สำรวจความคิด "ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์" ปีที่เปลี่ยนไปจากเด็กม.ปลายสู่ทีมชาติ

สำรวจความคิด "ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์" ปีที่เปลี่ยนไปจากเด็กม.ปลายสู่ทีมชาติ

สำรวจความคิด "ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์" ปีที่เปลี่ยนไปจากเด็กม.ปลายสู่ทีมชาติ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"ตอนเด็กผมตัวเล็กและไม่ค่อยแข็งแรง ผมมีความฝันอยากไปค้าแข้งในยุโรป แต่เพื่อนร่วมห้องบางคนเวลาได้ยินก็ขำ เพราะเขาไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้"

เสื้อแมตช์วอร์นทีมชาติไทยตัวหนึ่ง ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี ภายในบ้านของครอบครัว "เรืองฐณโรจน์" เพราะนี่คือสมบัติแห่งความภาคภูมิใจ ที่แลกมาด้วยหงาดเหงื่อแรงกาย และความพยายามตลอดระยะเวลาหลายปีของทายาทประจำตระกูล 

ถอยหลังกลับไปในบ้านหลังเดียวกัน เมื่อสิบกว่าปีก่อน "ด.ช. ฉัตรมงคล" ถูกตรวจพบว่าเป็นโรคหอบหืด คำแนะนำจากคุณหมอผู้วินิจฉัย บอกให้เด็กน้อยคนนั้น ควรหากีฬาเล่นเพื่อเอาชนะอาการเจ็บป่วยที่ติดตัวมา

1

"ฟุตบอล" คือกีฬาที่ ฉัตรมงคล เลือกใช้เพื่อการรักษาอาการหอบหืด แต่หลังจากนั้น เขาเล่นมันต่อเพราะความรักล้วนๆ โดยมีสองความฝันที่อยากทำให้เป็นจริง 

ฝันแรก นาย - ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์ ทำสำเร็จตอนศึกษาอยู่ระดับชั้น ม.6 นั่นคือการลงสนามให้ทีมชาติไทยชุดใหญ่ ในขณะที่นักเตะจำนวนมากใช้เวลาแทบทั้งชีวิตก็ไม่เคยได้รับโอกาสนั้น ส่วนอีกเป้าหมาย เขาหวังว่ามันจะเกิดขึ้นสักครั้งในช่วงอาชีพการค้าแข้ง

2

บ่ายสามโมงตรงในวันธรรมดา เป็นเวลาที่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันกำลังเข้าสู่คาบเรียนสุดท้าย แต่ ฉัตรมงคล เดินทางถึง ชลบุรี สเตเดียม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการฝึกซ้อมประจำวัน อันเป็นส่วนหนึ่งในหน้าที่ความรับผิดชอบของอาชีพที่เขาทำ

เราไม่อาจทราบได้เลยว่า ฉัตรมงคล เสียเหงื่อไปแล้วเท่าไหร่บนพื้นหญ้าก่อนความฝันแรกเป็นจริง? ในปีที่เขาพบเจอความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก้าวกระโดดจากบอลนักเรียนขึ้นมาเป็นตัวแทนคนทั้งชาติ.. เขามีมุมมองความคิดอย่างไร เกี่ยวกับทุกสิ่งที่ผ่านพุ่งเข้ามาหาเขาในขวบวัย 18 ปี?

3

ความฝันในวัยเด็กของ ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์ คืออะไร? 

เวลาครูถามในห้องว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร? เด็กคนอื่นคงตอบ ไม่ "หมอ, พยาบาล, ทหาร ก็ตำรวจ" แต่ผมเป็นเด็กที่ฝันไกลและเกินตัวมาก คือหนึ่ง ผมอยากติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ และสอง ได้ไปเล่นฟุตบอลอาชีพในยุโรป 

ผมยังจำได้เลยว่า เพื่อนร่วมห้องบางคนเวลาได้ยินเขาก็ขำ ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้หรอกครับ เพราะตอนเด็กผมตัวเล็กไม่ค่อยแข็งแรง เป็นโรคหอบหืด ร่างกายอ่อนแอ ป่วยง่ายมาก คุณหมอก็ให้หากีฬาเพื่อออกกำลังกาย ผมจึงเล่นบอลมาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ

4

เวลามีคนมาตลกกับความฝันของคุณ มันน่าหงุดหงิดไหม?

ตอนเด็กก็ไม่ชอบหรอกครับ ที่ใครมาหัวเราะเยาะเย้ยกับความฝันของเรา แต่ทุกวันนี้พอมองย้อนกลับไป ผมคิดว่าคงพิสูจน์ให้เพื่อนๆได้เห็นแล้วว่า ผมจริงจังกับเป้าหมายที่เคยพูดในวันนั้น

5

เท่ากับว่า คุณเริ่มต้นเส้นทางนี้ด้วยต้นทุนด้านร่างกายที่ด้อยกว่าคนอื่น เพราะเป็นเด็กตัวเล็ก แถมป่วยเป็นโรคหอบอีก พอมันยากกว่าคนอื่น มันสอนให้คุณเติบโตมาอย่างไร?

ผมรู้ตัวเองเสมอว่าเราไม่ใช่คนที่เก่ง หรือคนที่โดดเด่นในทีม ดังนั้น ผมต้องใช้ความพยายามตลอดเวลาเพื่อคว้าโอกาส 

6

อย่างตอนแรกผมไม่ได้ถนัดเท้าซ้ายนะ เป็นคนถนัดขวา แต่ช่วงตอนเด็ก มีโค้ชบอกให้ผมลองเปลี่ยนมาฝึกเท้าซ้ายเถอะ เพราะนักบอลเท้าขวามันธรรมดาเกินไป ผมจึงต้องปรับมาฝึกเล่นบอลเท้าซ้าย ซึ่งก็กลายเป็นผลดีกับผมในตอนนี้

เช่นเดียวกับตำแหน่งการเล่น ก่อนเข้าอคาเดมี "ชลบุรี เอฟซี" ผมเป็นคนที่ไม่ได้มีตำแหน่งที่คิดว่าตัวเองเล่นได้ดีเลย ผมเล่นปีกบ้าง กองกลางบ้าง เคยแม้กระทั่งไปลองเป็นผู้รักษาประตู เปลี่ยนไปเรื่อย แต่ก็ไม่รุ่ง สักตำแหน่ง (หัวเราะ)

พอเข้าอคาเดมี พ่อผมก็สอนว่า "หากคิดเอาดีทางสายนี้ ควรต้องเลือกสักตำแหน่ง" ท่านก็แนะนำให้ผมเล่นแบ็กหรือปีก เพราะเหมาะกับรูปร่างผม กว่าผมจะมาถึงที่เป็นอยู่ตอนนี้ มันไม่ง่ายเลยครับ ผมต้องใช้ความพยายามเยอะมาก 

7

ไทยลีก เป็นการแข่งขันอีกระดับที่สูงกว่าบอลนักเรียน คุณก้าวผ่านกำแพงนั้นมาได้อย่างไร? เพราะไม่กี่เดือนก่อน คุณยังเล่นฟุตบอลมัธยมฯ อยู่เลย อันที่จริงก็มีเด็กจำนวนไม่น้อยไม่สามารถขึ้นมาเล่นลีกสูงสุดได้ 

8

ผมอาจโชคดีตรงที่ตอนเป็นเยาวชน ชลบุรีฯ ให้โอกาสผมเล่นข้ามรุ่นอายุตลอด ก็ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากตรงนั้นมาปรับใช้ 

ถึงแม้จะเป็นแค่บอลนักเรียน ผมก็ยังรู้สึกเลยว่ามันยาก และผมคิดว่าตัวเองตอนนั้นเล่นได้ด้อยสุดในทีมเลย บางครั้งไปแข่งกับโรงเรียนอื่น ก็เห็นเด็กคนอื่นเขาเก่งกว่าเรานะ 

ถ้ามีอะไรที่ผมรู้สึกว่าตัวเองยังบกพร่อง หรือคิดว่าทำได้ไม่ดีพอ ผมก็จะเอามาปรับปรุงพัฒนาตัวเอง เพราะผมรู้ว่า ไม่ใช่เด็กอคาเดมีทุกคนที่ขึ้นชุดใหญ่ จะได้เป็นตัวจริงหรือมีโอกาสลงสนาม

9

ในอนาคตหากวันหนึ่งที่ผมถูกเรียกขึ้นไป ผมก็จำเป็นต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งในทีมกับนักฟุตบอลอาชีพรุ่นพี่ ที่เขามีประสบการณ์มากกว่า ถ้าผมไม่พยายามให้พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น โอกาสเหล่านั้นมันก็จะหลุดลอยไป

คุณอยู่ในอคาเดมี ชลบุรี เอฟซี มาเป็นระยะเวลา 7-8 ปี เคยแต่นั่งดูทีมชุดใหญ่จากบนอัฒจันทร์ พอถึงวันหนึ่งคุณต้องลงไปเล่นเอง คุณปรับเปลี่ยนตัวเองไปอย่างไรบ้าง?

ตอนผมเป็นนักเตะเยาวชน สโมสรพามาดูทีมชุดใหญ่แทบทุกสัปดาห์ ผมยังเคยคิดเลยว่า วันหนึ่งอยากเล่นร่วมกับพี่ก้อง เกริกฤทธิ์ (ทวีกาญจน์) ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้ 

10

ผมเพิ่งขึ้นมาซ้อมกับทีมชุดใหญ่ได้แค่ 1-2 เดือนก่อนเปิดเลก เพราะโค้ชเตี้ย (สะสม พบประเสริฐ) แกเห็นจากบอลนักเรียนก็เลยเรียกขึ้นมาทดสอบดู 

ผมยังจำวันแรกที่ซ้อมได้เลย ยังไม่ทันจบเซสซั่นสอง ผมก็หอบไม่มีแรงแล้ว รู้เลยว่าตัวเองพละกำลังไม่ถึง ระดับของบอลอาชีพกับบอลนักเรียนมันต่างกันมากจริงๆ เมื่อก่อนผมติดเล่นโทรศัพท์ ชอบนอนดึก ผมตัดตรงนั้นทิ้งไปเลย หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น พยายามเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เพื่อจะได้มีเรี่ยวแรง 

11

พอผมเริ่มมีพละกำลัง เวลาซ้อม เราก็สามารถสู้กับรุ่นพี่ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ บวกกับโค้ชเตี้ย กล้าส่งผมลงเล่นโดยไม่สนว่าผมเป็นเด็กใหม่ มีประสบการณ์หรือเปล่า? แกจะบอกเสมอว่า "มึงเล่นให้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องสนใจคนอื่น ขอให้กล้าเล่น" ทำให้ผมเล่นด้วยความสบายใจ ไม่รู้สึกกดดัน

เคยคิดมาก่อนไหมว่าตัวเองจะบรรลุความฝันแรก ได้ติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้น ม.6?

ไม่คิดเลยว่าจะได้รับโอกาสเร็วขนาดนี้ เคยวางแผนไว้ว่าอายุสักประมาณ 20 ปีขึ้นไป จะต้องติดทีมชาติชุดใหญ่ให้ได้ แต่พอมีชื่อติด 50 คนในข่ายก็ยังไม่ได้คาดหวังว่าจะถูกเรียกเป็น 23 คนสุดท้ายหรอกครับ เดี๋ยวโค้ชก็คงตัดชื่อทิ้ง เพราะผมเพิ่งลงเล่นให้ ชลบุรี เอฟซี แค่ 7 นัดเอง

12

แต่สุดท้ายโค้ช (อากิระ นิชิโนะ) เลือกเราติดทีมชุดใหญ่จริงๆ ผมรู้สึกดีใจจนทำอะไรไม่ถูกเลยครับ มีคนโทรเข้ามาทั้งวันเลย มันเหลือเชื่อมาก

ครั้งแรกที่เข้าไปซ้อมกับรุ่นพี่ในทีมชาติ ผมยังปรับตัวไม่ค่อยได้ แต่พอผ่านวันแรกไป ผมคิดว่ามันก็ไม่ได้ยากเกินไป เราแค่ต้องกล้าเล่น กล้าโชว์ให้โค้ชเห็น อย่าไปกลัว เพราะถ้าเราฝ่อไปก่อน ความมั่นใจเราก็หายไป

เราไม่ค่อยเห็นนักฟุตบอลโนเนมอายุน้อยติดทีมชาติครั้งแรกและได้รับโอกาสลงสนามเลย แต่คุณทำมันได้ เล่าโมเมนต์นั้นให้เราฟังหน่อย?

13

มีความสุข และตื่นเต้นดีครับ เพราะผมไม่เคยมีประสบการณ์อะไรแบบนี้มาก่อน เมื่อ 2-3 ปีก่อน ผมยังเล่นทีมชาติ รุ่น U-16 อยู่เลย (หัวเราะ) 

แมตช์นั้น (เจอกับ ไทยลีก ออลสตาร์) ผมจำได้ว่าครึ่งหลัง โค้ชนิชิโนะ เรียกผมมาคุยและว่า "ไม่ต้องห่วงเรื่องผลสกอร์ ผมมั่นใจในตัวคุณ จงแสดงมันออกมา" 

ผมรู้สึกภูมิใจนะที่เขาพูดแบบนั้นกับเรา เขาเชื่อมั่นใจเรา ครึ่งหลังลงไป ผมก็เลยมีความมั่นใจมากกว่าเดิม

ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี จากเด็กที่ยังเล่นบอลระดับนักเรียน คุณก้าวกระโดดมาได้ไกลขนาดนี้ คุณมีคำอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร?

14

มันคืออาชีพที่ผมรัก และเป็นความรับผิดชอบของผม ผมก็จะยังพัฒนาและพยายามต่อไป ผมมีโอกาสในชีวิตดีกว่าหลายๆคน รวมถึงคุณพ่อผม ที่อยากเป็นนักเตะแต่คุณปู่ไม่สนับสนุน พอมาถึงรุ่นคุณพ่อ ท่านให้การสนับสนุนผมมาตลอด ขับรถพาผมไปซ้อมตามที่ต่างๆตั้งแต่เด็ก 

ถึงแม้บางคนจะดูถูก หรือบอกว่า "ทำแล้วมันจะได้อะไร? ความหวังของพ่อที่อยากเห็นผมเป็นนักบอลอาชีพ มันดูลมๆแล้งๆไปหรือเปล่า?" แต่คำพูดเหล่านั้นผมเอามาเป็นแรงผลักดัน และสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ มันคงเป็นผลของความพยายามที่เราขยันมาตลอด 

ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มันได้สอนและให้บทเรียนอะไรหลายอย่างในชีวิตผม แต่ผมไม่หยุดแค่นี้แน่นอน ผมจะทำให้มันดียิ่งๆขึ้นกว่าเดิม

อัลบั้มภาพ 14 ภาพ

อัลบั้มภาพ 14 ภาพ ของ สำรวจความคิด "ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์" ปีที่เปลี่ยนไปจากเด็กม.ปลายสู่ทีมชาติ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook