"วิค บัคกิงแฮม" : ต้นตำรับโททัลฟุตบอลตัวจริงที่ "โยฮัน ครัฟฟ์" นำไปปรับใช้

"วิค บัคกิงแฮม" : ต้นตำรับโททัลฟุตบอลตัวจริงที่ "โยฮัน ครัฟฟ์" นำไปปรับใช้

"วิค บัคกิงแฮม" : ต้นตำรับโททัลฟุตบอลตัวจริงที่ "โยฮัน ครัฟฟ์" นำไปปรับใช้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"ฟุตบอลดัตช์คือฟุตบอลที่สวยงาม มันไม่ใช่ฟุตบอลพละกำลัง หรือยอมทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ พวกเขาคือสุภาพบุรุษ"

กล่าวถึงฟุตบอลในประเทศเนเธอร์แลนด์ หลายคนย่อมนึกถึง โยฮัน ครัฟฟ์ นักเตะเทวดาที่ประสบความสำเร็จในฐานะผู้เล่นและนักเตะ ด้วยแทคติกที่เรียกว่า "โททัล ฟุตบอล" ที่ปฏิวัติวงการฟุตบอลตลอดกาล

แนวทาง โททัล ฟุตบอล สามารถย้อนขึ้นไปสู่ต้นกำเนิดในยุค 70s เมื่อ ไรนุส มิเชลส์ พา อาหยักซ์ อัมสเตอร์ดัม ครองบัลลังก์เจ้ายุโรป แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า ฟุตบอลที่สง่างามนี้ ไม่ได้มีต้นกำเนิดจากชาวดัตช์ แต่มาจากชาวอังกฤษคนหนึ่ง ที่เบื่อฟุตบอลโยนยาว จนคิดค้นแทคติกรูปแบบใหม่ขึ้นมา 

นี่คือเรื่องราวของ วิค บัคกิงแฮม ผู้จัดการทีมชาวอังกฤษที่อพยพจากบ้านเกิด มาคุมทีม อาหยักซ์ อัมส์เตอร์ดัม และ บาร์เซโลนา ด้วยแทคติกที่เป็นรากฐานของ โททัล ฟุตบอล และ ติกิ-ตากา ในปัจจุบัน

ล้มล้างฟุตบอลโยนยาว

วิค บัคกิงแฮม เริ่มต้นเส้นทางในวงการฟุตบอล ด้วยการลงเล่นให้แก่ นอร์ทฟลีต ยูไนเต็ด เมื่อปี 1934 ก่อนย้ายสู่ ท็อตแนม ฮอทสเปอร์ ในปีถัดมา และลงเล่นในถิ่นไวท์ ฮาร์ท เลน ตลอดอาชีพนักฟุตบอลที่เหลือ ก่อนประกาศแขวนสตั๊ดในปี 1949

1

ขณะค้าแข้งให้กับทัพไก่เดือยทอง บัคกิงแฮมได้รู้จักกับ อาร์เธอร์ โรว์ กองหลังรุ่นพี่ผู้มีวิสัยทัศน์ก้าวไกล ทั้งสองเห็นตรงกันว่า ฟุตบอลอังกฤษโบราณ หรือ การโยนบอลไปข้างหน้าเพื่อใช้กองหน้าตัวใหญ่ทำประตู คือรูปแบบการเล่นที่ล้าหลัง

อาร์เธอร์ โรว์ ที่ผันตัวมารับงานผู้จัดการทีม ท็อตแนม ฮอทสเปอร์ ในปี 1949 จึงได้คิดค้นฟุตบอลรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า "Push-and-run" หรือฟุตบอลวัน-ทู ที่เน้นการจ่ายบอล และเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว นี่คือแทคติกที่ฟุตบอลอังกฤษไม่เคยเห็น ด้วยความแปลกใหม่ อาร์เธอร์ จึงพาสเปอร์ส คว้าแชมป์ดิวิชั่น 2 ในฤดูกาล 1949-50 และแชมป์ดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 1950-51

ความสำเร็จของ ท็อตแนม ฮอทสเปอร์ และ อาร์เธอร์ โรว์ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ บัคกิงแฮม เริ่มต้นสร้างฟุตบอลของตัวเอง ปี 1953 เขารับงานเป็นผู้จัดการทีม เวสต์บรอมวิช อัลเบียน และนำสไตล์การเล่นแบบวัน-ทู มาใช้ จนพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เข้าทำงาน

2

บัคกิงแฮมมีแผนการใหญ่อยู่ในหัว เขาไม่เพียงต้องการพาต้นสังกัดประสบความสำเร็จ แต่ยังรวมถึงการปฏิวัติฟุตบอลในประเทศอังกฤษ ให้เปลี่ยนมาใช้รูปแบบการเล่นแบบเท้าสู่เท้า โชคร้ายที่บุคลากรในวงการฟุตบอลอังกฤษ ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของบัคกิงแฮม นอกจาก เวสต์บรอมวิช อัลเบียน ทีมอื่นในอังกฤษกลับเลือกใช้ฟุตบอลโยนยาว แทนจะเป็นฟุตบอลดูสนุกบุกสะใจ

เมื่อปราศจากแรงสนับสนุนจากคนในบ้านเกิด บัคกิงแฮมจึงเริ่มมองหาสโมสรใหม่ที่ให้อิสระมากกว่านี้ ปี 1959 บัคกิงแฮมสร้างความประหลาดใจแก่ชาวอังกฤษทั่วประเทศ เมื่อเขาโบกมือลา เวสต์บรอมวิช อัลเบียน สโมสรระดับท็อป 5 ของลีกในขณะนั้น เพื่อไปรับงานเป็นผู้จัดการทีม อาหยักซ์ อัมส์เตอร์ดัม สโมสรกึ่งสมัครเล่นในเนเธอร์แลนด์

วางรากฐานที่อาหยักซ์

ย้อนกลับไปยังปี 1959 อาหยักซ์ อัมส์เตอร์ดัม ไม่ใช่มหาอำนาจแห่งโลกฟุตบอลอย่างปัจจุบัน เพราะประเทศเนเธอร์แลนด์มีการอนุญาตให้ดำเนินกิจการกีฬาฟุตบอลในลักษณะกีฬาอาชีพ เมื่อปี 1955 หรือเพียง 4 ปีก่อนบัคกิงแฮมเข้ารับงานเป็นผู้จัดการทีม

3

การย้ายจากสโมสรระดับแนวหน้าในอังกฤษ สู่ทีมกึ่งสมัครเล่นในประเทศที่กีฬาฟุตบอลเพิ่งเริ่มต้น จึงดูเหมือนการถอยหลังครั้งใหญ่ในอาชีพของบัคกิงแฮม แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม อาหยักซ์ อัมส์เตอร์ดัม มองเห็นความสามารถและความยอดเยี่ยมของฟุตบอลเท้าสู่เท้า จึงให้อิสระแก่บัคกิงแฮมในการสร้างสรรค์ไอเดียอย่างเต็มที่

ข้อกำหนดเดียวที่เฮดโค้ชชาวอังกฤษต้องตอบรับ คือการปลุกปั้นเยาวชนของสโมสรให้กลายเป็นแกนหลักของทีม โชคดีของบัคกิงแฮม หนึ่งในนักเตะรุ่นเยาว์เหล่านั้น คือ โยฮัน ครัฟฟ์ ดาวรุ่งพรสวรรค์สูงวัย 12 ปี ที่เริ่มต้นซึมซับปรัชญาฟุตบอลของบัคกิงแฮม ซึ่งกำลังฝังรากลึกลงไปในสโมสร ตั้งแต่ทีมชุดใหญ่จนถึงระดับเยาวชน

"ฟุตบอลคือกีฬาที่จริงจัง แต่แฝงด้วยความสง่างาม" บัคกิงแฮม กล่าวถึงความหมายของกีฬาฟุตบอล ในแบบฉบับของตัวเอง

"ฟุตบอลไม่ใช่แค่การเตะลูกและวิ่งไปข้างหน้า ฟุตบอลแบบโยนยาวมีความเสี่ยงมากเกินไป หากคุณมีบอลอยู่กับตัว ทำไมไม่เก็บมันไว้ละ ถ้าคุณทำแบบนั้น ฝั่งตรงข้ามไม่มีวันยิงประตูคุณได้"

แทคติกของบัคกิงแฮมปฏิวัติวงการฟุตบอลเนเธอร์แลนด์ เขาประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วกับ อาหยักซ์ อัมส์เตอร์ดัม ด้วยการคว้าแชมป์ลีกเอเรดีวีซี ในฤดูกาล 1959-60 และรองแชมป์ ในฤดูกาล 1960-61 ผ่านรูปแบบการเล่นที่เน้นการครองบอล, การจ่ายบอลสั้น และการเคลื่อนที่อย่างชาญฉลาดเมื่อปราศจากบอล

บัคกิงแฮมวางรากฐานฟุตบอลที่แข็งแรงแก่ อาหยักซ์ อัมส์เตอร์ดัม เป็นเวลา 2 ปี ก่อนตัดสินใจกลับบ้านเกิดเพื่อคุมทีม เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ เมื่อปี 1961 ทว่าหลังล้มเหลวที่อังกฤษ เขาหวนมาคุม อาหยักซ์ อัมส์เตอร์ดัม อีกครั้ง ในปี 1964

แม้ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนการคุมทีมหนแรก เนื่องจากนักเตะตัวหลักที่เขาสร้างมาในยุคแรกทยอยออกจากทีม แต่คราวนี้ บัคกิงแฮม มีโอกาสร่วมงานกับ โยฮัน ครัฟฟ์ ที่เติบโตจากเด็กพรสวรรค์สู่ นักเตะดาวรุ่นที่เก่งที่สุดในโลกด้วยวัย 17 ปี

บัคกิงแฮม ถ่ายทอดแนวคิดของเขาแก่ครัฟฟ์ และนักเตะเลือดใหม่ของอาหยักซ์ นอกจากการเล่นฟุตบอลสวยงามแล้ว เขายังเน้นย้ำไปที่การสร้างทีมด้วยปัจจัยนอกสนาม ไม่ว่าจะเป็น การสร้างผู้เล่นที่มีคุณภาพ, กฎระเบียบที่เข้มงวด, ความเป็นสุภาพบุรุษ และความหยิ่งผยองในฟุตบอลของตัวเอง

บัคกิงแฮมจากลา อาหยักซ์ อัมส์เตอร์ดัม อีกครั้งในปี 1965 แต่รากฐานฟุตบอลที่เขาวางไว้แก่สโมสรแห่งนี้ไม่เคยจางหายไป โยฮัน ครัฟฟ์ กลายเป็นนักเตะที่มีคาแรกเตอร์ถอดแบบจากตำราของบัคกิงแฮม เมื่อบวกกับการเข้ามาของ ไรนุส มิเชลส์ ที่เข้ามาต่อยอดแนวทางของบัคกิงแฮม ด้วยแทคติก "โททัล ฟุตบอล" อาหยักซ์ อัมส์เตอร์ดัม จึงกลายเป็นมหาอำนาจลูกหนังโลกจนถึงปัจจุบัน

รากฐานโททัลฟุตบอล

ปี 1965 บัคกิงแฮมเดินทางกลับสู่อังกฤษเพื่อรับตำแหน่งผู้จัดการทีม ฟูแล่ม เขาตั้งเป้าปฏิวัติสโมสรแห่งนี้เหมือนที่เคยทำกับ อาหยักซ์ อัมส์เตอร์ดัม โดยกำจัดผู้เล่นมากประสบการณ์เจ้าปัญหา และสร้างทีมจากนักเตะสายเลือดใหม่

5

โชคร้ายที่นักเตะอังกฤษในช่วงเวลานั้น ยังไม่พร้อมกับฟุตบอลสวยงามที่เต็มไปด้วยรายละเอียด ฟูแล่มภายใต้การคุมทีมของบัคกิงแฮมจึงไม่เคยประสบความสำเร็จ เขาทำงานในถิ่นคราเวน ค็อตเทจ เป็นเวลา 3 ปี ก่อนโบกมือลาเพื่อเปิดทางให้ บ็อบบี้ ร็อบสัน อดีตนักเตะ เวสต์บรอมวิช อัลเบียน ที่เคยร่วมงานกับบัคกิงแฮม ช่วงปี 1956-59 เข้ามารับงาน

ชื่อเสียงของบัคกิงแฮมในอังกฤษพังยับเยิน หลังความล้มเหลวที่ฟูแล่ม แต่ความสามารถของเขายังคงเป็นที่ประจักษ์ในโลกฟุตบอลภาคพื้นยุโรป ปี 1969 บัคกิงแฮมได้รับการติดต่อจาก บาร์เซโลนา มหาอำนาจฟุตบอลจากประเทศสเปน ให้เข้ามากอบกู้สถานการณ์ หลังผลงานของทีมร่วงหล่นหนัก จนห่างโซนตกชั้นเพียง 4 คะแนน

6

ทันทีที่บัคกิงแฮมมาถึงคัมป์ นู เขาร่ายเวทย์มนตร์เปลี่ยนบาร์เซโลนาจากทีมท้ายตาราง สู่ฟุตบอลที่ร้อนแรงและสวยงามที่สุดในสเปน บัคกิงแฮมพาบาร์เซโลนาจบฤดูกาล 1969-70 ในอันดับ 4 ของตาราง พาทีมคว้าโควต้าฟุตบอลยุโรปถ้วย แฟร์ส คัพ (ยูโรปา ลีก ณ ปัจจุบัน) ได้สำเร็จ

บัคกิงแฮมสานต่อความยิ่งใหญ่ของตนในฤดูกาลถัดมา เขาพาบาร์เซโลนาคว้าแชมป์โคปา เดล เรย์ ฤดูกาล 1970-71 ด้วยการเอาชนะ บาเลนเซีย 4-3 ในรอบชิงชนะเลิศ และยังจบอันดับ 2 ของตารางลาลีกา โดยมีแต้มเท่ากับ บาเลนเซีย และยิงประตูได้มากกว่า แต่พลาดแชมป์อย่างน่าเสียดาย เนื่องจากแพ้เฮดทูเฮด

7

อนาคตที่สดใสรอบาร์เซโลนาและบัคกิงแฮมอยู่เบื้องหน้า โชคร้ายที่เส้นทางของทั้งสองฝ่ายต้องยุติลงเพียงเท่านี้ เนื่องจากอาการป่วยของผู้จัดการทีมชาวอังกฤษกำเริบ เขาจึงต้องโบกมือลาสโมสรดังแห่งคาตาลัน ทิ้งไว้เพียงรากฐานฟุตบอลที่รอใครสักคนมาสานต่อ

ฤดูกาลถัดมา บาร์เซโลนาดึงตัว ไรนุส มิเชลส์ จาก อาหยักซ์ อัมสเตอร์ดัม เข้ามารับงานที่คัมป์ นู และในปี 1973 บาร์เซโลนาที่พ้นโทษแบนห้ามซื้อนักเตะจากต่างประเทศ จะคว้าตัว โยฮัน ครัฟฟ์ เข้ามาเป็นส่วนเติมเต็มสุดท้าย และเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของสโมสรแห่งนี้ไปตลอดกาล

8

นับแต่วันนั้น โททัล ฟุตบอล กลายเป็นดีเอ็นเอของบาร์เซโลนา ที่ถูกส่งต่อผ่านผู้จัดการทีมรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่ ไรนุส มิเชลส์, โยฮัน ครัฟฟ์ จนถึง เป๊ป กวาร์ดิโอลา

แต่ชื่อหนึ่งที่เลือนหายจากความทรงจำแฟนฟุตบอลทั่วโลก คือ วิค บัคกิงแฮม เพราะหลังจากโบกมือลา บาร์เซโลนา เขาไม่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลระดับสูงอีก ก่อนเสียชีวิตอย่างสงบในปี 1995 ที่เมืองชิเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ

9

วิค บัคกิงแฮม อาจไม่ใช่ผู้จัดการทีมระดับแนวหน้า เขาไม่เคยพาสโมสรใดคว้าแชมป์ยุโรป และไม่เคยพาสโมสรใดคว้าแชมป์ลีกเกิน 1 สมัย แต่บางครั้ง คุณค่าของฟุตบอลไม่ได้วัดกันแค่ความสำเร็จ เพราะแทคติกของ วิค บัคกิงแฮม กลายเป็นพื้นฐานสำคัญของฟุตบอลในปัจจุบัน ที่พัฒนาสู่ โททัล ฟุตบอล และ ติกิ-ตากา ในเวลาต่อมา

ผู้จัดการทีมชาวอังกฤษรายนี้ จึงเป็นผู้ปิดทองหลังพระที่โลกฟุตบอลควรจดจำ ในฐานะต้นกำเนิด และผู้สร้างสรรค์ฟุตบอลบนพื้นดิน ที่กลายเป็นแทคติกยอดนิยม และน่าตื่นตาตื่นใจที่สุด ในโลกฟุตบอลยุคปัจจุบัน

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ ของ "วิค บัคกิงแฮม" : ต้นตำรับโททัลฟุตบอลตัวจริงที่ "โยฮัน ครัฟฟ์" นำไปปรับใช้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook