เริ่มช้าดีกว่าไม่กล้าเริ่ม : "แอนโธนี่ โจชัว" ช่างก่ออิฐแชมป์โลกที่หัดมวยตอนอายุ 18 ปี
คำที่ถูกค้นบ่อย
    Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060
    //s.isanook.com/sp/0/ud/238/1190870/cc.jpgเริ่มช้าดีกว่าไม่กล้าเริ่ม : "แอนโธนี่ โจชัว" ช่างก่ออิฐแชมป์โลกที่หัดมวยตอนอายุ 18 ปี

    เริ่มช้าดีกว่าไม่กล้าเริ่ม : "แอนโธนี่ โจชัว" ช่างก่ออิฐแชมป์โลกที่หัดมวยตอนอายุ 18 ปี

    2021-02-11T09:24:00+07:00
    แชร์เรื่องนี้

    เราเชื่อว่าหลายๆคนมีไอเดียอยู่เต็มหัวสมอง และคิดเสมอว่าไอเดียเหล่านี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทว่าปัญหาเดียวที่ทำให้ไอเดียเหล่านั้นยังไม่ได้รับการพิสูจน์ก็เพราะว่า เราไม่กล้าลงมือทำเสียที

    ข้ออ้างสารพัดที่สร้างขึ้นมาเพื่อปลอบใจตัวเอง และหนึ่งในนั้นคือ "คนอื่นเขานำไปเยอะแล้ว เริ่มตอนนี้คงช้าไป".. ถ้าคุณคิดอย่างนั้น เราอยากให้คุณได้รู้เรื่องราวการเดินทางของ แอนโธนี่ โจชัว นักชกแชมป์โลกขวัญใจคนอังกฤษ ที่เริ่มหัดชกมวยเมื่อตอนอายุ 18 ปี  

    และเรื่องของเขาจะทำให้คุณเข้าใจว่า เหตุใดคุณควรจึงกล้าเสี่ยง แม้ว่าบางครั้งจะรู้ทั้งรู้ว่าช้าเกินไป? ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ที่นี่

    รู้จักวิธีเอาชนะความกลัว 

    ว่ากันว่า "คนเราไม่ได้กลัวการเริ่มทำตามความฝัน แต่พวกเขากลัวการเปลี่ยนแปลงต่างหาก" เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น?

    แท้จริงแล้วการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นเรื่องปกติของโลกใบนี้ แต่ที่คนเรากลัวและคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ปกติ นั่นก็เป็นเพราะหลากหลายเหตุผล เช่น ความเคยชิน เพราะบางครั้งเราก็คุ้นเคยกับสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เจอเป็นประจำ นานวันเข้าสิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นวิถี จนทำให้เราไม่กล้าที่ออกไปเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงหรือเสี่ยงเพื่อสิ่งที่ดีกว่า 

    นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายปัจจัย เช่น การดูถูกความสามารถตัวเอง การกลัวว่าจะต้องทำงานหนักกว่าที่เคย จนกลายเป็นการวิตกกังวลถึงอนาคตที่มากเกินไป ไม่ใช่แค่คุณที่เคยเจอกับความคิดเหล่านี้ แอนโธนี่ โจชัว ก็เคยประสบกับสิ่งนี้เช่นกัน

    1

    แอนโธนี่ โจชัว เกิดที่เมืองวัตฟอร์ด ประเทศอังกฤษ โดยเป็นลูกครึ่งไนจีเรีย-อังกฤษ ก่อนที่พ่อแม่จะแยกทางกันตอนเขาอายุได้แค่ 4 ขวบ และ โจชัว นั้นอยู่ภายใต้การเลี้ยงดูของแม่ ซึ่งเป็นชาวไนจีเรีย (คุณพ่อมีทั้งเชื้อสายไนจีเรียกับไอริช) 

    เขาเติบโตและคุ้นเคยกับเมืองวัตฟอร์ดเป็นอย่างมาก เขาบอกเสมอว่าเขาภูมิใจที่ได้เกิดที่นี่ เขามีเพื่อนฝูงที่คอยเล่นสนุกด้วยกันมากมาย มีอิสระอย่างเต็มที่ เหมาะกับเด็กวัยกำลังโตและเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ทว่าในขณะที่เขาคุ้นเคย การเปลี่ยนแปลงก็มาเยือน แถมยังเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิตเลยทีเดียว 

    เมื่ออายุ 11 ปี ครอบครัวของเขามีเหตุให้ต้องกลับไปใช้ชีวิตที่ประเทศไนจีเรีย อันเป็นบ้านแม่ของเขา สำหรับเด็กที่โตในอังกฤษ ประเทศแสนศิวิไลซ์ การได้ยินว่าต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในทวีปแอฟริกานั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำใจกันง่ายๆ แม้ว่าไนจีเรียจะถือว่าเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดในทวีป แต่ โจชัว ผู้มีตำแหน่งเป็นหัวโจกของกลุ่มเพื่อนที่วัตฟอร์ด จะต้องถูกส่งเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำที่ชื่อว่า เมย์ฟลาวเวอร์ 

    โรงเรียนนี้ถือเป็นโรงเรียนของคนมีเงินในไนจีเรียเลยทีเดียว ทว่าเป็นโรงเรียนประจำที่เน้นเรื่องวินัยแบบเข้มงวดที่สุด แม้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกจะครบครัน แต่เด็กๆที่นี่จะถูกสอนให้รู้จักเคารพความสามารถของตัวเอง และต้องดูแลตัวเองให้ได้ เมื่อใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เด็กๆต้องทำเองแทบทุกอย่าง และหากใครคิดทำผิดกฎหรือต่อต้าน ต้องถูกลงโทษ.. นี่คือชีวิตที่ว่าห่างกันแบบสุดขั้วกับ 11 ปีที่เขาใช้ชีวิตในอังกฤษเลยทีเดียว

    2

    "ที่นั่นคือวินัยอีกระดับหนึ่งเลย ทุกตี 5 จะมีเจ้าหน้าที่เข้ามาในห้องนอนและปลุกให้พวกเราตื่น ถ้าคุณอยากนอนต่อเหรอ? ได้เลย แต่จงรู้ไว้ว่าปัญหาร้ายแรงจะตามมาแน่" โจชัว เล่าระลึกความหลัง 

    "ทุกอย่างต้องเป๊ะ เราจะรีดเสื้อผ้าเองตอนเช้าและซักมันในตอนกลางคืน เราต้องเคารพรุ่นพี่หรือคนที่อายุเยอะกว่าเสมอ ทุกเช้าเราต้องลุกไปหาบน้ำมาใส่ถังเพื่ออาบเอง อย่าคิดว่าจะจบล่ะ บางครั้งเด็กที่โตกว่าคุณก็จะยื่นถังน้ำของเขาให้คุณแล้วบอกว่า 'ไปตักให้หน่อยดิ๊' คุณจะไม่ทำก็ไม่ได้ด้วยนะ ผมจะบอกให้" 

    โจชัว ที่เคยเป็นหัวโจกและตัวแสบสมัยที่อยู่วัตฟอร์ด จึงต้องทำในสิ่งที่เขาพอจะทำได้กับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ นั่นคือ "จงเรียนรู้" ถ้ามัวแต่กลัวและอยู่อย่างหวาดระแวง ไม่มีทางที่จะมีความสุขกับชีวิตนักเรียนที่ไม่มีทางหนีได้ นั่นคือสิ่งที่ โจชัว ในวัยเด็กตกผลึกได้อย่างรวดเร็ว

    "คุณต้องเริ่มใช้ความฉลาดก่อนเป็นอันดับแรก อยู่ให้เป็น ปรับตัวกับสังคมและสภาพแวดล้อมให้ได้ และผมสามารถทำมันได้ ผมกลายเป็นเพื่อนของกลุ่มรุ่นพี่ จากนั้นผมก็สบายเลย เอ็นจอยขึ้นเยอะ"

    "การเปลี่ยนแปลงนำมาซึ่งการเรียนรู้ ผมเรียนรู้มากมายที่ไนจีเรีย ผมใช้เวลาออกมาข้างนอกบ้าง พูดคุยกับคนท้องถิ่น ดูวิถีชีวิตของผมเขา พวกเขาทำงานอะไรกันบ้าง? ผมพอจะช่วยใครได้ไหม? ผมพยายามทุกอย่างแม้กระทั่งการพูดภาษาท้องถิ่น ผมรู้ทั้งศัพท์แสลงและสำนวนของชาวบ้านแถวนั้นหมดเลย" 

    3

    การเริ่มต้นใหม่กับอะไรสักเรื่องนั้นน่ากลัวเสมอ แอนโธนี่ โจชัว ผู้แข็งแกร่งก็คิดเช่นนั้น แต่เขาเลือกรับมือกับมันด้วยความฉลาด กล้าหาญ และมองหาเส้นทางที่จะทำให้ตัวเองสู้กับความกลัวนั้นอย่างมีความสุขให้ได้ ป้องกันตัวเองด้วยความเข้าใจและความกล้า จากนั้นความกลัวก็เป็นแค่สิ่งที่คิดขึ้นมาเองเท่านั้น 

    "สิ่งที่ได้เรียนรู้และดีที่สุดในไนจีเรียน่ะเหรอ? ที่นั่นสอนให้ผมรู้จักวิธีป้องกันตัวเองไงล่ะ" โจชัว กล่าวทิ้งท้าย และหลังจากนั้นชีวิตที่ต้องใช้การป้องกันเป็นดังอาวุธของเขาจึงได้เริ่มต้นขึ้น

    รับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้วยการวางแผน 

    ปีเดียวที่ไนจีเรีย ลำบากและน่าจดจำมากพอจนทำให้ แอนโธนี่ โจชัว สักแผนที่ประเทศไนจีเรียไว้ที่ไหล่ขวาในภายหลัง เพื่อเตือนตัวเองว่าเขาภูมิใจแค่ไหนที่ผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้.. 

    เมื่ออายุ 12 ปี เขาและครอบครัวกลับมาอยู่ที่อังกฤษอีกครั้ง ในเมืองวัตฟอร์ดเหมือนเดิม หนนี้เขาเปลี่ยนแปลงไปแบบไม่รู้ตัว การปรับตัวและเรียนรู้จากที่ไนจีเรียทำให้เขาแข็งแกร่งผิดปกติ ชนิดที่ว่าเด็กรุ่นไล่ๆกันเทียบไม่ติด

    4

    "ผมกลับมาที่วัตฟอร์ดตอนอายุ 12 ปี ก็เจอหน้ารุ่นพี่รุ่นน้องที่อยากจะรับน้องผมทันที เขาอยากจะลองว่าผมเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เขาบอกให้ผมลองชกที่ท้องของเขาดู ทันทีที่เขาสั่งผมก็ซัดเต็มข้อ ตู้ม!.. เท่านั้นแหละ ผมถึงได้รู้ว่าเมื่อกลับมาจากไนจีเรีย ร่างกายผมแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลย" 

    ความแข็งแกร่งของโจชัว บวกกับการเป็นเด็กตัวใหญ่ ทำให้เขาเล่นกีฬาเก่งแทบทุกอย่าง แต่แค่ไม่เคยชกมวยจริงจังเท่านั้นเอง เวลาผ่านไปเกือบ 6 ปีหลังจากกลับมาจากไนจีเรีย โจชัว มีโอกาสได้ใส่นวมลองชกครั้งแรก และมันทำให้เขารู้สึกว่า "ไปอยู่ที่ไหนมา? ทำไมเพิ่งมารู้จักชกมวยเอาตอนนี้?"

    เขาอายุ 18 ปีแล้ว และสำหรับนักมวยอาชีพนั้น น้อยคนมากที่จะเริ่มต้นฝึกมวยจริงจังหลังอายุ 15 ปีเป็นต้นไป.. ไมค์ ไทสัน ต่อยระดับสมัครเล่นตั้งแต่อายุ 16 ปี, ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ เป็นแชมป์โลกโอลิมปิกจูเนียร์, แมนนี่ ปาเกียว หัดชกมวยตั้งแต่จำความได้ แต่ แอนโธนี่ โจชัว นั้นเพิ่งมาฝึกพื้นฐานตอนอายุ 18 และนี่ถือว่าเป็นอะไรที่ช้ามากสุดๆ หากเขาหวังจะเป็นนักชกอาชีพระดับแชมป์โลก นี่คือเส้นทางที่ยากมากๆที่จะไปถึงจุดนั้นได้ 

    "ผมไม่เคยเข้าโรงยิม ตอนเด็กๆผมบ้าเตะฟุตบอล เตะทั้งวี่ทั้งวัน แต่พอได้มาลองชกมวยดูแล้ว เชื่อมั้ยล่ะ? ผมไม่เคยกลับไปเล่นกีฬาอื่นอีกเลย และแปลกมากที่ผมรู้ว่าชีวิตนี้ผมไม่เคยมีวินัยกับสิ่งไหนมากเท่ากับการชกมวยอีกแล้ว.. ผมไม่รู้ผมไปอยู่ไหนมา ทำไมเพิ่งมารู้ตัวเอาป่านนี้ ผมไม่เคยดูมวยในโทรทัศน์เลยด้วยซ้ำ ณ ตอนนั้น" โจชัว เล่าย้อนความ 

    5

    เริ่มช้าดีกว่าไม่เริ่ม โจชัว เอาจริงกับการชกมวยอย่างที่เขาบอก สิ่งที่ต้องยอมใจคือ เขาคิดภาพอนาคตและวางแผนไว้ไกล เขาหวังที่จะได้เหรียญทองโอลิมปิก และเป็นแชมป์โลก ประเด็นสำคัญที่สุดคือเขาไม่ได้แค่หวัง แต่เขาพยายามทำอย่างถึงที่สุดโดยแท้จริง 

    โจชัว เริ่มชกปี 2008 และกลายเป็นนักชกมวยสมัครเล่นระดับพอมีทรง ด้วยความแข็งแรงของร่างกายและเป็นมวยสมองในเวลาเดียวกัน หลายคนอาจจะไม่รู้ว่างานอดิเรกของ โจชัว ตั้งแต่อยู่ไนจีเรียคือการเล่นหมากรุก และเขาพูดเสมอว่า หมากรุกทำให้เขาได้ฝึกทักษะการวางแผนและกลยุทธ์ต่างๆ ซึ่งสามารถเอามาปรับใช้กับการชกมวยได้เป็นอย่างดี 

    "หมากรุกก็เหมือนชกมวย การเดินแต่ละครั้งก็เหมือนกับคุณอยู่บนสังเวียน คุณมองหาวิธีกินคู่ต่อสู้ให้ได้ หยุดการเดินหน้าของพวกเขา และตอบโต้ด้วยการโจมตีกลับ คุณต้องคิด 2 ชั้นตลอดเวลา" โจชัว ว่าไว้

    6

    ความสมบูรณ์แบบที่ได้ทั้งบู๊และบุ๋นทำให้มีเอเย่นต์มาติดต่อเขาเข้าสังกัด โดยมีค่าเซ็นสัญญา 50,000 ปอนด์ เพื่อให้ โจชัว เทิร์นโปร.. ต้องเข้าใจก่อนว่าบ้านเขาไม่ได้ร่ำรวยอะไร ในช่วงที่เขาเป็นนักมวยสมัครเล่น รายได้ไม่ค่อยดีนัก และเขาต้องทำมันพร้อมๆกับการเรียนในมหาวิทยาลัยด้วย ด้งนั้น เขาจึงเคยมีอาชีพเป็นคนรับจ้างก่ออิฐในไซต์งานก่อสร้างจากการชักจูงของลูกพี่ลูกน้อง ที่ช่วยทำให้ โจชัว มีเงินใช้จ่ายในแต่ละเดือน 

    50,000 ปอนด์ คือเงินที่เยอะมากสำหรับคนที่มีอาชีพก่ออิฐ หากเป็นคนอื่นคงจะเลือกเดินทางนี้ไปแล้ว ทว่า โจชัว ปฎิเสธเงิน 50,000 ปอนด์ดังกล่าว เพราะเขารู้ดีกว่านี่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ประสบการณ์เขายังน้อย เขาจะตั้งเป้าไปที่การชิงเหรียญทองโอลิมปิกที่สหราชอาณาจักรเป็นเจ้าภาพในปี 2012 ก่อน นั่นคือช่วงเวลาที่เขาพร้อมที่สุด และสามารถเป็นนักมวยอาชีพได้ดีกว่าการกระโดดเข้าไปเพียงเพราะค่าจ้าง 50,000 ปอนด์.. นี่คือการเดินหมากชีวิตที่คิด 2 ชั้นตามที่เขาเคยบอกอย่างแท้จริง 

    7

    "ปีแรกในการฝึกมวย สเต็ปเท้าของเขาแย่มาก เขาถือเป็นลูกศิษย์ระดับบ๊วยๆของผมเลย" นี่คือคำกล่าวของครูฝึกคนแรกของเขา และเป็นเหตุผลที่ทำให้ โจชัว ต้องการฝึกพื้นฐานให้แน่นและพิสูจน์ตัวเองให้ได้ก่อนจะเหยียบบันไดขั้นต่อไป

    สุดท้ายจากการฝึกมวยเพียง 4 ปี แอนโธนี่ โจชัว มาไกลจนถึงขั้นคว้าเหรียญทองโอลิมปิกในรุ่นเฮฟวี่เวตได้จริงๆ ซึ่งหลังจากไม่มีอะไรต้องพิชิตอีกแล้วในระดับสมัครเล่น โจชัว ก็ได้เวลาเดินหน้าเข้าหาความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง นั่นคือโลกของมวยอาชีพ.. ที่ยากกว่าเยอะ แต่ก็ทำเงินได้มากกว่าแยะเช่นกัน

    ลำบากก่อนยิ่งใหญ่ทีหลัง 

    ไม่มีการเดินทางไปถึงฝันใหญ่ครั้งใดหรือของใครก็ตามที่จะโรยด้วยกลีบกุหลาบ อุปสรรคและปัญหาจะเกิดขึ้นแน่นอนแบบไม่มีทางหนีพ้น.. เลิกกลัว แล้วพุ่งเข้าใส่มันจะดีกว่า หากคุณได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว 

    8

    หลังจากคว้าเหรียญทองโอลิมปิกในปี 2012 โจชัว ตัดสินใจเทิร์นโปรทันที และหลังจากนั้นทุกคนรู้ดีว่าอะไรเกิดขึ้น เขาเริ่มชกอาชีพภายใต้สังกัด Matchroom Sport ของโปรโมเตอร์รุ่นใหม่ไฟแรง เอ็ดดี้ เฮิร์น ก่อนฉายแววแบบสุดๆ

    ไฟต์ประเดิมสังเวียนระดับอาชีพเมื่อปี 2013 เขาเอาชนะ เอ็มมานูเอล เลโอ จาก อิตาลี แบบ TKO ในยกแรก และทำสถิติชนะต่อเนื่อง ทำให้เขาเริ่มถูกจับตามองในระดับสากล ไต่ขึ้นไปอย่างไม่หยุด จนถึงแมตช์สร้างชื่อที่เอาชนะ วลาดิเมียร์ คลิตช์โก้ ยอดนักชกจากยูเครนในปี 2017 จากนั้นเขาก็ดังเป็นพลุแตก กวาดแชมป์โลกได้มากมายหลายสถาบัน และกลายเป็นบุคคลทรงอิทธิพลของชาวอังกฤษไปโดยปริยาย 

    9

    เขาเคยทำสถิติขึ้นชกโดยมีคนดูเข้าไปชมในสนามถึง 80,000 คน เหนือสิ่งอื่นใด คือเรื่องราวความสำเร็จของเขาตั้งแต่ก้าวแรกจนก้าวปัจจุบัน ถูกยกย่องให้เป็นแรงบันดาลใจระดับประเทศว่า ที่สุดแล้วความฝันจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อลงมือทำ และต่อให้เริ่มต้นช้าแค่ไหนก็จงอย่ากลัวที่จะเริ่มต้น เพราะไม่มีใครรู้อนาคตในภายภาคหน้า.. ลองทำดูเท่านั้น คุณถึงจะรู้ว่าคุณสามารถทำมันได้ดีหรือไม่?

    และถ้าจะให้ดีที่สุดสำหรับการเอาชนะการเปลี่ยนแปลง คือการพยายามสู้และทุ่มทุกอย่างที่มี แม่ของ โจชัว เล่าว่าก่อนที่เขาจะมาเป็นแชมป์โลกแบบเริ่มต้นช้าได้ ไม่ใช่แค่เขามีพรสวรรค์อย่างเดียว 4 ปีในช่วงเป็นมือสมัครเล่น โจชัว มีกิจวัตรเพียง นอน ตื่น กิน และซ้อมมวยเท่านั้น เขาทำมันซ้ำๆจนทำให้ปริมาณการฝึกแค่ 4 ปี กลายเป็นช่วงเวลาฝึกที่เต็มไปด้วยคุณภาพ และแน่นอนถ้าเขาไม่เสียสละตัวเอง เขาไม่มีทางทำได้ขนาดนี้ 

    10

    "คุณอยากจะแข็งแกร่งและเป็นผู้ชนะไหม? ถ้าใช่ จงยืนรับหมัดน็อคจากชีวิตด้วยความกล้าทั้งหมดที่มี ถ้าคุณโดนมันอัดแล้วคุณต้องอย่าถอย ยิ่งฝันของคุณสูงมากเท่าไหร่ คุณยิ่งต้องห้ามหวั่นไหวเด็ดขาด ผมคิดเสมอว่าตัวเองจะเป็นแชมป์โลกได้ตั้งแต่วันที่ผมใส่นวมครั้งแรก และการจะเป็นแชมป์ได้นั้น ผมเชื่อมั่นในความพยายามให้หนักกว่าคนอื่นเสมอ ไม่งั้นไม่มีทางเป็นที่ 1 ได้แน่นอน" โจชัว กล่าวทิ้งท้าย 

    จากไนจีเรียถึงผู้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของประเทศอังกฤษ ชีวิตของ แอนโธนี่ โจชัว เผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงและท้าทายอยู่เสมอ สิ่งเดียวที่ทำให้เขามีเข็มขัดแชมป์โลกอยู่ที่เอวและกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลระดับประเทศได้ คือการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและท้าทายนั้นด้วยสติ ความเชื่อ และความมุ่งมั่น.. ชีวิตไม่เคยง่าย แต่โอกาสเอาชนะนั้นมีอยู่เสมอ ขึ้นอยู่กับว่าคุณกล้าจะลุกขึ้นมาเสียสละตัวตนเพื่อเอาชนะมันหรือไม่

    11
    12
    แด่คุณที่กลัวการเปลี่ยนแปลงมาทั้งชีวิต.. นี่คือสิ่งที่เราได้จากเรียนรู้จากชีวิตของแชมป์โลกชาวอังกฤษคนนี้.. แอนโธนี่ โจชัว

    อัลบั้มภาพ 12 ภาพ

    อัลบั้มภาพ 12 ภาพ ของ เริ่มช้าดีกว่าไม่กล้าเริ่ม : "แอนโธนี่ โจชัว" ช่างก่ออิฐแชมป์โลกที่หัดมวยตอนอายุ 18 ปี