ อดัม เป็นหัวหน้าแก๊งจากด็อกทาวน์ เขาและพรรคพวกคือผู้เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม พวกเขาพาสเก็ตบอร์ดออกจากการวิ่งบนพื้นราบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น" ฮอว์ก กล่าวถึงไอดอลของเขา ตำนานแห่ง ด็อกทาวน์

"ตอนเด็กผมคิดเสมอว่าผมอยากจะเท่ ... อยากจะทำในสิ่งที่ เจย์ ทำ" เขาว่าไว้เช่นนั้น

กว่าจะเป็น โทนี่ ฮอว์ก 

การได้ซึมซับยุคทองมาเต็มที่ทำให้ โทนี่ ฮอว์ก หลงใหลในสเก็ตบอร์ดแบบเต็ม ๆ ตอนที่เหล่าวัยรุ่นจากด็อกทาวน์ครองวงการสเก็ตในแคลิฟอร์เนีย โทนี่ ฮอว์ก เพิ่งเกิดได้ไม่กี่ปีเท่านั้น 

เดิมทีเขาเป็นเด็กมีปัญหาเรื่องสมาธิ เขาสมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่ออะไรได้นาน ๆ การรักษาที่ทำให้เขาหายจากโรคนี้ คือ สเก็ตบอร์ด

 


Photo : tonyhwak.com

กระดานแผ่นแรกของ ฮอว์ก มาตอนที่เขาอายุได้ 9 ขวบ พี่ชายของเขามอบมันให้เป็นของขวัญ จากเด็กที่ไม่เคยจดจ่อกับอะไรได้ เขาเริ่มใช้เวลาไถและเตะสเก็ตทั้งวันทั้งคืน   

ฮอว์ก ยืนยันเสมอว่าแท้จริงแล้วพรสวรรค์มีจริงหรือไม่เขาไม่รู้ แต่การที่เขากลายเป็นโปรสเก็ตระดับแชมป์โลกตั้งแต่อายุ 16 ปีนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดของเขาคือ ความทุ่มเทและความตั้งใจต่างหาก 

"จริง ๆ การใช้สเก็ตบอร์ดมันง่ายกว่าที่คนทั่วไปคิด คุณหยิบมันขึ้นมา วางมันลง เท้าข้างหนึ่งไว้ที่หัว อีกข้างหนึ่งไว้ที่ท้าย โยกไปโยกมาจนทำให้เป็นหนึ่งเดียวกับมัน ผมว่ามันไม่เกี่ยวกับสมดุลร่างกายอะไรนักหนาหรอก สิ่งสำคัญ คือ คุณมีเวลาให้กับมันมากพอหรือเปล่าเท่านั้นเอง" ฮอว์ก พูดถึงเหตุผลที่เขาเก่งสเก็ตตั้งแต่เด็ก 

แม้ไม่มีการเปิดเผยเงินเดือนของ ฮอว์ก สมัยกลายเป็นโปรสเก็ตบอร์ด แต่มีการระบุไว้ในเว็บไซต์ www.sportsrec.com ว่ารายได้ต่อเดือนของการเป็นโปรสเก็ตบอร์ดโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1,000-10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสำหรับ ฮอว์ก ที่ที่ถือว่าเป็นเบอร์ต้น ๆ ของยุค ก็น่าจะพอประมาณได้ว่าเงินเดือนของเขาอยู่บนจุดสูงสุดของพีระมิด หรือราว 10,000 ดอลาร์ดอลลาร์สหรัฐฯ

 


Photo : www.eightieskids.com

หน้าที่ของโปรสเก็ตคือพวกเขาต้องทำงานกับบริษัทที่เป็นเจ้าของสัญญา สำหรับ ฮอว์ก นั้นเซ็นกับทีมที่ชื่อว่า Powell Peralta โดยหน้าที่หลักของเขาคือการทำวิดีโอออกมาโปรโมตสินค้าต่าง ๆ โดยรายการยอดฮิตของเขาในสมัยนั้นมีชื่อว่า Bones Brigade

ส่วนรายได้จากการแข่งขันนั้นไม่เท่ากัน แล้วแต่ขนาดและชื่อเสียงของรายการ ซึ่งตลอดชีวิตของ ฮอว์ก เขาเป็นแชมป์โลก 12 ครั้ง ชนะการแข่งขันแบบทัวร์นาเมนต์ถึง 70 รายการ จนกระทั่งมีชื่อเสียงมากพอ อยู่ในฐานะไอคอนของวงการ เขาจึงเริ่มทำแบรนด์ Tony Hawk เป็นของตัวเอง ซึ่งหลังจากประสบความสำเร็จแล้ว เขามีรายได้อยู่ที่ราว ๆ 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีเลยทีเดียว 

จากสเก็ตที่เคยไถเล่นอยู่บนถนน เขารับอิทธิพลจากเหล่าด็อกทาวน์ และต้องการทำอะไรที่เสี่ยงเหมือนกับที่ไอดอลของเขาทำ เขาอยากจะทำอะไรที่แตกต่าง ที่มันยากในแบบที่ใครทำไม่ได้  

"การได้เป็นคนที่แตกต่างมันยอดเยี่ยมมาก เหตุผลที่คนที่ทำในสิ่งที่แตกต่างได้รับความสนใจจากผู้คน ก็เพราะความไม่เหมือนใครนั่นแหละ คนที่ชอบทำในสิ่งที่แตกต่างจะได้รับความสนใจมากกว่า คนที่เรียกร้องการยอมรับเพียงเพราะเขาเดินตามรอยเท้าคนอื่น ๆ" ฮอว์ก ว่าเช่นนั้น

 


Photo : www.eightieskids.com

ความต่างคืออะไร ? ... ในยุค 70s ของเหล่า ด็อก ทาวน์ สเก็ตบอร์ด ลงไปเล่นในสระน้ำและเริ่มมีท่าทางใหม่ ๆ อย่าง Kickflip, Ollie แต่ในยุค 80s ที่เป็นยุคของ ฮอว์ก นั้น เริ่มมีการตีลังกา, หมุนตัว และทำอะไรเสี่ยง ๆ มากกว่าที่เคยเป็น สำหรับ ฮอว์ก ที่เป็นโปรตอนอายุ 14 ปี และเป็นแชมป์โลกตอนอายุ 16 ปีนั้น ไม่เคยหยุดท้าทายมัจจุราชด้วยสเก็ตบอร์ด อะไรที่เคยทำได้แล้ว เขาจะหาวิธีที่ทำให้มันยากขึ้น และเสี่ยงขึ้น

การเป็นคนแตกต่างและเก่งจริงทำให้หลายคนสนใจ ฮอว์ก ขึ้นมา เขาคว้าแชมป์โลกสเก็ตบอร์ดถึง 12 สมัยติดต่อกัน เหนือสิ่งอื่นใดคือท่าใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในวงการสเก็ตบอร์ดนั้น โทนี่ ฮอว์ก คือ คนแรกบนโลกที่ทำได้ เพราะเขาเป็นผู้คิดค้นขึ้นมาเอง

ตำนานบทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือท่าที่เรียกว่า "900" ท่าเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่สุด เพราะต้องขึ้นแรมป์ (อุปกรณ์ช่วยเพิ่มความเร็วมีลักษณะเป็นแอ่งกะทะ) แล้วลอยตัวขึ้นไปบนฟ้า หมุนตัวแบบ 900 องศา หรือ 2 รอบครึ่ง และกลับมาลงพื้นได้แบบไม่เสียการทรงตัวจนหล่นจากสเก็ต 

ท่า 900 ถือเป็นท่าที่เรียกได้ว่าปลุกกระแสสเก็ตบอร์ดในยุค 90s เลยก็ว่าได้ เพราะในวันที่ ฮอว์ก เลือกจะทำการแสดงท่า 900 นั้น เจ้าตัวเลือกที่จะไปโชว์ท่าดังกล่าวในรายการ X Games ที่เปรียบได้กับมหกรรมกีฬาโอลิมปิกแห่งกีฬาเอ็กซ์ตรีม มีการเก็บค่าตั๋วเข้าชม และมีฝูงชนเข้ามาชมงานนี้เป็นหลักแสนคนเลยทีเดียว

 

"ผู้คนอยากจะเห็นบางสิ่งที่พิเศษจริง ๆ ชาวสเก็ตบอร์ดมารวมตัวกันเพื่อรอดูช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของวงการสเก็ตบอร์ด" ฮอว์ก กล่าวก่อนที่แชลเลนจ์จะเริ่มขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดหลังใช้ความพยายามอยู่หลายสิบครั้ง ฮอว์ก ก็กลายเป็นมนุษย์คนแรกที่ทำท่า 900 ได้สำเร็จในปี 1999 พร้อมกับเสียงเฮสนั่นที่คืนชีพให้วงการสเก็ตบอร์ดกลับมาอีกครั้ง รวมถึงทำให้ โทนี่ ฮอว์ก สถาปนาตนเองเป็นตำนานของวงการ 

"นี่คือวันที่ดีที่สุดในชีวิตของผม สาบานกับพระเจ้าได้เลย" เขาว่าเช่นนั้น 

ความบ้าบิ่นที่ทำได้จริง และการทำให้สเก็ตบอร์ดเป็นกีฬาที่มีความตื่นเต้นเร้าใจถูกใจวัยรุ่นทั่วโลก ทำให้ โทนี่ ฮอว์ก ได้รับรางวัลมากมายในฐานะนักกีฬาเอ็กซ์ตรีมที่โด่งดังที่สุด เขาได้รางวัล Teen Choice Awards และนักกีฬาชายยอดนิยมของ Kid's Choice Awards โดยเอาชนะนักกีฬาระดับโลกอย่าง ชาคีล โอนีล (บาสเกตบอล), ไทเกอร์ วูดส์ (กอลฟ์) และ โคบี ไบรอันท์ (บาสเกตบอล) อีกด้วย

บุกโลกวิดีโอเกม

มีเรื่องราวที่ซ่อนอยู่บนความสำเร็จของ โทนี่ ฮอว์ก ในอดีตคือเมื่อช่วงยุค 90s เขาเปิดบริษัทที่ชื่อว่า Birdhouse ร่วมกับเพื่อนร่วมอาชีพอย่าง เพอร์ เวลินเดอร์ ด้วยกระแสความนิยมที่หดหายไปในช่วงสั้น ๆ บริษัทของเขาจึงต้องเริ่มดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด 

12 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับโปรสเก็ต ต้องยอมรับว่าเป็นจำนวนเงินที่มากที่สุดเท่าที่คนวงการนี้จะทำได้ ไม่ใช่แค่วิดีโอของเขาที่ขายได้ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสเก็ตบอร์ดแบบครบวงจร ทำให้ ฮอว์ก อยู่บนยอดปิระมิดของวงการ 
ถ้า ฮอว์ก หยุดแค่การเป็นโปรสเก็ตเขาจะไม่ต้องประสบกับปัญหาเรื่องรายได้มากนัก แต่ปัญหาคือ ณ เวลานั้นเขาเป็นนักลงทุนตัวยง เงินที่ได้จากการเป็นโปรสเก็ตเบอร์ 1 ของโลก ถูกเปลี่ยนเป็นธุรกิจในมือมากกว่า 12 ธุรกิจ ทั้ง Birdhouse Skateboards, Hawk Clothing และ บริษัทผลิตภาพยนตร์ เขาจึงต้องเดินหน้าหาธุรกิจใหม่ ... ซึ่งที่สุดแล้วธุรกิจที่เขาคิดขึ้นมาเพื่อแก้สถานการณ์นั้น กลับเป็นธุรกิจที่ทำเงินให้เขามากที่สุดเท่าที่เขาเคยทำได้เลยทีเดียว 

ในปลายยุค 90s ต่อ 200s นั้นจะมีอะไรมาทำให้คนเลิกเล่นสเก็ตได้ล่ะ นอกจาก "วิดีโอเกม" หลังจากที่เครื่องเล่น PlayStation 1 วางจำหน่ายก็ถือว่าเป็นช่วงที่เทรนด์ของเด็กวัยรุ่นเปลี่ยนไป เพราะนี่คือคอนโซลเปลี่ยนโลกอย่างแท้จริง เด็ก ๆ อยู่ในบ้านเพื่อเล่นเกมมากกว่าจะออกไปข้างนอก และนั่นทำให้บริษัทของ ฮอว์ก อยากจะจับตลาดนั้นให้ได้ พวกเขาจึงสร้างวิดีโอเกมที่ชื่อว่า Tony Hawk's Pro Skater ที่วางขายในปี 1999 


Photo : gamingdose

เกมสเก็ตของ ฮอว์ก ว่าด้วยการแข่งกันเล่นท่ายาก ๆ เพื่อสะสมแต้มและเอามาวัดกันระหว่างผู้เล่น 2 คน ซึ่งถือว่าได้รับความนิยมอย่างมาก เขาใช้เวลาคิดค้นท่าใหม่ ๆ ยาก ๆ เป็นต้นแบบ ร่วมกับกลุ่มโปรสเก็ตระดับโลก จึงทำให้เกมออกมาสมจริงในแง่ของตัวละคร ที่ใส่เอาต้นแบบโปรสเก็ตระดับโลกใส่ลงไปอย่างครบครัน 

ขณะที่ในส่วนของเกมเพลย์ พวกเขาเลือกทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงความสมจริง แต่คำนึกถึงความสนุกมาเป็นอันดับแรก ท่ายาก ๆ เว่อร์ ๆ สวย ๆ จัดเต็มให้ครบ เรียกได้ว่าเอาไอเดียท่าต่าง ๆ ที่แม้แต่โปรระดับโลกก็มีน้อยคนที่เล่นได้ มาใส่จินตนาการเพิ่ม และยัดลงในเกมให้คนเล่นได้ตื่นตาตื่นใจถึงขีดสุด ยิ่งประกอบกับการใส่ทั้งเสียงดนตรีแนวพังค์ รวมถึงการใส่เสียงพากย์ของเหล่ามือโปรจริง ๆ ก็ทำให้ Tony Hawk's Pro Skater กลายเป็นเกมสเก็ตระดับตำนานและเรียกได้ว่า "ดีที่สุด" ในยุคนั้นเลยทีเดียว 

"ผมเชื่อว่าซีรีส์ของเราถือเป็นตัวเริ่มต้นความคิดของวงการเกมแนวสเก็ตเลย คือถ้าจะมีใครจะทำเกมแนวสเก็ตออกมา พวกเขาก็ต้องทำแบบที่เราทำนี่แหละ" ฮอว์ก เล่าเรื่อง

ไม่มีความสำเร็จใดไม่ถูกต่อยอด โทนี่ ฮอว์ก และทีมงานผู้สร้างก็พัฒนาตัวเกมไปเรื่อย ๆ ทำให้เกม Tony Hawk's Pro Skater มี 2 ภาคใน PS1 และมีภาค 3 และ 4 ใน PS2 กับภาค 5 ใน PS3

แม้เกมของเขาจะถูกมองว่ามีคอนเทนท์ให้เล่นน้อย แต่สำหรับ ฮอว์ก แล้ว เขาเชื่อว่าความสนุกที่แท้จริง คือ การต่อเติมจินตนาการของคนเล่น ใส่ความสนุกให้สุด เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว สำหรับการเป็นเกมระดับตำนาน

ไม่เพียงเท่านั้น เกม Tony Hawk's Pro Skater ได้ทำให้คนเริ่มกลับมาเล่นสเก็ตบอร์ดมากขึ้น เพราะการเล่นท่ายากในเกมน่ะยังเท่ไม่พอ ต้องเล่นท่ายากนั้นในชีวิตจริงได้ด้วยสิ อันนี้เท่สุด ๆ เกมเมอร์สายเด็กบอร์ดมากมาย จึงเริ่มต้นด้วยการทำท่ายากในเกม จดจำทุกท่วงท่าที่เห็นบนหน้าจอ แล้วไถบอร์ดออกไปนอกบ้าน ลอกเลียนแบบท่านั้นให้ตัวเองทำได้ในโลกแห่งความจริง

"นักวิจารณ์ที่ขี้ขลาดมักจะวิจารณ์เกมของผมตั้งแต่ก่อนจะวางขาย หรือก่อนที่พวกเขาเคยเล่นเสียอีก ผมไม่สนหรอก ผมภูมิใจที่เราได้สร้างมันขึ้นมา มันเป็นนวัตกรรมที่เราสร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความสนุกสนานกันแบบจุใจ" ฮอว์ก กล่าวถึงเกมของเขา 

หลังจากนั้น เกมในซีรี่ส์ Tony Hawk's Pro Skater ก็ถูกผลิตออกมาอีกมากมาย แม้ในยุคหลัง ๆ เริ่มได้รับความนิยมน้อยลงไปบ้าง แต่ที่สุดแล้วรายรับโดยรวมของวิดีโอเกมซีรี่ส์นี้ ก็ทำยอดขายไปทั้งหมดกว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว 

รายได้ดังกล่าวทำให้ โทนี่ ฮอว์ก ที่ไม่ได้เล่นสเก็ตเพื่อการแข่งขันอีกต่อไปแล้วได้ส่วนแบ่งจากธุรกิจเกมเป็นหลัก โดย ณ ปัจจุบัน เว็บไซต์ www.celebworth.net บอกว่าเขามีทรัพย์สินรวม 140 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หากเปรียบเทียบกับตอนที่เขายังวัยรุ่นและเป็นสุดยอดนักกีฬาเอ็กซ์ตรีมนั้น จะเห็นได้ว่ารายได้ของ ฮอว์ก เพิ่มมากกว่าเดิมถึง 10 เท่า


Photo : www.eightieskids.com

และหากจะเทียบให้ชัดกว่าเดิมอีก คือเมื่อเขาเป็นโปรสเก็ต เขามีรายได้จากการเล่นสเก็ตเพียว ๆ อยู่ที่ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน แต่เมื่อมีซีรี่ส์เกมอยู่ในมือ เขามีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนราว 1.89 ล้านดอลลาร์ ... เยอะกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า 

ไม่ว่าจะในฐานะผู้พาสเก็ตบอร์ดก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ หรือในฐานะหนึ่งในผู้ร่วมผลิตวิดีโอเกมสเก็ตบอร์ดที่ประสบความสำเร็จที่สุด สิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้เลยคือ เขาผูกพันกับสเก็ตบอร์ดมาทั้งชีวิต และเขาใช้เวลากับมันมากพอจนสามารถตกผลึกได้ว่า จะเล่นสเก็ตให้เก่งที่สุดต้องทำอย่างไร และจะทำเกมให้สนุกที่สุดต้องใส่อะไรลงไปบ้าง 

เพราะความชอบและรักในสิ่งที่ทำอย่างจริงจัง ทำให้แม้โลกนี้จะมีโปรสเก็ตมากหน้าหลายตา แต่ทุกวันนี้ชื่อของ โทนี่ ฮอว์ก ก็ยังคงเป็นที่ 1 ในสายตาของคนส่วนใหญ่เสมอ 

"นิยามความสำเร็จของผมน่ะเหรอ ? ง่าย ๆ เลยคือการได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก ผมรู้สึกว่าหลายคนไม่กล้าทำตามหัวใจตัวเองเพราะพวกเขารู้สึกว่ามีสิ่งที่จำเป็นกว่าต้องทำ พวกเขาลังเลแม้กระทั่งความหลงใหลของตัวเอง ผมไม่ปฎิเสธหรอกว่าจะประสบความสำเร็จมันเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าคุณได้ลองดู คุณจะรู้ว่าการทำในสิ่งที่ชอบมันเหมือนการได้ปลดล็อกคุณสู่อิสระ ทำให้คุณกล้าเริ่มอะไรใหม่ ๆ"

"ที่สุดแล้วคุณอาจจะไม่สามารถเดินไปยังจุดสูงสุดของอาชีพได้ แต่ถ้าคุณทำในสิ่งที่คุณรักแล้วล่ะก็คุณจะได้รับความสุขกลับมา ซึ่งผมว่านั่นมากกว่าเงินทองหรือชื่อเสียงซะอีก" โทนี่ ฮอว์ก กล่าวทิ้งท้าย 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook