มนุษย์ดัดแปลงจากรัสเซีย : ความจริงแสนน่ารักของ "นิโคลาย วาลูเยฟ" มวยยักษ์ 310 ปอนด์
เฮฟวี่เวต คือรุ่นน้ำหนักที่ถูกกำหนดไว้สำหรับเหล่านักมวยร่างยักษ์ขึ้นมาซัดกันบนเวที จุดเด่นของมวยรุ่นนี้คือความหนักของหมัดที่รุนแรงตามน้ำหนักตัวของแต่ละคน และพระเอกของเราในวันนี้สูง 210 เซนติเมตร หนักกว่า 140 กิโลกรัม..
ไม่มีนักมวยเฮฟวี่เวตคนไหนจะตัวใหญ่กว่านี้อีกแล้วในประวัติศาสตร์ ชื่อของเขาคือ นิโคลาย วาลูเยฟ ยักษ์จากรัสเซีย ที่ดูเหมือนตัวร้ายจากภาพยนตร์ เจมส์ บอนด์ 007.. จนโดนล้อเลียนว่าเขาคือการทดลองของประเทศรัสเซีย ที่ส่งยักษ์มาพิชิตวงการมวยโลก
แพ้เพียง 2 ครั้งตลอดอาชีพนักมวย แต่เกิดอะไรขึ้น? ทำไมยักษ์ใหญ่ในตำนานจึงหายไปจากวงการแบบเงียบๆ? ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ที่นี่
เด็กยักษ์แห่งเลนินการ์ด
ย้อนกลับไปปี 1973 ครอบครัว วาลูเยฟ ได้ให้กำเนิดทารกที่ชื่อว่า นิโคลาย และเด็กคนนี้มาพร้อมกับความมหัศจรรย์มากมายที่เขาแสดงออกในภายหลัง
ความมหัศจรรย์แรกคือพ่อและแม่ของเขามีความสูงไม่เกิน 5.5 ฟุต (167 เซนติเมตร) แต่เมื่อโตในแต่ละปี ตัวของเขาก็ใหญ่ขึ้นแบบก้าวกระโดด เด็กธรรมดาสูงขึ้นโดยเฉลี่ยปีละ 4.5-5 เซนติเมตร ตอนอายุ 10-13 ปี ทว่าสำหรับเด็กชายนิโคลาย ต้องจับคูณ 2 เพราะเขาโตขึ้นปีละ 10 กว่าเซนติเมตร แค่อายุ 10 ขวบ เขาก็ตัวใหญ่กว่าพ่อและแม่ไปหลายเซนติเมตร และพออายุได้ 12 ปี ส่วนสูงของเขาอยู่ที่ 192 เซนติเมตร
ทุกคนแปลกใจเกี่ยวกับความสูงที่แหวกจากพ่อและแม่ไปไกลสิ้นเชิง จนกระทั่งตาของเขามาเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟัง และลองสันนิษฐานว่า นิโคลาย อาจจะเกิดมาจากสายเลือดนักรบที่หายไป ซึ่งก่อนหน้านี้เคยปรากฎในยุคตาทวดของเขา ที่เป็นนักรบของชาวตาตาร์ (พวกมองโกลอยพ) หรือบรรพบุรุษของชาวคาซัคสถานอีกด้วย ตามบันทึก ว่ากันว่าปู่ทวดชาวตาตาร์ของเขา "ตัวใหญ่เท่าภูเขา" และมีชื่อเรียกว่า "นักรบยักษ์ในตำนานแห่งรัสเซีย"
เมื่อโตขึ้น นิโคลาย เล่นกีฬาแทบทุกชนิดทั้ง โปโลน้ำ, บาสเกตบอล และแน่นอนว่าด้วยร่างกายใหญ่โตขนาดนี้จะมีอะไรเหมาะกับเขาไปมากกว่าการชกมวย กีฬาที่พึ่งพาตัวเองมากที่สุด ไม่มีเรื่องของทีมมาเกี่ยวข้อง.. และเมื่อเขาได้ลองฝึก ก็ยิ่งตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเมื่อจะต้องเลือกอะไรเพียงอย่างเดียวสำหรับการเอาจริงเอาจัง เขาตัดสินใจเลือกการชกมวยโดยไม่ลังเล และเริ่มฝึกพร้อมๆกับต่อยระดับสมัครเล่นเรื่อยมา
ด้วยความหนักของหมัดและขนาดตัวที่ใหญ่ ช่วงยาว ทำให้ นิโคลาย วาลูเยฟ ได้เปรียบคู่ชกคนอื่นๆไปหลายช่วงตัว น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถเทิร์นโปรในประเทศรัสเซียได้ เนื่องจากยังมีกฎหมายบางข้อที่ไม่รับรองอาชีพนักมวย ว่ากันว่า ณ เวลานั้นสำหรับคนตัวโตอย่าง นิโคลาย หากเป็นนักมวยไม่ได้นั้น ทางเดียวที่จะมีงานมีเงินทำจากร่างกายที่ใหญ่ผิดมนุษย์มนา คือการเข้าไปอยู่ในคณะละครสัตว์ ในฐานะนักแสดงโชว์คนยักษ์อะไรเทือกนั้นเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงด้านหมัดมวยของเขานั้นดีพอจะพาเขาเดินไปไกลกว่าการแสดงละครสัตว์ ข่าวสารด้านการชกของเขาดังไปถึงหูค่ายมวยที่ชื่อว่า Sauerland Promotions ซึ่งอยู่ในประเทศเยอรมนี เขาจึงได้ย้ายมาอยู่ในค่ายนี้ และสามารถเทิร์นโปรได้ภายในเวลาแค่ปีเดียวเท่านั้น ซึ่งด้วยความยักษ์ของร่างกาย กลายป็นความสนใจของทุกที่ที่เขาไป ยิ่งไปกว่านั้น สถิติการชกส่วนใหญ่จบลงด้วยการเอาชนะน็อคคู่ต่อสู้ทั้งสิ้น
การไต่ไล่ระดับของ นิโคลาย นั้นโหดขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเวลาผ่านไป ชั่วโมงบินของเขาก็สูงขึ้นๆ จนกระทั่งในปี 1999 เขาสามารถน็อค อเล็กเซย์ โอโซคิน เพื่อนร่วมชาติ คว้าแชมป์ของรัสเซียในรุ่นเฮฟวี่เวตได้สำเร็จ..
การพิชิตทั้งหมดจะเริ่มขึ้นตั้งแต่ตรงนี้ หลังจากเก่งที่สุดในรัสเซีย บันไดขั้นต่อไปของเด็กยักษ์จากเลนินการ์ด (เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ในปัจจุบัน) คือการออกไปสู้ในระดับโลก ซึ่งเป็นเวทีที่เขาจะต้องรู้สึกเซอร์ไพรส์กับหลายสิ่งแน่นอน.. โลกแห่งของจริง "แค่ตัวใหญ่ไม่ได้แปลว่าไร้เทียมทาน" และเขากำลังจะได้เจอมันทันทีที่หน้าปฎิทินปี 2000 ถูกเริ่มฉีกขึ้น
โลกกว้างของยักษ์ใหญ่
การออกโลกกว้างของ นิโคลาย เริ่มจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยได้ชกแต่กับนักมวยเยอรมันและรัสเซีย เขาเริ่มได้เจอกับนักสู้จากต่างสัญชาติมากขึ้น ได้ไปในเวทีที่แตกต่างทั้ง ญี่ปุ่น, สาธารณรัฐเช็ก, เกาหลีใต้ และที่สำคัญคือ สหรัฐอเมริกา ดินแดนที่ว่ากันว่าต้องดังจริงถึงจะได้มาขึ้นชกที่นี่
เรื่องความเก่งไม่มีใครสงสัยอะไรมากมายนัก แต่ปัญหาหลักๆ คือภาพลักษณ์ของเขานั้นแปลกเกินกว่าที่โลกแห่งหมัดมวยเคยเจอ สื่ออเมริกันชอบเขามาก และด้วยความที่เขาเป็นชาวรัสเซีย ชาติที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับอเมริกา ดูเหมือนว่าเรื่องขนาดตัวของ นิโคลาย จะกลายเป็นของเล่นสนุกปากสำหรับสื่อกระทั่งทุกวันนี้
Bleacher Report เคยพูดถึง นิโคลาย วาลูเยฟ ว่า "ยักษ์จากรัสเซีย (Russian Giant) เหรอ? ไม่หรอก นั่นไม่พอจะอธิบายถึงตัวเขา เขาเหมือนพวกมนุษย์ทดลองของรัสเซียที่ผิดพลาดต่างหากล่ะ" พวกเขาเขียนมันในบทความที่ชื่อว่า 10 อันดับนักมวยที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก (Strangest Boxers in History) ซึ่งนั่นก็พอจะบอกได้ว่า มุมมองที่หลายคนมีต่อ นิโคลาย ไม่ได้ชื่นชมในเรื่องฝีไม้ลายมือมากนัก มีพียงร่างกายใหญ่โตเท่านั้นที่เป็นไฮไลต์ของเขาตลอดมา
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะสเตอริโอไทป์ของชาวรัสเซียสำหรับชาวอเมริกันนั้น มักจะออกมาในรูปแบบของคนที่ไม่มีชีวิตจิตใจ เย็นชา ซึ่งเรื่องนี้เคยถูกถ่ายทอดลงในภาพยนตร์เกี่ยวกับมวยอย่าง Rocky IV ที่ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน เป็นผู้เริ่มโปรเจกต์นี้
โดยในเรื่องนั้น สตอลโลน วางบทให้นักมวยที่ชื่อว่า อีวาน ดราโก้ แชมป์เฮฟวี่เวตชาวโซเวียต (รัสเซีย ณ ปัจจุบัน) ให้เป็นคนที่ฆ่า อพอลโล่ ครีด นักมวยอเมริกัน คู่ปรับและเพื่อนซี้ของ ร็อคกี้ บัลบัว พระเอกของเรื่องด้วยการชกจนตายคาเวที.. "สไล" พระเอกและโต้โผใหญ่ของหนังเคยบอกว่า คนที่จะมาแสดงเป็นนักมวยของฝั่งโซเวียตนั้น ต้องโกงให้เห็นตั้งแต่รูปลักษณ์หน้าตาแล้ว ซึ่งบทดังกล่าวเขาได้เลือก ดอล์ฟ ลุนด์เกรน นักแสดงโนเนมชาวสวีเดนมารับตำแหน่งไป
"ผมนัดเจอกับเขา (ลุนด์เกรน) และเมื่อเขาเดินเข้ามาในห้องเท่านั้นแหละ ผมรู้ทันทีเลยว่าผมเกลียดเขาตั้งแต่วินาทีแรก ผมบอกว่า 'นี่แหละนักสู้เหนือมนุษย์ที่จะมารับบทคู่ต่อสู้ของร็อคกี้' เขาคนนั้นจะต้องเป็นคนที่แค่เห็นหน้าก็เข้าไปอยู่ในจิตใจคนดูแล้ว"
"ผมวางบทบาทของ อีวาน ดราโก้ เขาจะเป็นตัวร้ายที่เหมือนพวกเครื่องจักร ไม่มีความกลัว ไร้หัวใจ และชั่วร้าย เขาเพิ่งฆ่า อพอลโล่ ครีด ไปสดๆร้อนๆ" สตอลโลน กล่าว ซึ่งพอจะบอกได้คร่าวๆว่านักมวยชาวรัสเซียมีภาพลักษณ์ที่ค่อนไปทางลบมากกว่าในทางบวก
เท่านั้นยังไม่พอ ในเรื่องยังเล่าถึงนักมวยโซเวียตในมุมที่แตกต่างกับนักมวยอเมริกันแบบคนละขั้ว เพราะในขณะที่ ร็อคกี้ นั้นล่าฝันแบบอเมริกันสู้ตายภายใต้อ้อมกอดของครอบครัวและคนที่รัก ดราโก้ กลับต่างกันคนละโลก สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงชัยชนะแบบไม่สนวิธีการ ซึ่งยังสะท้อนผ่านการฝึกซ้อมแบบไม่เห็นเดือนไม่เห็นตะวันราวกับเป็นเครื่องจักร แถมยังมีลูกเล่นสกปรกอย่างการใช้สเตียรอยด์อีกด้วย
ขณะที่ร็อคกี้ ซึ่งในเรื่องเขาต้องบินไปชกถึงดินแดนโซเวียต กลับเจอการปฏิบัติราวกับนักโทษ แคมป์ซ้อมของเขานอกจากหนาวเหน็บแล้ว ยังไม่มีแม้กระทั่งกระสอบทราย ต้องประยุกต์วิธีการชาวบ้านอย่างการเลื่อยไม้, ยกหิน, ใช้ตัวเองเทียมเลื่อนในการฝึกซ้อม แถมยังมีเจ้าหน้าที่ทางการเฝ้าติดตามตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งหมดนี้ นิโคลาย ก็เจอไม่ต่างกันนัก แม้จะเบาบางกว่า แต่การโดนเรียกว่า "ตัวประหลาด" หรือ "มนุษย์ทดลอง" ก็คงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า โลกกว้างของวงการมวยนั้น เขาต้องสู้และพิสูจน์ตัวเองในหลายด้านไม่ใช่แค่บนเวทีเท่านั้น
และวันหนึ่งเขาก็ได้รับบทบาทนั้นด้วยตนเอง เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในปี 2004 ซึ่ง ณ เวลานั้น ตลอดอาชีพนักชก นิโคลาย วาลูเยฟ แพ้เพียงหนเดียวเท่านั้น นั่นคือการแพ้ให้กับ รุสลาน ชากาเยฟ จาก อุซเบกิสถาน เมื่อปี 2003 ภาพจำความโหดความดุ และพลังหมัดที่เหลือเฟือของเขายังถูกจดจำไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งนั่นเองที่ทำให้เขาต้องรับบทตัวโกง ในการเป็น "บันได" ให้ อีแวนเดอร์ โฮลีฟิลด์ อดีตแชมป์โลกเฮฟวี่เวตขวัญใจชาวอเมริกัน ที่จะขึ้นชกเป็นครั้งแรกหลังโดนแบน 21 เดือน หาก โฮลีฟิลด์ ชนะ เขาจะกระชากเข็มขัดแชมป์โลกของ WBA ที่ วาลูเยฟ ครองอยู่ กลายเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 5 ของสถาบัน WBA ทันที
ซึ่งในการชกครั้งนั้น อาจจะเป็นเพราะการร้างสนามของโฮลีฟิลด์ หรือการตัดสินที่ผิดพลาด (ตามความเห็นของแฟนมวยในไซต์ต่างๆ) ไฟต์นั้น โฮลีฟิลด์ แพ้คะแนน 2 เสียง เสมอ 1 เสียง.. ภายหลังจากการประกาศคะแนน นิค ชาร์ลส์ ผู้บรรยายถึงกับหลุดปากออกมาว่า "นี่คือการตัดสินที่ห่วยแตกที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย" ซึ่งเขาคิดว่า โฮลีฟิลด์ ต่อยได้ดีกว่าและควรจะเป็นผู้ชนะ นั่นทำให้ นิโคลาย ดูเป็นตัวโกงขึ้นมาอีก และเมื่อเป็นตัวโกง ก็ต้องโดนฮีโร่กำจัดในท้ายที่สุด.. เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว บทมันต้องจำเป็นจะต้องเป็นเช่นนั้น
และผู้รับบทปราบยักษ์จากรัสเซียคนต่อไปคือ เดวิด เฮย์ อดีตแชมป์รุ่นครุยเซอร์เวตจากสหราชอาณาจักร ที่ขนาดตัวของเขาเล็กกว่าตัวของ นิโคลาย วาลูเยฟ ตอนอายุ 12 ปีเสียอีก..
ทันทีที่ได้วันเวลาชก พวกเขาก็ตั้งชื่อไฟต์ว่า David vs Goliath ซึ่งเป็นการตั้งชื่อศึกล้อกับนักรบยักษ์ในคัมภีร์ไบเบิลที่ชื่อว่า โกไลอัท ที่ไล่ปราบนักรบมาทั่วทุกสารทิศ ก่อนจะพลาดท่าให้กับเด็กหนุ่มตัวเล็กที่ชื่อว่า เดวิด พ้องกับชื่อของ เฮย์ พอดี.. แค่ชื่อของศึกก็รู้แล้วว่าใครเป็นตัวโกง
อย่างไรก็ตาม พอก่อนขึ้นชกกันจริงๆ คำพูดคำจาระหว่างพระเอกและตัวโกงดูจะสวนทางกันไปคนละทิศ นิโคลาย ที่รับบท โกไลอัท กลับไม่ได้มีคำพูดอะไรไปในเชิงหยามเหยียดข่มเหงอะไรนัก เขาตอบไปตามที่เขาคิด นั่นคือเรื่องการชกอย่างเดียวเท่านั้น
"ผมต้องการเอาชนะใจคนอเมริกัน ผมอยากให้พวกเขาต้องยอมรับผม และยอมรับผมด้วยฝีมือ ไม่ใช่เรื่องขนาดตัว" นี่คือสิ่งที่ นิโคลาย ให้สัมภาษณ์
ขณะที่ เดวิด เฮย์ นั้นแขวะ นิโคลาย แทบทุกประโยค มันเหมือนกับการเหยียดเรื่องรูปร่างอยู่กลายๆ และดูเหมือนว่าทุกคนดูจะชอบใจที่เขาล้อเลียนยักษ์รัสเซียได้อย่างเจ็บแสบ
"ผมเคยดู The Lord of The Rings นะ และผมรู้สึกว่าเขาเหมือนพวกตัวประหลาดในหนังพวกนั้น แค่เห็นหน้าตาก็ชวนผวาแล้วจริงๆ" เฮย์ เริ่มเยาะเย้ย
"สิ่งหนึ่งที่ผมจะไม่ทำในไฟต์นั้นแน่นอน คือการเล่นวงในและไปกอดตัวเขา ดูสิคนอะไรขนยุบยับน่าเกลียดชะมัด.. มันง่ายจะตายไปที่ผมจะเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ในการเจอกับยักษ์จากรัสเซียในตอนนั้น"
น่าเสียดายที่ นิโคลาย ไม่ได้ตอบแทนคำพูดเหล่านั้นด้วยกำปั้นเท่าไรนัก แม้เขาจะตัวใหญ่ แต่ครั้งนี้ความตัวใหญ่ทำให้เขาเสียเปรียบ เพราะ เฮย์ ไวมาก ใช้ฟุตเวิร์กและการถอยฉาก ต่อยจิ้มทำคะแนนเร็วเกินเขาจะหยุดได้ ก่อนที่ เดวิด เฮย์ จะเอาชนะไปหลังครบ 12 ยกอย่างเป็นเอกฉันท์ และที่น่าเสียใจยิ่งกว่านั้น คือหลังจากความพ่ายแพ้ นิโคลาย ไม่เคยกลับมาชกอีกเลย
ให้มันตายไปอย่างนั้น
นิโคลาย วาลูเยฟ ไม่ได้ประกาศเลิกชกมวยอย่างเป็นทางการ และไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาหลังจากนั้นเลย จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อถึงวันที่เหมาะสม เขาก็แสดงถึงอีกด้านหนึ่งให้คนทั้งโลกได้รู้..
สิ่งนั้นคือเขาเป็นยักษ์ใหญ่ใจดี เขาไม่ได้เป็นพวกชอบหักขาหักแขนคน สู้กับหมี หรือใช้ขวานสับฟืนได้เป็นพันๆซีกเหมือนที่ใครพยายามจะยัดเยียด.. ที่สำคัญ เขาอธิบายทั้งหมดด้วยการเขียนลงในหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเอง ที่ได้รับรางวัลเป็นหนังสือยอดเยี่ยมประจำปีของเมืองเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก อีกด้วย
"ผมไม่ใช่เครื่องจักร, ไม่ใช่ก้อนเนื้อ และไม่ใช่พวกโชว์ละครสัตว์.. ผมเป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนกับพวกคุณนั่นแหละ ผมมีครอบครัวที่น่ารัก ผมมีเพื่อนมากมาย ผมชอบดนตรี ผมชอบอ่านหนังสือ น่าเสียดายที่หลายคนปฏิบัติกับผมเหมือนผมไม่ใช่คน เพราะว่าน้ำหนักตัวและส่วนสูงของผม"
เขาไม่ได้โศกเศร้ากับมุมมองของใครๆ เพียงแต่บางครั้งมันก็เจ็บอยู่ลึกๆ ซึ่งเขารู้สึกว่าไม่อยากจะเปลี่ยนความคิดของใครมากนัก เพราะ 100 คนก็ 100 ความคิด เขาอยากโฟกัสตัวเองให้มีความสุขมากกว่า
"พวกเขาหลายคนยัดเยียดในสิ่งที่ผมไม่ได้เป็น แต่ผมไม่สนหรอก ผมไม่ได้เอามันมาเก็บมาคิดจนชีวิตส่วนตัวที่น่าปวดหัว แต่ก็ต้องยอมรับว่าบางครั้งมันก็จี๊ดอยู่ข้างในเหมือนกัน"
ชีวิตส่วนตัวของ นิโคลาย นั้นธรรมดาจนน่าอัศจรรย์ เขาชอบเล่นหมากรุกจีน เขาจีบภรรยาที่ตัวสูง 158 เซนติเมตรด้วยการแต่งบทกวีด้วยตัวเอง นอกจากนี้ เขายังเป็นพิธีกรรายการเด็กที่ได้รับความนิยมในประเทศรัสเซียอีกต่างหาก
ทุกวันนี้หลายคนยังจดจำภาพเขาในฐานะมนุษย์ทดลอง หรือยักษ์ไร้หัวใจอย่างไม่เปลี่ยนแปลง มันเป็นภาพจำที่สวนทางกับชีวิตของ นิโคลาย วาลูเยฟ อย่างสิ้นเชิง ซึ่งเรื่องราวของเขาพอจะชวนให้เรานึกถึงคำว่า "ไม่มีใครหนีพ้นการโดนนินทา" อย่างแท้จริง
เราไม่อาจจะเปลี่ยนใจใครได้ และการเก็บเอาคำติฉินนินทามาใส่ใจ ก็รังแต่จะทำให้บั่นทอนตัวเองกันไปเปล่าๆ
"จะหลบหนีให้พ้นการถูกนินทา ไม่ใช่เรื่องง่าย คนที่เราคบหานั้นมีอัธยาศัยแตกต่างกันไป เหตุอย่างหนึ่งทำให้คนหนึ่งได้รับการสรรเสริญ แต่เหตุอย่างเดียวกันนั่นแหละ กลับทำให้อีกคนหนึ่งถูกนินทา" คำสอนของท่าน พุทธทาสภิกขุ ดูจะเหมาะกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ นิโคลาย วาลูเยฟ อย่างแท้จริง
เขาต่อยมวยเหมือนคนอื่น เอาชนะเหมือนคนอื่น และเป็นแชมป์เหมือนกับอีกหลายๆคน แต่กลับถูกมองเป็นตัวร้าย และอีกหลายๆคนกลับถูกมองว่าเป็นพระเอก..
แต่สุดท้าย เขาก็ไม่ได้พูดเพื่อให้ใครเปลี่ยนความคิด เขาปล่อยให้ฉายา "มนุษย์ยักษ์" และ "มนุษย์ทดลอง" ตายไปพร้อมๆกับอาชีพนักมวยของเขาได้สำเร็จ
สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการเป็นแชมป์และขนาดตัว คือวิธีคิดของเขาอย่างแท้จริง มันทำให้เรารู้ว่า "อย่าตัดสินหนังสือจากปก" สำหรับ นิโคลาย ปกหนังสือของเขาอาจจะดูโหดร้ายผิดมนุษย์ ทว่าเมื่อคุณได้เปิดเนื้อในแล้วมันกลายเป็นวรรณกรรมที่ทรงคุณค่าชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว
อัลบั้มภาพ 9 ภาพ