ของดีจากกาฬทวีป : เหตุใดกองกลางตัวรับระดับโลกมักเป็นนักเตะเชื้อสายแอฟริกัน?

ของดีจากกาฬทวีป : เหตุใดกองกลางตัวรับระดับโลกมักเป็นนักเตะเชื้อสายแอฟริกัน?

ของดีจากกาฬทวีป : เหตุใดกองกลางตัวรับระดับโลกมักเป็นนักเตะเชื้อสายแอฟริกัน?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กองกลางตัวรับ คืออีกตำแหน่งหนึ่งที่มีเสน่ห์ในกีฬาฟุตบอล เพราะต้องใช้ความสามารถที่หลากหลาย ทั้งการตัดบอล อ่านเกม จ่ายบอล ผสมผสานระหว่างเทคนิค และพละกำลังอย่างลงตัว

นับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน มีกองกลางตัวรับระดับโลกมากมายขึ้นมาสร้างผลงานให้เป็นที่จดจำของแฟนฟุตบอล แต่มีคนกลุ่มหนึ่งที่ดูจะโดดเด่นกับการเล่นฟุตบอลในตำแหน่งกลางรับมากเป็นพิเศษ นั่นคือนักเตะเชื้อสายแอฟริกัน

โคลด มาเกเลเล, ไมเคิล เอสเซียง, ปาทริค วิเอรา, เอ็นโกโล ก็องเต คือ นักฟุตบอลเชื้อสายแอฟริกัน ที่ทำผลงานในฐานะกองกลางตัวรับได้อย่างโดดเด่น จนกลายเป็นภาพจำของแฟนบอล

ความสามารถจุดไหนที่ทำให้ช่วงเวลาหนึ่งนักเตะเชื้อสายแอฟริกันถึงยึดครองตำแหน่งกองกลางตัวรับไปทั่ววงการฟุตบอล? ติดตามไปพร้อมกับเรา

พูดถึงกลางรับ นึกถึงคนขาว? 

ปัจจุบัน โลกฟุตบอลเต็มด้วยผู้เล่นกลางรับผิวดำ แต่หากย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของตำแหน่งกลางรับ นักเตะชั้นยอดที่ประจำเกมอยู่กลางสนาม ส่วนใหญ่เป็นชายผิวขาวที่มีต้นกำเนิดมาจากทวีปยุโรปแทบทั้งสิ้น 

ผู้เล่นเชื้อสายแอฟริกันส่วนใหญ่ ถูกจำไปเล่นในตำแหน่งที่เน้นเกมรุก เช่น กองหน้า หรือ ปีก เป็นหลัก เพื่อใช้ประโยชน์จากร่างกายที่แข็งแกร่งของพวกเขาในการเล่นงานทีมคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็น ยูเซบิโอ (Eusebio), โทนี คอลลินส์ (Tony Collins), เฮลมุต โคก์ลเบอร์เกอร์ (Helmut Koglberger)

ขณะที่ตำแหน่งกลางรับ ไม่ได้จำเป็นต้องใช้ร่างกายเยอะขนาดนั้น แต่สิ่งสำคัญที่ต้องมีคือทักษะในการแย่งบอลชั้นเลิศ รวมถึงความสามารถในการควบคุมจังหวะเกม ดูได้จากผู้เล่นกลางรับระดับโลก ตั้งแต่ช่วงยุค 40s จนถึงยุค 50s ล้วนมาจากชาติแถบยุโรปกลาง เช่น โจเซฟ บอสซิก (Jozsef Bozsik) จากฮังการี, เกอร์ฮาร์ด ฮานาปปิ (Gerhard Hanappi) และ เอิร์นส์ท อ็อคเวิร์ค (Ernst Ocwirk) จากออสเตรีย

เข้าสู่ยุค 60s ตำแหน่งกลางรับได้วิวัฒนาการตัวเองไปอีกขั้น ด้วยการแบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 แนวทาง 

แนวทางแรก คือกลางรับสายอัดคน ที่หน้าที่หลักในสนามคือการเตะผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามมากกว่าเตะบอล นำโดย น็อบบี สไตล์ส (Nobby Stiles) กองกลางสายโหดคนแรกๆของโลก ที่เตะคนจนพาอังกฤษคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1966

อีกหนึ่งแนวทาง คือ กลางรับสายสร้างสรรค์ นำโดย เกอร์สัน (Gerson) กองกลางอัจฉริยะชาวบราซิลที่สื่ออย่าง The Guardian จากประเทศอังกฤษ ยกให้เขาเป็นนักฟุตบอลตำแหน่งกลางรับคนแรกๆที่ไม่ได้มีหน้าที่ตัดบอล แต่ทำการเป็นสมองของทีม คอยบัญชาเกม และจ่ายบอลไปทั่วสนาม โดยแทบไม่เข้าปะทะเลย 

ซึ่งนักเตะรายนี้ เปเล่ให้ขนานนามเขาว่ามีทักษะที่ดีกว่า ซีเนดีน ซีดาน หรือ มิเชล พลาตินี สองนักฟุตบอลอัจฉริยะในยุคหลังของเกอร์สันเลยทีเดียว


Photo : FIFA World Cup

แต่ไม่ว่าผู้เล่นกลางรับจะเป็นสายอัดหนักหรือสายสร้างสรรค์ ก็ไม่มีผู้เล่นผิวดำมาเล่นในตำแหน่งนี้มากนัก เพราะนักเตะเชื้อสายแอฟริกันไม่ได้มีทักษะฟุตบอลชั้นเลิศและเซนส์บอลอัจฉริยะเท่าผู้เล่นจากอเมริกาใต้ 

และด้วยสภาพร่างกายที่เปี่ยมด้วยความแข็งแกร่ง ความเร็วในการไปกับลูกบอล ถือว่าดีเกินไปจะมาเล่นในตำแหน่งกลางรับแบบเตะคน ซึ่งเป็นการเสียศักยภาพนักเตะเหล่านี้ไปโดยใช่เหตุ 

ทุกอย่างมาเปลี่ยนไปในยุค 80s โลกฟุตบอลได้รู้จักกับนักเตะทีมชาติเนเธอร์แลนด์ เชื้อสายซูรินาเม ประเทศในทวีปอเมริกาใต้ที่เคยเป็นอาณานิคมของดัตช์ นามว่า แฟรงค์ ไรจ์การ์ด (Frank Rijkaard) 

แฟรงค์ ไรจ์การ์ด มีความแข็งแกร่งตามดุจนักฟุตบอลผิวสี เพราะเขามีเชื้อสายสืบมาจากชนพื้นเมืองในแถบคาบสมุทรแคริบเบียน มีสภาพร่างกายใกล้เคียงกับชาวแอฟริกัน 


Photo : bleacherreport.com

โดยจากงานวิจัยของนักวิชาการ เชื่อว่าคนชนเผ่าแคริบเบียน และชนพื้นเมืองจากทวีปแอฟริกา มีลักษณะร่างกายในรูปแบบเดียวกัน นั่นคือ มีกล้ามเนื้อมากกว่าคนผิวขาว และคนเอเชีย แถมมีกระดูกใหญ่กว่ามนุษย์จากภูมิภาคอื่น ทำให้คนจากทวีปแอฟริกัน และชนเผ่าแคริบเบียน มีสภาพร่างกายที่เหมาะกับการเล่นกีฬา โดยใช้ความสามารถของร่างกายมากกว่าชนชาติอื่น

นอกจากนั้น ไรจ์การ์ด ยังเปี่ยมไปด้วยทักษะที่ล้ำเลิศ เหมาะกับการเล่นในตำแหน่งกองกลาง ทั้งการอ่านเกม, การคุมจังหวะเกม, การจ่ายบอล รวมถึงความสามารถในการครอบครองบอลอย่างแข็งแกร่ง สามารถทำได้ทุกรูปแบบ ทั้งเล่นหนักแบบอัดคน หรือสร้างสรรค์เกม ครบเครื่องทั้งเกมรุกและเกมรับ

เขาจึงได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ สำหรับการเล่นกองกลางตัวรับ ที่ต้องมีทั้งความแข็งแกร่ง ความฉลาด ผสมผสานกัน 

ที่สำคัญสุดคือ ความสำเร็จของ ไรจ์การ์ด ช่วยเปิดโอกาสให้ผู้เล่นผิวสีต่างๆจากภูมิภาคอื่นๆ โดยเฉพาะทวีปแอฟริกา ให้ได้มีโอกาสพิสูจน์ตัวเอง ในฐานะนักฟุตบอลตำแหน่งกองกลางตัวรับ 

 

โอกาสทองของแข้งแอฟริกัน 

ในยุค 90s ที่ฟุตบอลยังคงเน้นเรื่องการเข้าปะทะและพละกำลัง นักฟุตบอลเหล่านี้ถือว่ามีส่วนสำคัญกับแทคติคฟุตบอลที่สามารถสร้างความแตกต่างบริเวณเกมกลางสนามได้อย่างชัดเจน ผู้เล่นอย่าง ปาทริค วิเอรา (Patrick Vieira), โคลด มาเกเลเล (Claude Makelele) ถือว่ามีคุณสมบัติทุกอย่างที่บอลยุคนั้นต้องการ

พวกเขาสามารถปะทะ ตัดเกมได้อย่างแข็งแกร่ง ขณะเดียวกันเทคนิคที่ยอดเยี่ยม ทำให้แข้งกลางรับเชื้อสายแอฟริกันสามารถสร้างสรรค์เกมรุกได้อย่างรวดเร็ว โดยตัวของพวกเขาเองช่วยให้ทีมสามารถโต้กลับเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับทีมที่เน้นสร้างเกมบุกด้วยการใช้กองกลางเป็นแกนหลัก นักเตะแนวนี้ถือว่าตอบโจทย์กับแทคติคได้เป็นอย่างมาก 

หนึ่งในนักเตะเชื้อสายแอฟริกันที่สร้างชื่ออย่างมากในฐานะกองกลางตัวรับ คือ โคลด มาเกเลเล กับการสร้างแนวทางฟุตบอลที่ถูกเรียกว่า "มาเกเลเล โรล" ขึ้นมาจากวิธีการเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว 

โคลด มาเกเลเล ได้แสดงภาพให้เห็นว่า นักฟุตบอลเชื้อสายแอฟริกันไม่จำเป็นจะต้องเล่นฟุตบอลด้วยพละกำลังอย่างเดียว แต่สามารถแสดงศักยภาพด้วยทักษะฟุตบอลที่มีชั้นเชิง ตัดเกมโดยใช้สมอง เน้นการแย่งบอลที่เรียบง่าย ผ่านการอ่านเกม ช่วยให้มาเกเลเลยืนตำแหน่งในสนามได้อย่างแม่นยำ คอยยืนขุดขวางการขึ้นเกมรุกของคู่ต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มาเกเลเล มีความยอดเยี่ยมชนิดที่เรียกว่า เรอัล มาดริด สโมสรฟุตบอลที่ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบใช้งานนักเตะเชื้อสายแอฟริกัน ยังต้องมีเขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมยุครวมดาราโลก หรือ กาลาติกอส ก่อนที่ มาเกเลเล จะย้ายมาอยู่กับ เชลซี และพาทีมสิงโตน้ำเงินครามยิ่งใหญ่ในทันที

นักฟุตบอลสัญชาติฝรั่งเศสรายนี้ได้รับการยกย่องว่าช่วยปฏิวัติฟุตบอลอังกฤษให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น เพราะเป็นครั้งแรกที่กองกลางตัวรับมีอิสระในการเคลื่อนที่ไปทั่วสนาม เพื่อคอยแย่งบอลอย่างเรียบง่าย และจ่ายบอลอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างเกมบุกในทันที โดยไม่จำเป็นต้องใช้พละกำลังมหาศาลวิ่งไล่อัดคู่ต่อสู้

ในขณะเดียวกัน ผู้เล่นกลางรับแนวพละกำลังที่มีเชื้อสายแอฟริกันก็ไม่ได้หายไปไหน เพราะถัดจาก มากาเลเล ก็ยังมีผู้สืบทอดอย่าง ไมเคิล เอสเซียง (Michael Essien) กองกลางชาวกานา ที่ขึ้นชื่อกับการเล่นชนิดอัดหนักถึงใจ เปี่ยมด้วยความเร็วและเทคนิค ทำให้เขาสามารถตัดเกมและพาบอลขึ้นหน้าสร้างเกมบุกได้ด้วยตัวเอง 

ยุค 2000s กลายเป็นยุคทองของกองกลางตัวรับผิวดำ สโมสรฟุตบอลระดับโลกหลายทีมต้องมีกองกลางตัวรับสเปคนี้ติดมือ ไม่ว่าจะเป็น โมฮาเหม็ด ซิสโซโก กับ ลิเวอร์พูล, ยายา ตูเร กับ บาร์เซโลนา, ดิดิเยร์ โซโกรา กับ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์, ซัลลีย์ มุนตารี กับ อินเตอร์ มิลาน, อเล็กซานเดอร์ ซง กับ อาร์เซนอล

เนื่องจากเทรนด์ฟุตบอลยังคงเน้นการเคลื่อนที่ด้วยพละกำลัง สร้างเกมบุกด้วยความรวดเร็ว กองกลางตัวรับที่สามารถตัดเกมได้อย่างรุนแรงและเฉียบคม คือ ผู้เล่นเชื้อสายแอฟริกัน 

ขณะเดียวกันนักเตะเหล่านี้ก็มีเทคนิคมากพอที่จะสร้างเกมบุกได้เอง หรือบางคนเช่น มาเกเลเล ที่แม้จะขาดความเร็ว แต่ทดแทนด้วยการจ่ายบอลที่ชาญฉลาด ช่วยให้เพื่อนร่วมทีมสร้างสรรค์เกมรุกได้อย่างง่ายดาย

ความนิยมในนักฟุตบอลกลางรับที่มีเชื้อสายแอฟริกัน ช่วยให้บรรดาผู้เล่นที่มีถิ่นฐานกำเนิดอยู่ในทวีปอแฟริกาได้รับโอกาสมากขึ้นกับการเล่นฟุตบอลในลีกชั้นนำของยุโรป เรียกได้ว่า นักเตะในตำแหน่งนี้ เปรียบเสมือนเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกชั้นดีของทวีปแอฟริกาเลยทีเดียว

 

ฟุตบอลเปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยน

10 ปีที่แล้ว หากพูดถึงนักฟุตบอลตำแหน่งกองกลางตัวรับ ภาพของนักเตะเชื้อสายแอฟริกันคงผุดขึ้นในหัวของแฟนบอลทันที 

แต่ปัจจุบันตำแหน่งนี้กลับถูกยึดครองโดยนักเตะทักษะสูงจากทวีปอเมริกาใต้หรือสเปน ขณะที่ผู้เล่นกลางรับเชื้อสายแอฟริกาไม่ได้เป็นที่ต้องการของสโมสรฟุตบอลชั้นนำอีกต่อไป

ในขณะที่นักเตะเชื้อสายแอฟริกาตำแหน่งกลางรับกำลังรุ่งเรืองสุดขีด.. การถือกำเนิดของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่เข้ามาปฏิวัติวงการฟุตบอล ให้หันมาเน้นการจ่ายบอล ครองบอลเป็นหลัก ลดความสำคัญของการเล่นด้วยพละกำลัง และใช้เทคนิค บวกกับแทคติคการจ่ายบอลที่เข้มข้นเข้ามาเป็นส่วนสำคัญได้เปลี่ยนโลกฟุตบอลไปโดยสิ้นเชิง

สิ่งแรกๆที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ทำหลังจากเข้ามาคุมบาร์เซโลนาในปี 2008 คือการถอด ยายา ตูเร (Yaya Toure) กลางรับกำลังสำคัญของทีมไปเป็นแค่ตัวสำรอง แล้วดัน เซร์คิโอ บุสเกตส์ (Sergio Busquets) นักเตะดาวรุ่งชาวสเปนขึ้นมาเป็นกองกลางตัวรับคนใหม่ของทีม

หากพูดถึงเรื่องความเร็วและพละกำลัง บุสเกตส์ เป็นรอง ยายา ตูเร แบบไม่เห็นฝุ่น แต่ทักษะการอ่านเกม การจ่ายบอลที่เฉียบขาด ความสามารถในการควบคุมเกม บุสเกตส์ ยอดเยี่ยมกว่ามาก และกลางรับชาวสเปนรายนี้ได้แสดงให้โลกฟุตบอลเห็นว่า กองกลางตัวรับ ไม่จำเป็นต้องมีหน้าที่หลักเป็นการตัดบอล 

ทีมอย่างบาร์เซโลนา ณ เวลานั้น แทบจะไม่เสียการครอบครองบอลให้กับคู่ต่อสู้ ประโยชน์ของกลางรับจึงไม่ใช่แค่การตัดเกมอีกต่อไป แต่มีหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเกมรุก ต้องครองบอลได้ดี จ่ายบอลได้แม่นยำ อ่านเกม ยืนตำแหน่งอย่างยอดเยี่ยม เพื่อให้เกมรุกของทีมไหลลื่นตั้งแต่ผู้รักษาประตูจนถึงกองหน้า

แนวทางของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ได้ส่งอิทธิพลถึงสโมสรอื่นที่เปลี่ยนแนวคิดของโลกฟุตบอลใหม่ว่า นักเตะทุกตำแหน่งจะต้องสามารถครอบครองเกมได้ จ่ายบอลได้ดี ต่อให้เป็นผู้เล่นเกมรับ ก็ต้องมีทักษะการเล่นกับฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม

เมื่อโลกฟุตบอลยุคใหม่ให้ความสำคัญกับเทคนิค ความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นมาเป็นอันดับ 1 ขณะที่ความสำคัญของการเล่นฟุตบอลด้วยพละกำลังลดถอยลงไปเป็นเรื่องรอง นักเตะกลางรับจากที่เคยถูกยึดครองโดยผู้เล่นเชื้อสายแอฟริกัน จึงถูกเปลี่ยนมือเป็นการนำนักเตะเชื้อสายสแปนิชหรือลาตินอเมริกันเข้ามาเล่นแทน

กาเซมิโร จาก เรอัล มาดริด, ฟาบินโญ จาก ลิเวอร์พูล, เฟร็ด จาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อัลลัน จาก เอฟเวอร์ตัน, แฟร์นันดินโญ่ จาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้, อาร์ตูร์ จาก ยูเวนตุส คือนักเตะชาวบราซิลที่ขึ้นมายึดตำแหน่งกลางรับของทีมฟุตบอลระดับโลกตลอดหลายปีที่ผ่านมา 

ขณะที่ สเปน กลายเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ปลุกปั้นและส่งออกนักเตะตำแหน่งกองกลางตัวรับจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ฆาบี มาร์ติเนซ กับ บาเยิร์น มิวนิค, เซร์คิโอ บุสเกตส์ กับ บาร์เซโลนา, ซาอูล กับ แอตเลติโก มาดริด, โรดรี กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

นักเตะเหล่านี้ไม่ได้ขึ้นชื่อเรื่องพละกำลังหรือการตัดบอลแบบนักเตะกลางรับยุคก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเทียบกับผู้เล่นเชื้อสายแอฟริกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือนักเตะเหล่านี้มีทักษะขั้นสูงในเรื่องเทคนิคเฉพาะตัว ความสามารถในการจ่ายบอล การเอาตัวรอดสำหรับการครอบครองบอล และการตัดสินใจที่เฉียบขาด 

เมื่อโลกฟุตบอลปัจจุบัน ไม่ได้เน้นพละกำลังแบบช่วง 10-20 ปีก่อนหน้านี้ บทบาทของตำแหน่งกองกลางตัวรับก็เปลี่ยนไป จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เทรนด์ฟุตบอลจะเปลี่ยน และผู้เล่นเชื้อสายแอฟริกันจะไม่ได้มีบทบาทบนสนามฟุตบอลในฐานะกองกลางตัวรับเหมือนในอดีต 

แม้กระทั่ง เอ็นโคโล กองเต (N'Golo Kante) สุดยอดกลางรับเชื้อสายแอฟริกันเพียงไม่กี่คนในปัจจุบัน ก็ไม่ได้รับบทบาทเล่นตำแหน่งกองกลางตัวรับให้กับสโมสรต้นสังกัดอย่าง เชลซี มาหลายฤดูกาล 

เขาถูกเบียดตำแหน่ง โดย จอร์จินโญ่ (Jorginho) แข้งสัญชาติอิตาลีเชื้อสายบราซิล ทั้งที่ จอร์จินโญ่ ไม่ได้โดดเด่นเรื่องการตัดเกมแม้แต่น้อย แต่มีทักษะอย่างมากในการอ่านเกม และเปิดจ่ายบอลแม่นยำไปทั่วสนาม ขณะที่ กองเต กลับต้องปรับตัวไปรับบทบาทใหม่ เป็นกองกลางแนวบ็อกซ์ทูบ็อกซ์ (Box 2 Box) วิ่งขึ้นวิ่งลงทั่วสนามแทน

อันที่จริงแล้ว เราสามารถบอกได้ว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตำแหน่งกองกลางตัวรับในโลกฟุตบอลปัจจุบัน คือการเอาแนวทางการเล่นในรูปแบบกลางรับสายสร้างสรรค์ ซึ่งเคยได้รับความนิยมช่วงยุค 60s ถึง 70s ในฟุตบอลอเมริกาใต้ กลับมาอีกครั้ง 

พละกำลังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญกับการเล่นในแนวทางนี้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ที่นักเตะกลางรับเชื้อสายแอฟริกันจะมีบทบาทน้อยลงในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม โลกฟุตบอลมีวิวัฒนาการของตัวเองเสมอ แม้ช่วงเวลาที่เป็นยุคทองของผู้เล่นเชื้อสายแอฟริกันในตำแหน่งกลางรับจะจบลงไปแล้ว แต่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ผู้เล่นเหล่านี้อาจกลับมาตอบโจทย์แทคติคฟุตบอลที่อาจจะเปลี่ยนไปอีกครั้งในอนาคตอันใกล้ก็เป็นได้ ใครจะไปรู้...

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook